อีกสี่วันข้างหน้าก็จะแต่งงาน ทว่าพวกอาจารย์ยังไม่มา ซ่งซีซีวิตกกังวลมากนางไปถามศิษย์พี่ว่า "อาจารย์ได้ส่งนกพิราบบินมาเพื่อส่งข่าวหรือไม่? พวกเขาจะมาถึงเมื่อไร?"เสิ่นชิงเหอถือมีดแกะสลักอยู่ในมือ และกำลังแกะสลักอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถามเช่นนี้ดูเหมือนจะจำอะไรได้ทันที "โอ้ เจ้าไม่ถาม ศิษย์พี่ก็ลืมไปแล้ว อาจารย์ส่งจดหมายมาแล้ว โดยบอกว่างานแต่งงานของเจ้าพวกเขาไม่ได้มา รอให้เจ้าว่างเมื่อไร ค่อยพาท่านอ๋องกลับไปเยี่ยมพวกเขาที่ภูเขาเหม่ยชานก็ได้""ไม่มาเหรอ" ซ่งซีซีผิดหวังมาก "ทำไมล่ะ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะมาเหรอ?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าก็รู้ หลายปีมานี้ อาจารย์ไม่ชอบขยับตัวไปที่ไหนเลย ปกติหากนอนได้ก็จะไม่นั่ง หากนั่งได้ก็ไม่ยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ เขายิ่งขี้เกียจ ดังนั้นจึงไม่มาเลย จะรอจนกว่าพวกเจ้าจะกลับไปเยี่ยมเขา""งั้นอาจารย์ไม่มา แล้วพวกศิษย์พี่อื่นๆ ล่ะ? พวกเขาสามารถมาได้นี่"เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "ถ้าอาจารย์ไม่มา พวกเขาก็จะไม่มาเช่นกัน เจ้าออกจากภูเขาเหม่ยชานเมื่อเจ้าอายุสิบห้าปี จากนั้นเจ้าก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมอีกเลย ดังนั้นความสัมพันธ์จึง
ในวันที่ยี่สิบสองของเดือนจันทรคติที่สิบสอง เสิ่นชิงเหอจากไปแล้วจริงๆซ่งซีซีจับแขนเสื้อของเขาแล้วเดินส่งเขาไปที่ประตู ลมหนาวพัดแรง สภาพอากาศมืดมน และดูเหมือนว่าหิมะจะตกอีกแล้วเฮ๊ะ ศิษย์พี่ก็จากไปแล้ว ขอแค่วันแต่งงานนั้นอย่ามีหิมะตกอีก เกี้ยวสามารถเดินทางสะดวกหน่อย ก็ไม่มีคำขออื่นใดอีกแล้วเสิ่นชิงเหอยิ้มและพูดว่า "ข้าสั่งเครื่องประดับให้เจ้าที่ร้านจิน เจ้าส่งคนไปรับเลย จ่ายเงินไปแล้ว ใบเสร็จอยู่ในมือของลุงฟู""งั้นเดี๋ยวหาเวลาให้ลุงฟูไปรับของ" ซ่งซีซีเฝ้าดูผู้ดูแลม้าพาม้าของเขาออกมา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา "จะรีบไปจริงๆ หรือ อยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือ?""ไม่ได้ เรื่องเร่งด่วน" เขาลูบหน้าผากของนาง "เราจะเจอกันใหม่เร็วๆ นี้... เจ้าจะกลับภูเขาเหม่ยชานไม่ใช่หรือ?""อืม" ซ่งซีซีได้แต่กำชับว่า "ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางระวังด้วย""รู้แล้วน่า ไม่ต้องส่งเลย กลับไปเถอะ" เสิ่นชิงเหอหยิบแส้ ขึ้นม้า บังเหียนแล้วโบกมือให้นาง "กลับไปเถอะ"ซ่งซีซีส่ายหัว "ข้าจะไปส่งท่าน"เสิ่นชิงเหอก็ไม่พูดมากความ และรีบขี่ม้าออกไปโดยตรงซ่งซีซียืนอยู่ที่ประตูจวน มองดูศิษย์พี่ของตนเองจากไป ในใจของน
ซ่งซีซีไม่ได้พูดอย่างชัดเจนในวันนั้น สาเหตุหลักเป็นเพราะเห็นว่าคุณหนูสามดูค่อนข้างพอใจกับจ้านเป่ยว่างหากนางพูดโดยตรงว่า จ้านเป่ยว่างต้องการสินเดิมของนาง งั้นนางก็คงจะทำให้ปลุกเร้าความขุ่นเคืองและความสงสัยจากคุณหนูสามเท่านั้น โดยคิดว่านางจงใจใส่ร้ายอีกฝ่าย"แต่ลูกสาวที่โง่เขลาของข้าเอ๊ย เมื่อฮูหยินเสนาบดีมาถามนั้น นางก็ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรเลย และการแต่งงานครั้งนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหตุผลในนี้ เกรงว่าคุณหนูคงรู้ดี"ซ่งซีซีพยักหน้า "พอจะรู้บ้าง"นอกเสียจากหวังเบียวได้มาดูแลกองทัพเป่ยหมิงแล้ว ดังนั้นจุดประสงค์ของฮ่องเต้ ก็คือให้จ้านเป่ยว่างแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลหวัง ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน และให้หวังเบียวเลื่อนตำแหน่งให้จ้านเป่ยว่างหากจวนป๋อผิงซีไม่เห็นด้วย งั้นกองทัพเป่ยหมิงมีความเป็นไปได้สูงที่ต้องเปลี่ยนแม่ทัพ ส่วนจวนป๋อผิงซีก็ตกอับไปเรื่อยๆ แล้วจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร"วันนั้น คุณหนูไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับจ้านเป่ยว่าง ชิงหลูคิดว่าเจ้าไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของจ้านเป่ยว่าง และนางก็ไม่ได้แค้นใจเจ้า"ประโยคนี้พอฟังดูเหมือนไร้เหตุผล แต่ซ่งซีซีเข้าใจว
หลังจากออกจากโรงน้ำชาแล้ว ซ่งซีซีก็หัวเราะด้วยความโกรธจริงๆหวังชิงหลูคนนี้มีสมองแบบไหนกันเชียว? ถึงขนาดเชื่อสิ่งที่จ้านเส้าฮวนพูดนางรู้ดีว่าทำไมจ้านเส้าฮวนถึงใส่ร้ายป้ายสีนาง และเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงรับชมหิมะของสนมฮุ่ยไทเฟยในวันนั้น นางก็รู้เรื่องด้วยจ้านเส้าฮวนถูกใจเซี่ยหลูโม่ และต้องการเป็นชายารองของเซี่ยหลูโม่นางบอกเช่นนั้นกับหวังชิงหลู หากหวังชิงหลูมาสร้างปัญหาถึงที่ เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกเซี่ยหลูโม่ได้ยินเข้า งั้นเซี่ยหลูโม่ก็เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าเขาจะเย็นชาต่อนาง หรือไม่ก็รังเกียจนางอย่างน้อย นางก็แน่ใจว่าจ้านเส้าฮวนต้องคิดเช่นนั้นนิสัยของหวังชิงหลู จะให้พูดเพราะหน่อยคือเป็นคนตรงไปตรงมา หากพูดไม่น่าฟังก็คือคนบ้าบิ่น ถูกชักจูงและยุยงได้ง่ายดูเหมือนว่าหากจวนแม่ทัพต้องการหานายหญิงที่สามารถครองอำนาจดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของหวังชิงหลูและยี่ฝาง สามารถคาดเดาได้ว่าพวกนางจะต้องมีปัญหาอะไรในอนาคตในวันนั้น เนื่องจากนางไม่ต้องการมีความแค้นหรือความเข้าใจผิดใดๆ กับใคร นางจึงเลือกที่จะพบกัน และคำพูดส่วนมากนั้นก็พูดตร
ในจวนได้เริ่มจัดเตรียมงานเลี้ยงแล้ว เนื่องจากมีคนในจวนไม่เพียงพอ ซ่งไท่กงจึงให้สมาชิกกลุ่มของพวกเขามาช่วย อีกทั้งยังพาคนรับใช้ในบ้านมาด้วยที่ตระกูลใหญ่มีลูกหลานจัดงานเลี้ยงออกเรือน จะไม่ได้จัดงานเลี้ยงในงานแต่งงาน ล้วนจะจัดงานล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวมารับประทานอาหาร จากนั้นจะจัดงานเลี้ยงต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันเพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองมาร่วมมงคลด้วยเนื่องจากเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง ดังนั้นซ่งซีซีเลยไม่ได้เรียกยายนำโชคมาหวีผมให้ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยให้ช่างแต่งหน้าที่ร้านแต่งหน้ามาหวีให้นางก็ได้แล้วอาจเป็นเพราะอาจารย์และคนอื่นๆ ไม่ได้มา ซ่งซีซีจึงไม่ได้ใส่ใจกับพิธีก่อนออกเรือนอย่างมากนักหาใช่ว่านางไม่ให้ความสำคัญที่จะแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่ หลังจากแต่งงานแล้ว นางย่อมปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองในฐานะภรรยาคนนึง เรื่องที่นางต้องรับผิดชอบนางจะทำหมด เรื่องฝ่ายในจวนจะไม่หันเหความสนใจของเซี่ยหลูโม่แน่เพียงแต่ว่า ไม่ว่าสามีที่นางกำลังจะแต่งงานด้วยจะดีแค่ไหน พอไม่มีคนฝ่ายท่านพ่อแม่ของตนเองอยู่ข้างกาย นางก็ไม่อาจจะดีใจได้ แน่นอนว่า ไม่ได้ไม่อยากจากบ้านไป ไม่ได้แสบจมูกจนอยากร
ซ่งซีซีไปโรงละครกับท่านป้า ท่านลุงของนางและกลุ่มพี่น้องของตนเอง รุ่ยเอ๋อร์ก็อยากไปเช่นกัน เมื่อเขาเป็นขอทาน เขาก็เคยแอบไปที่โรงละครเพื่อขอทาน ในขณะที่เขาดูอย่างสนุกสนามนั้นก็โดนผู้คนรู้เข้า แล้วถูกซัดคน จากนั้นถูกโยนออกไปคราวนี้ เขาก็สามารถนั่งบนเก้าอี้อย่างตรงๆ เพื่อรับชม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่ วันที่ยากลำบากในอดีตทำให้เขาหวงแหนทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้เสียงฆ้องและกลองของการแสดงดังขึ้น ทำให้บรรยากาศเกิดความตื่นเต้น ซ่งซีซีรู้สึกได้ถึงความสุขในงานแต่งงาน และอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นไปด้วยถึงยังไง ชีวิตก็ต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยก็มีรุ่ยเอ๋อร์อยู่เคียงข้างนางซ่งซีซีดูรายการการแสดง แต่เนื่องจากนางไม่ชอบชมการแสดงมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร นางจึงมอบให้ภรรยาของซ่งซื่ออันมาสั่ง พวกนางชอบรับชมการแสดง และรู้ว่าการแสดงใดที่จะเหมาะสำหรับงานแต่งงานนางซ่งสั่งการแสดงชื่อ กิ่งทองใบหยก การแสดงนี้จะน่าชมหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็เหมาะกับโอกาสนี้มากพระเอกเป็นแม่ทัพที่หลงรักลูกสาวข้าราชการ คำสั่งของพ่อแม่ การคลุมถุงชนนี้ ทั้งสองก็มีใจให้กัน สุดท้ายพวกเขาก็แต่งงานก
อาจารย์หยูไร้สีหน้า และสั่งกับทหารองครักษ์ว่า "มานี่ ส่งท่านอ๋องกลับไปต้อนรับแขก เขาจะไม่ออกไปข้างนอกจนกว่าจะถึงเย็นวันพรุ่งนี้ไปรับจ้าวสาว ถ้าท่านอ๋องออกไปก่อนเวลานั้น ทหารทุกคนจะโดนหักเงินเดือนเป็นเวลาสามเดือน"พออาจารย์หยูพูดแบบนั้น เหล่าทหารต่างจ้องมองที่เซี่ยหลูโม่ บังคับให้เขาถอยกลับไปทีละก้าว ถอยเลย ถอยเซี่ยหลูโม่กลอกตามองบน "พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน ข้าแค่ดื่มกับแขกเยอะไปหน่อย อยากออกไปสูดอากาศสดชื่นเพื่อส่างสุรา"อาจารย์หยูออกคำสั่งอีกครั้ง "ใครก็ได้ ไปนำแกงแก้เมาให้ท่านอ๋องหนึ่งถัง"หนึ่งถัง... เซี่ยหลูโม่จ้องมองเขาด้วยความโกรธ แต่อาจารย์หยูเป็นคนเด็ดขาด แม้ว่าดวงตาของเขาจะมองจนฆ่าคนได้ มันก็ไร้ผลต่ออาจารย์หยูหัวหน้าลู่ ซึ่งมีงานยุ่งมาก วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ยังเหงื่อออก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วบ่นว่า "เฮ๊ะ ท่านเอ๊ย ท่านช่วยให้คนอื่นไม่ต้องมาห่วงใยสักทีได้ไหม พรุ่งนี้จะแต่งงานอยู่แล้ว แล้วยังวิ่งไปหาฝ่ายหญิงในวันนี้ มันได้ที่ไหนกัน หากถูกแพร่ออกไปเดี๋ยวโดนคนหัวเราะได้นะ""เอาล่ะๆๆ หยุดพูดมากได้แล้ว" เซี่ยหลูโม่สะบัดมือด้วยความโกรธ
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็รู้สึกในใจซับซ้อนมากก่อนที่เขาจะไปออกศึก ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องหาคู่ครองให้ เขามักปฏิเสธ ความมุ่งมั่นที่แสดงออกมาในจดหมายทำให้นางคิดว่าลูกชายคนนี้กำลังวางแผนที่จะเป็นโสดไปตลอดชีวิตแต่พอเขากลับมาอย่างมีชัย กลับบอกว่าจะแต่งงานกับซ่งซีซีแม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานครังที่สอง แต่อย่างน้อยให้เขายอมแต่งงาน อีกอย่างได้สืบสวนมาแล้ว จ้านเป่ยว่างไม่เคยแตะต้องนางมาก่อน นางยังบริสุทธิ์ ก็พอจะรับได้กระมังสนมฮุ่ยไทเฟยพาแม่นมเกาเข้าไปที่เรือนหอทางฝั่งตะวันออก มีป้ายสีแดงแสดงมงคลติดไว้ทุกที่ เครื่องเรือนใหม่ก็ปูด้วยผ้าไหมสีแดงและผูกรูปแบบหู่กระต่ายสินค้าที่ซื้อใหม่เกือบทั้งหมดจะผูกเป็นหู่กระต่ายแม้แต่ที่บังตาขนาดใหญ่ก็ดูเหมือนผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมไหล่ มันถูกพันเป็นวงกลมและผูกหู่กระต่ายใหญ่ตรงกลางสนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำอยู่ในใจ มีหู่กระต่ายไปทุกที่ ตกลงนางให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาวกันแน่? ทำไมการตกแต่งดูเป็นเจ้าหญิงไปหมด?เมื่อเข้าไปข้างในเรื่อนหอ ทุกอย่างเป็นสีแดงและเหลืองหมด ผ้าห่มใหม่ๆ จะถูกพับลงทีละผืนบนเตียง ผ้าม่านข้างเตียงสีชมพูลงไปถึงบนพื้น เจ้า
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู
หลังจากสนมฮุ่ยไทเฟยออกจากวังและกลับจวน นางพารุ่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมซ่งซีซี นางเป็นคนพูดไม่หยุด พอรุ่ยเอ๋อร์พูดคุยกับซ่งซีซีเสร็จและเดินออกไป นางก็เล่าทุกเรื่องที่ได้ยินในวัง รวมถึงเรื่องที่ไทเฮาลงโทษอย่างหนัก ซ่งซีซีฟังจบแล้วกลับปลอบใจนางแทนว่า "คนที่ติดอยู่ในวังหลังไม่มีอะไรทำทุกวัน จะเหมือนข้าออกไปเดินเล่นหรือฟังละครไม่ได้ ย่อมชอบแต่งเรื่องเล่าต่างๆ เพื่อผ่านเวลาไป หากไม่ทำเช่นนั้น วันเวลาที่เนิ่นนานจะผ่านไปได้อย่างไร?" สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวด้วยความโกรธ "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ พูดออกมาน่าเกลียดขนาดนั้น หากทำให้หมอเอ๋อร์ของเราถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัว นี่หรือคำพูดของคน? แล้วนี่เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่ควรพูดหรือ? ช่างไม่สำรวมจริงๆ" ซ่งซีซีถอนหายใจ นางเพียงเสียใจว่าตอนที่เริ่มรู้สึกผิดปกติ นางไม่ได้ "บาดเจ็บ" ในทันที แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ดื่มน้ำซุปนั้น แม้นางจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติถึงขนาดนั้น นางกลับคิดว่าฝ่าบาทต้องการสืบเรื่องของสถาบันว่านซงเหมิน แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้นางก็ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พระองค์ทรงมีความคิดล
ไม่นานนัก สนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับมาถึงตำหนักฉือหนิงด้วยท่าทางโกรธจัด ไม่สนใจว่าฝูกงกงอยู่ด้วย นางก็กล่าวด้วยความโกรธว่า "จะไม่ให้พูดได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ในวังหลวงนั้นมองโลกแคบ ใจคับแคบเหมือนรูเข็ม เห็นใครดีกว่าไม่ได้! ซีซีของพวกเรามีความดีความชอบจนฝ่าบาททรงชื่นชม เรียกให้นางไปเข้าร่วมการปรึกษาหารือเสมอ แต่คนพวกนั้นกลับแอบพูดกระแนะกระแหนเรื่องหญิงชายอยู่ในที่เดียวกัน ว่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกันไม่เหมาะสม ช่างน่าขำสิ้นดี พวกนางลืมไปแล้วหรือว่าซีซีเป็นขุนนางราชสำนัก? หากไม่ไปห้องทรงพระอักษรเพื่อประชุมราชการ จะให้นางไปแย่งความโปรดปรานในวังหลังหรืออย่างไร?" ไทเฮาทรงจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตรัสถามว่า "พวกนางพูดอย่างนั้นหรือ?" สนมฮุ่ยไทเฟยโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา "ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เรื่อง พวกนางชมซีซีอย่างกับว่าเป็นคนใหม่ ว่าช่วงนี้นางมักจะอยู่ในห้องทรงพระอักษรกับฝ่าบาท ข้ายังรู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกแปลกๆ พวกนางพูดเหมือนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แล้วบอกว่าซีซีของเราคิดจะเกาะกิ่งไม้สูงกลายเป็นหงส์ อ๊าก! ข้าโกรธจนแทบตาย พวกนางยังกลั้นหัวเราะพลางปิดปาก เหมือนพวกแม่ค้าในตลาดเ