อาจารย์หยูไร้สีหน้า และสั่งกับทหารองครักษ์ว่า "มานี่ ส่งท่านอ๋องกลับไปต้อนรับแขก เขาจะไม่ออกไปข้างนอกจนกว่าจะถึงเย็นวันพรุ่งนี้ไปรับจ้าวสาว ถ้าท่านอ๋องออกไปก่อนเวลานั้น ทหารทุกคนจะโดนหักเงินเดือนเป็นเวลาสามเดือน"พออาจารย์หยูพูดแบบนั้น เหล่าทหารต่างจ้องมองที่เซี่ยหลูโม่ บังคับให้เขาถอยกลับไปทีละก้าว ถอยเลย ถอยเซี่ยหลูโม่กลอกตามองบน "พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน ข้าแค่ดื่มกับแขกเยอะไปหน่อย อยากออกไปสูดอากาศสดชื่นเพื่อส่างสุรา"อาจารย์หยูออกคำสั่งอีกครั้ง "ใครก็ได้ ไปนำแกงแก้เมาให้ท่านอ๋องหนึ่งถัง"หนึ่งถัง... เซี่ยหลูโม่จ้องมองเขาด้วยความโกรธ แต่อาจารย์หยูเป็นคนเด็ดขาด แม้ว่าดวงตาของเขาจะมองจนฆ่าคนได้ มันก็ไร้ผลต่ออาจารย์หยูหัวหน้าลู่ ซึ่งมีงานยุ่งมาก วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ยังเหงื่อออก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วบ่นว่า "เฮ๊ะ ท่านเอ๊ย ท่านช่วยให้คนอื่นไม่ต้องมาห่วงใยสักทีได้ไหม พรุ่งนี้จะแต่งงานอยู่แล้ว แล้วยังวิ่งไปหาฝ่ายหญิงในวันนี้ มันได้ที่ไหนกัน หากถูกแพร่ออกไปเดี๋ยวโดนคนหัวเราะได้นะ""เอาล่ะๆๆ หยุดพูดมากได้แล้ว" เซี่ยหลูโม่สะบัดมือด้วยความโกรธ
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็รู้สึกในใจซับซ้อนมากก่อนที่เขาจะไปออกศึก ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องหาคู่ครองให้ เขามักปฏิเสธ ความมุ่งมั่นที่แสดงออกมาในจดหมายทำให้นางคิดว่าลูกชายคนนี้กำลังวางแผนที่จะเป็นโสดไปตลอดชีวิตแต่พอเขากลับมาอย่างมีชัย กลับบอกว่าจะแต่งงานกับซ่งซีซีแม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานครังที่สอง แต่อย่างน้อยให้เขายอมแต่งงาน อีกอย่างได้สืบสวนมาแล้ว จ้านเป่ยว่างไม่เคยแตะต้องนางมาก่อน นางยังบริสุทธิ์ ก็พอจะรับได้กระมังสนมฮุ่ยไทเฟยพาแม่นมเกาเข้าไปที่เรือนหอทางฝั่งตะวันออก มีป้ายสีแดงแสดงมงคลติดไว้ทุกที่ เครื่องเรือนใหม่ก็ปูด้วยผ้าไหมสีแดงและผูกรูปแบบหู่กระต่ายสินค้าที่ซื้อใหม่เกือบทั้งหมดจะผูกเป็นหู่กระต่ายแม้แต่ที่บังตาขนาดใหญ่ก็ดูเหมือนผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมไหล่ มันถูกพันเป็นวงกลมและผูกหู่กระต่ายใหญ่ตรงกลางสนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำอยู่ในใจ มีหู่กระต่ายไปทุกที่ ตกลงนางให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาวกันแน่? ทำไมการตกแต่งดูเป็นเจ้าหญิงไปหมด?เมื่อเข้าไปข้างในเรื่อนหอ ทุกอย่างเป็นสีแดงและเหลืองหมด ผ้าห่มใหม่ๆ จะถูกพับลงทีละผืนบนเตียง ผ้าม่านข้างเตียงสีชมพูลงไปถึงบนพื้น เจ้า
สนมฮุ่ยไทเฟยคิดดูแล้วก็เห็นด้วย แม้ว่าเขาจะอยู่ในสนามรบในเวลานั้น แต่อยากจะห้ามการแต่งงานนั้นคงไม่ใช่ยากกระมังเพียงแต่นางลืมไปว่าการเดินทางนั้นอยู่อีกไกล และแม้ว่าซ่งซีซีจะแต่งงานมีลูก เขาก็อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้นางยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสนามรบเต็มไปด้วยอันตราย เขากระตือรือร้นที่จะเอาชนะ และคิดว่าซ่งฮูหยินสัญญากับเขาไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่อยากจะชนะศึกและกลับไปเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดสนมฮุ่ยไทเฟยไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางแค่รู้สึกว่าการมีลูกสะใภ้เช่นนี้เป็นที่ติในชีวิตที่สมบูรณ์แบบของนางดังนั้นอารมณ์ของนางจึงขัดแย้งกันเป็นพิเศษ นางดีใจที่ลูกชายจะแต่งงาน แต่ก็ไม่พอใจที่เขาแต่งงานกับซ่งซีซี ด้วยในเวลาเดียวกัน จวนแม่ทัพและจวนป๋อผิงซีก็กำลังเตรียมตัวสำหรับวันสำคัญในวันพรุ่งนี้เช่นกันจ้านเป่ยว่างแต่งงานเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่อารมณ์ที่เขาจะแต่งงานกับหวังชิงหลูมันแตกต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเขาแต่งงานกับซ่งซีซี เขาเต็มไปด้วยความสุข เขารู้สึกว่าคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนางจะเป็นภรรยาของเขาได้ ซึ่งเป็นความโชคดีของเขาในสามชั่วอายุคน ดังนั้นในวันแต่งงานแม
ยี่ฝางดูเหมือนพอจะเดาได้ แต่ก็ไม่อยากยอมรับ และไม่ยอม "ที่ตอนนั้นเจ้าบอกว่ารักข้า แค่เป็นหัวร้อนขึ้นมาในชั่วขณะหรือไม่?"จ้านเป่ยว่างยังคงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เขาไม่รู้เป็นเรื่องจริงที่เขามีใจให้ยี่ฝางในเวลานั้น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นแค่หุนหันพลันแล่นในชั่วขณะนึงหรือไม่เพราะหลังจากแต่งงานกับนาง ที่ซ่งซีซีจากไป เขาแอบรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในใจ เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาบอกกับซ่งซื่ออันว่า หวังว่านาง ซ่งซีซีจะไม่เสียใจ แต่จริงๆ แล้ว เขารู้ดีว่าเขาเสียใจในขณะนั้นแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้รักยี่ฝางเหรอ? รักแน่นอนเพียงแต่ว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรับผู้หญิงสองคนในใจไม่ได้เหรอ?มีผู้ชายตั้งมากมายที่มีภรรยาและอนุภรรยาหลายคน ซ่งซีซีทนไม่ไหว บางที่นางอาจจะโกรธที่เขาผิดสัญญา อย่างไรก็ตาม ซ่งฮูหยินก็ตายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รักษาสัญญา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คำอธิบายกับตระกูลซ่งบางที ในเวลานั้น เขารู้สึกว่าเขาได้ควบคุมซ่งซีซีไว้แล้วเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีครอบครัวให้พึ่งพา และไม่รู้ว่าทักษะการต่อสู้ของนางทรงพลังมาก มันเก่งกว่าเขาและยี่ฝางเสียอีกยิ่งยากที่จะจินตนาว่านางจะออกศึกตามลำพัง และสร้าง
จวนป๋อผิงซีก็เอิกเกริกมากเช่นกัน เนื่องจากหวังเบียวรับผิดชอบ ดูแลกองทัพเป่ยหมิง ตอนนี้ จวนป๋อผิงซีจึงครึกครื้นอย่างมาก วันพรุ่งนี้ถึงเป็นวันแต่งงาน แต่วันนี้พวกเขาก็มีงานเลี้ยงแล้วเมื่อหวังชิงหลูรับจดหมายหย่าจากตระกูลฝาง ฝ่ายตระกูลฝางคิดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสะใภ้คนนี้ นอกเหนือจากการคืนสินเดิมให้แล้ว พวกเขายังให้เงินจำนวนมากแก่นางเพื่อเป็นเงินชดเชย รวมถึงเงินบำนาญทั้งหมดสำหรับการเสียชีวิจของแม่ทัพฝาง ทั้งยังซื้อที่ดินให้นางอีกด้วยตระกูลฝางเป็นครอบครัวทหาร โดยคิดว่าไม่สามารถให้นางใช้ชีวิตอย่างเสียเวลาเปล่าๆ ในเวลานั้น หวังชิงหลูได้บอกว่านางจะไม่แต่งงานใหม่ ดังนั้นตระกูลฝางจึงกังวลว่านางอยู่ครอบครัวพ่อแม่ของตนเอง หากไม่มีเงินทองหรือที่ดินคอยพกตัว ชีวิตนี้ก็คงอยู่ยากดังนั้น จึงให้ไปไม่น้อยเลยชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนควรจะจองล่วงหน้าครึ่งปี แต่นางให้เงินเพิ่ม และบอกว่าจะสวมชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนให้ได้สินเดิมของนางถูกเปลี่ยนให้เป็นกล่องใหม่ และมีการซื้อเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมเป็นจำนวนหกสิบแปดกล่องนางได้สอบถามมาแล้ว ว่าสินเดิมที่ซ่งซีซีจะแต่งเข้าจวนอ๋องนั้นก็มีแค่หกสิบสี่กล่อง นา
ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนจันทรคติที่สิบสอง หิมะตกในตอนเช้า ฟ้ามืดมาก และลมก็หนาวราวกับมีดแม่นมเหลียงมองดูท้องฟ้าแล้วอธิษฐาน "วันนี้คุณหนูของเรากำลังจะออกเรือน พระเจ้าให้ตระกูลซ่งและคุณหนูของเราเจอกับสิ่งเลวร้ายมามากพอแล้ว วันนี้ขอให้เป็นวันที่แดดจ้าได้ไหม ข้าน้อยจะจุดธูปและบูชาท่านทุกวัน"ซ่งซีซีถูกเรียกให้ตื่นแต่เช้า มารับเมื่อเช้านี้ ช่างแต่งหน้าจากร้านมาแล้ว จะทำความสะอาดผิดและบำรุงผิวให้นางก่อน บอกว่าทำเช่นนี้แล้วถึงแต่งหน้าได้สวยขึ้นไม่รู้ว่าพวกนางผสมของเหลวชนิดใดที่มันเหนียวๆ จากนั้นก็ทาบนใบหน้าของนาง และให้นางนอนนิ่งๆโดยไม่ให้พูดอะไรเมื่อคืน นางมีอารมณ์ซับซ้อนมาก และนอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้เมื่อถูกบังคับให้นอนอยู่เก้าอี้แบบนอนได้ หลับตาไม่ให้ส่งเสียง นางถึงขนาผล็อยหลับไปจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ นางก็สิ้นหวังแล้วจริงๆ พวกอาจารย์ไม่มา และพวกเสิ่นว่านจือก็ไม่มาด้วยแม้ว่ารู้ว่ามันเกิดจากความผิดของตนเอง แต่นางก็ยังรู้สึกเสียใจมากหลังจากงีบหลับได้สักพัก นางเจ็ดแห่งร้านเหมี่ยวอี้ก็ล้างสิ่งของที่เหนียวๆ ออกไปให้นาง นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่นางตื่นขึ้นแล้ว นางก็ปล่อยให้
หลังจากนั้นไม่นาน รุ่ยเอ๋อร์ก็มาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่เขาสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และชุดสั่งทำพิเศษนี้พอดีตัวกับเขามาก มันทำจากผ้าสีแดงปักรูปกระต่าย ด้านนอกเสื้อมีเสื้อคลุมตัวเล็กที่ทำจากหนัง ยังมีหมวกที่ข้านอกสีดำและด้านในเป็นสีแดง พอแขวนไว้ที่หลังเหมือนนักสู้เลย ได้มัดผมไว้ และยังผูกด้ายสีแดง ซึ่งทั้งน่ารักและรื่นเริง"ให้ท่านอาดูหน่อยสิ เด็กที่ไหนทำไมน่ารักอย่างนี้ล่ะ" ซ่งซีซีจับมือเขาแล้วมองเขาจากหัวจรดเท้า ใบหน้าที่เพิ่งถูกเส้นด้ายขจัดจนร้อนนั้นเผยรอยยิ้มออกมา "ที่แท้คือรุ่ยเอ๋อร์ของเรานี่น่ะ ท่านอาแทบจะจำไม่ได้แล้ว น่ารักจริงๆ"รุ่ยเอ๋อร์เขินอายเล็กน้อย "นี่เป็นคำกล่อมเด็กนะ ท่านอา ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว""ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ในใจท่านอา หนูเป็นเด็กอยู่เสมอ" ซ่งซีซีกอดเขาและสัมผัสถึงความอบอุ่นจากคนในครอบครัวของตนเองนางเจ็ดยังยิ้มและกล่าวว่า "คุณชายรุ่ยเอ๋อร์หล่อมากทีเดียว เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก เขาจะเป็นลูกผู้ชายที่มีความสามารถแน่นอน"รุ่ยเอ๋อร์ชอบคนที่บอกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเอาลูกอมงานแต่งงานที่ตนเองซ่อนไว้ออกมาทันที และมอบให้กับนางเจ
แม่นมเหลียงเชิญช่างแต่งหน้าจากร้านเหมี่ยวอี้ออกไปกินเลี้ยง งานเลี้ยงได้ถูกจัดไว้แล้ว และต้องทานอาหารล่วงหน้าเพราะเจ้าสาวจะออกเรือนหลังยามเซินหลังจากกินเลี้ยงเสร็จ ช่างแต่งหน้าของร้านเหมี่ยวอี้จะไม่รีบจากไป หนึ่งในนั้นจะตามพวกเขาไปที่จวนอ๋อง หลังจากดื่มสุราร่วมกันแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องออกไปดื่มอวยพลกับแขกทุกคน ดังนั้น คนหนึ่งจะต้องติดตามพวกเขาไปเพื่อเติมหน้า แขกในจวนอ๋องมีจำนวนมากเกินไป หากเดินไปรอบๆ เพื่อดื่มชาดื่มสุรา เดี๋ยวจะทำให้หน้าเลอะเทอะได้ใกล้จะถึงวันยามเซินแล้ว สินเดิมต้องถุกขนออกจากบ้านไปฆ้องและกลองดังลั่น และลูกหลานของตระกูลซ่งก็ออกไปขนสินเดิมด้วยตนเองสินเดิมหกสิบสี่กล่อง สิ่งของที่บรรจุอยู่ในนั้นล้วนเป็นของมีค่า หนึ่งกล่องในนั้นคือภาพวาดของเสิ่นชิงเหอ ซึ่งมีค่ามากจวนป๋อผิงซีและจวนเสนาบดีกั๋วกงอยู่ห่างกันเพียงสองถนน และพวกเขาก็ออกไปขนสินเดิมในยามเซินเช่นกันหวังชิงหลูยังสวมชุดแต่งงานของนาง และรอให้สินสอดออกไปก่อน เมื่อถึงยามโย จ้านเป่ยว่างก็จะนำขบวนมารับเจ้าสาวนางส่งคนออกไปดูว่าสินเดิมจากจวนเสนาบดีกั๋วกงได้ขนออกไปหรือยัง และนับดูว่าใช่หกสิบสี่กล่องหรือไม่