หลังจากงานแสดงภาพวาดจบลง ฮ่องเต้ก็พาใต้เท้าทั้งหมดจากไปอย่างมีความสุขพวกฮูหยินก็ทยอยกล่าลาและจากไป หลังจากผ่านเรื่องวันนี้ สถานะของจวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงในเมืองหลวงก็คงมั่นคงมากแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็มาด้วยตนเองซึ่งถือเป็นการให้เกียรติมากทีเดียวเมื่อพระชายาอ๋องฮวยจากไป นางรู้สึกไม่ยอม เพราะซ่งซีซีให้คนส่งภาพวาดแก่สนมฮุ่ยไทเฟย แต่นางในฐานะท่านน้ากลับไม่ได้สักรูปนึงเนื่องจากคนที่เมื่อกี้ซื้อภาพวาดเหล่านี้ล้วนเป็นพวกฮ่องเต้หรือไม่ก็ขุนนาง ท่านอ๋องไม่ได้มา นางเป็นสตรีเข้าไปแย่งซื้อกับพวกบุรุษก็ไม่เหมาะสมอย่างไรก็ตาม จะซื้อหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องนึง ซีซีควรมอบให้นางหนึ่งรูปเพื่อแสดงว่าพวกนางได้คืนดีกันแล้วแต่จนถึงนางจะจากไปแล้ว นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเลย แค่ไหว้ให้ตามมารยาทว่า "ท่านน้าเดินทางระวังด้วย"นางได้แต่ฝื้นยิ้ม "อืม ไม่ต้องไปส่งข้า"คนที่เดินลงบันไดหินกับนางคือเฉินฮูหยิน เฉินฮูหยินเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเสมอ เมื่อเห็นนางกลับด้วยมือเปล่า ก็ถามว่า "ท่านพระชายา ทำไมคุณหนูซ่งไม่มอบภาพวาดรูปนึงให้ท่านล่ะ ท่านเป็นถึงท่านน้าของนางเลยนี่"ทันใดนั้น ใบหน้าของพระชายาอ๋องฮวยก็ไม่น่ามองมาก
พระชายาอ๋องฮวยพูดไม่ออก เมื่อถูกสาวโต้กลับเช่นนี้ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็นึกขึ้นดึงพระชายาอ๋องเยี่ยนเข้ามาเกี่ยวด้วยเพื่อแก้ตัวให้ตนเอง "แล้วพระชายาอ๋องเยี่ยนก็เป็นท่านป้าห่างๆ ของนางด้วย เป็นแม่สื่อของนางเสียอีก ทำไมไม่เห็นนางกลับมาล่ะ หาใช่ว่าแค่แม่เลือดเย็น ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้"ท่านหญิงหลานถอนหายใจ "ท่านป้าสะใภ้มีสนานการณ์เช่นไร ท่านเองก็รู้ดี นางล้มป่วยหนัก ต่อให้อยากมาก็มาไม่ได้หรอก อีกอย่างที่จวนอ๋องเยี่ยนนางก็ตัดสินจะไรไม่ได้ เป็นชายารองที่ดูแลจวน เท่ากับว่ากักบริเวณนางไปแล้ว"พระชายาอ๋องฮวยถอนหายใจ "ช่างเถอะ ต่อไปนี้ฝั่งท่านพี่ของเจ้า ข้าจะไม่ไปมาหาสู่กันอีกเลย เจ้าสุงสิงกับนางก็พอ หากตัดขาดความสัมพันธ์จริงๆ ก็ไม่ได้ เพราะถึงยังไงนางจะเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋องในอนาคต อย่าคิดว่าเสด็จแม่ของเจ้าและนางล้วนเป็นพระชายา แต่มันแตกต่างออกไปเลย เสด็จพ่อของเจ้าทำอะไรไม่ได้เรื่อง ขี้กลัว แม้ว่าเป่ยหมิงอ๋องในยามนี้ไม่กุมอำนาจทางทหาร แต่กลับดูแลกองทัพซวนเจีย และหอต้าหลี่อยู่ เขามีงานข้าราชการจริงๆ"ท่านหญิงหลานไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เสด็จพ่อจะสร้างผลงานได้หรือ เมื่อจักรพรรดิแงค์ก่อนอยู่มีชีว
ซ่งซีซีส่งนางไปที่ประตู และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบทุดเรื่อง เอาแต่เอาใจพวกเขา ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับเจ้ามากก็ได้นะ"หลานเอ่อร์เงียบเชียบสักพักนึง จากนั้นก็ส่ายหัวและพูดอย่างหนักแน่น "คำพูดของท่านพี่ไม่จริงหรอก หัวใจของผู้คนทำจากเนื้อ สักวันนึงข้าจะทำให้พวกเขายอมรับข้าได้"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็ถูกสาวใช้ช่วยพยุงก่อนขึ้นรถม้าซ่งซีซีเห็นสีหน้าของนางในเมื่อกี้ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวขึ้นมา ราวกับเป็นลางร้ายเมื่อนางกลับมาถึงเรือน ยังคงรู้สึกหนาวเช่นกัน จึงให้เป่าจูเอาถังน้ำร้อนมาให้แม่นมเหลียงถามว่า "คุณหนูไม่สบายหรือเปล่า?""เปล่า แต่จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมา" ซ่งซีซีกล่าวแม่นมเหลียงเห็นว่านางสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก และมีเครื่องทำความร้อนที่ห้อง แล้วจะหนาวได้ยังไง?นางแตะหน้าผากของคุณหนู และพบว่ามันหนาวเย็นมาก จึงเรียกหมอหงเชวี่ยที่อยู่ในห้องของรุ่ยเอ๋อร์ ให้มาตรวจชีพจรคุณหนูซ่งซีซีบอกว่าไม่ต้อง แต่ไม่สามารถต้านทานกับแม่นมเหลียงได้หมอหงเชวี่ยเดินมาพร้อมกับกล่องยาบนหลังของเขา จับชีพจรให้นาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "แม่นมอ
หมอหงเชวี่ยกลับไปที่ร้านขายยาเย่าหวัง และรายงานกับหมอมหัศจรรย์ดันเรื่องที่คุณหนูซ่งได้ถามถึงพระชายาอ๋องเยี่ยน"เจ้าไม่ได้พูดอะไรไม่ควรพูดใช่ไหม" หมอมหัศจรรย์ดันเหลือบมองเขา น้ำเสียงของเขาดูแข็งกร้าวเล็กน้อยหงเชวี่ยกล่าวว่า "ศิษย์ไม่กล้าพูดมากความ แค่บอกว่าพระชายาอ๋องเยี่ยนไปพักผื้นที่สำนักแม่ชีชิงมู่ขอรับ"หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจ "เรื่องนี้ เราปกปิดเอาไว้ก่อน รองานแต่งงานของนางเสร็จสิ้นก่อนค่อยว่ากัน ถ้านางรู้ตอนนี้ นางจะไปหาแน่นอน"หงเชวี่ยกล่าวว่า "ศิษย์ก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานแต่งงานแล้ว งานแสดงภาพวาดที่คุณชายเสิ่นชิงเหอจัดขึ้นในเมื่อวานยังดึงดูดฮ่องเต้มาด้วย ต่อไปในเมืองหลวงนี้คงไม่มีใครกล้านินทานางอีก ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้หากไปมีเรื่องกับจวนอ๋องเยี่ยนเข้าอีก เรื่องไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ""ใช่ไง นี่นางแต่งงานครั้งที่สอง และแต่งเข้าตระกูลที่มีฐานะสูงกว่าด้วย เดิมทีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และมีคนมามายอิจฉาริษยาอยู่แล้ว เมื่อวานเมื่องานแสดงภาพวาดจัดขึ้นก็ทำให้พวกสตรีที่ขี้เม้าท์พวกนั้นได้หยุดม้าท์สักที เมื่อเวลาแต่งงานผ่านไปด้วยดี ได้ยินแต่คำดีๆ ทั้งนั้น งั้นช
หิมะตกมาสองวันแล้ว ไม่ได้ตกอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่หยุดพักนึงก็ตกต่อ มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งสวน และคนรับใช้ก็ทำความสะอาดถนน ไม่ได้ขัดขวางการเดินทางดอกบ๊วยบานสะพรั่งแต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ เมื่อใช้เท้าเตะออกไป หิมะก็ตกลงมา และดอกไม้ก็ร่วงหล่นลงมาด้วยเมื่อเห็นสีแดงที่หลงเหลืออยู่ในหิมะสีขาวบนพื้น ซ่งซีซีจึงพารุ่ยเอ๋อร์ออกไปและปั้นมนุษย์หิมะดอกบ๊วยรุ่ยเอ๋อร์ยังไปตามหาก้อนกรวดสองก้อนอย่างมีความสุขเพื่อใช้เป็นดวงตาสำหรับมนุษย์หิมะ ซึ่งดูไม่ค่อยสวยเท่าไรซ่งซีซีหยิบเสื้อคลุมมาสวมบนมนุษย์หิมะแล้วสวมหมวกให้ด้วย เมื่อมองจากระยะไกล มันดูเหมือนคนคนหนึ่งจริงๆไม่ไกลนัก กระดานวาดภาพของเสิ่นชิงเหอก็ถูกจัดวางขึ้นมาแล้ว และเขาวาดภาพได้สักพักแล้ว ศิษย์น้องที่ร่าเริงเช่นนี้ไม่ได้เจอมานานแล้ว ภาพวาดนี้ต้องส่งกลับสถาบันในวันที่ยี่สิบของเดือนจันทรคติที่สิบสอง งานแต่งงานก็ใกล้เข้ามา และซ่งซีซีก็ยุ่งมากทีเดียวชุดแต่งงานถูกส่งมอบมา ชุดแต่งงานที่ใช้เวลาหลายเดือน ย่อมงดงามมากทีเดียวอาภรณ์ชั้นนอกเป็นสีแดงสด ดูหนักมาก แต่จริงๆ แล้วพอสวมแล้วก็รู้ว่ามันทั้งเบาและเรียบเนียนมาก ชุดแต่งงานทำจากเมฆป
อีกสี่วันข้างหน้าก็จะแต่งงาน ทว่าพวกอาจารย์ยังไม่มา ซ่งซีซีวิตกกังวลมากนางไปถามศิษย์พี่ว่า "อาจารย์ได้ส่งนกพิราบบินมาเพื่อส่งข่าวหรือไม่? พวกเขาจะมาถึงเมื่อไร?"เสิ่นชิงเหอถือมีดแกะสลักอยู่ในมือ และกำลังแกะสลักอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถามเช่นนี้ดูเหมือนจะจำอะไรได้ทันที "โอ้ เจ้าไม่ถาม ศิษย์พี่ก็ลืมไปแล้ว อาจารย์ส่งจดหมายมาแล้ว โดยบอกว่างานแต่งงานของเจ้าพวกเขาไม่ได้มา รอให้เจ้าว่างเมื่อไร ค่อยพาท่านอ๋องกลับไปเยี่ยมพวกเขาที่ภูเขาเหม่ยชานก็ได้""ไม่มาเหรอ" ซ่งซีซีผิดหวังมาก "ทำไมล่ะ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะมาเหรอ?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าก็รู้ หลายปีมานี้ อาจารย์ไม่ชอบขยับตัวไปที่ไหนเลย ปกติหากนอนได้ก็จะไม่นั่ง หากนั่งได้ก็ไม่ยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ เขายิ่งขี้เกียจ ดังนั้นจึงไม่มาเลย จะรอจนกว่าพวกเจ้าจะกลับไปเยี่ยมเขา""งั้นอาจารย์ไม่มา แล้วพวกศิษย์พี่อื่นๆ ล่ะ? พวกเขาสามารถมาได้นี่"เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "ถ้าอาจารย์ไม่มา พวกเขาก็จะไม่มาเช่นกัน เจ้าออกจากภูเขาเหม่ยชานเมื่อเจ้าอายุสิบห้าปี จากนั้นเจ้าก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมอีกเลย ดังนั้นความสัมพันธ์จึง
ในวันที่ยี่สิบสองของเดือนจันทรคติที่สิบสอง เสิ่นชิงเหอจากไปแล้วจริงๆซ่งซีซีจับแขนเสื้อของเขาแล้วเดินส่งเขาไปที่ประตู ลมหนาวพัดแรง สภาพอากาศมืดมน และดูเหมือนว่าหิมะจะตกอีกแล้วเฮ๊ะ ศิษย์พี่ก็จากไปแล้ว ขอแค่วันแต่งงานนั้นอย่ามีหิมะตกอีก เกี้ยวสามารถเดินทางสะดวกหน่อย ก็ไม่มีคำขออื่นใดอีกแล้วเสิ่นชิงเหอยิ้มและพูดว่า "ข้าสั่งเครื่องประดับให้เจ้าที่ร้านจิน เจ้าส่งคนไปรับเลย จ่ายเงินไปแล้ว ใบเสร็จอยู่ในมือของลุงฟู""งั้นเดี๋ยวหาเวลาให้ลุงฟูไปรับของ" ซ่งซีซีเฝ้าดูผู้ดูแลม้าพาม้าของเขาออกมา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา "จะรีบไปจริงๆ หรือ อยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือ?""ไม่ได้ เรื่องเร่งด่วน" เขาลูบหน้าผากของนาง "เราจะเจอกันใหม่เร็วๆ นี้... เจ้าจะกลับภูเขาเหม่ยชานไม่ใช่หรือ?""อืม" ซ่งซีซีได้แต่กำชับว่า "ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางระวังด้วย""รู้แล้วน่า ไม่ต้องส่งเลย กลับไปเถอะ" เสิ่นชิงเหอหยิบแส้ ขึ้นม้า บังเหียนแล้วโบกมือให้นาง "กลับไปเถอะ"ซ่งซีซีส่ายหัว "ข้าจะไปส่งท่าน"เสิ่นชิงเหอก็ไม่พูดมากความ และรีบขี่ม้าออกไปโดยตรงซ่งซีซียืนอยู่ที่ประตูจวน มองดูศิษย์พี่ของตนเองจากไป ในใจของน
ซ่งซีซีไม่ได้พูดอย่างชัดเจนในวันนั้น สาเหตุหลักเป็นเพราะเห็นว่าคุณหนูสามดูค่อนข้างพอใจกับจ้านเป่ยว่างหากนางพูดโดยตรงว่า จ้านเป่ยว่างต้องการสินเดิมของนาง งั้นนางก็คงจะทำให้ปลุกเร้าความขุ่นเคืองและความสงสัยจากคุณหนูสามเท่านั้น โดยคิดว่านางจงใจใส่ร้ายอีกฝ่าย"แต่ลูกสาวที่โง่เขลาของข้าเอ๊ย เมื่อฮูหยินเสนาบดีมาถามนั้น นางก็ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรเลย และการแต่งงานครั้งนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหตุผลในนี้ เกรงว่าคุณหนูคงรู้ดี"ซ่งซีซีพยักหน้า "พอจะรู้บ้าง"นอกเสียจากหวังเบียวได้มาดูแลกองทัพเป่ยหมิงแล้ว ดังนั้นจุดประสงค์ของฮ่องเต้ ก็คือให้จ้านเป่ยว่างแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลหวัง ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน และให้หวังเบียวเลื่อนตำแหน่งให้จ้านเป่ยว่างหากจวนป๋อผิงซีไม่เห็นด้วย งั้นกองทัพเป่ยหมิงมีความเป็นไปได้สูงที่ต้องเปลี่ยนแม่ทัพ ส่วนจวนป๋อผิงซีก็ตกอับไปเรื่อยๆ แล้วจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร"วันนั้น คุณหนูไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับจ้านเป่ยว่าง ชิงหลูคิดว่าเจ้าไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของจ้านเป่ยว่าง และนางก็ไม่ได้แค้นใจเจ้า"ประโยคนี้พอฟังดูเหมือนไร้เหตุผล แต่ซ่งซีซีเข้าใจว
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม