อาจารย์หยูไร้สีหน้า และสั่งกับทหารองครักษ์ว่า "มานี่ ส่งท่านอ๋องกลับไปต้อนรับแขก เขาจะไม่ออกไปข้างนอกจนกว่าจะถึงเย็นวันพรุ่งนี้ไปรับจ้าวสาว ถ้าท่านอ๋องออกไปก่อนเวลานั้น ทหารทุกคนจะโดนหักเงินเดือนเป็นเวลาสามเดือน"พออาจารย์หยูพูดแบบนั้น เหล่าทหารต่างจ้องมองที่เซี่ยหลูโม่ บังคับให้เขาถอยกลับไปทีละก้าว ถอยเลย ถอยเซี่ยหลูโม่กลอกตามองบน "พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน ข้าแค่ดื่มกับแขกเยอะไปหน่อย อยากออกไปสูดอากาศสดชื่นเพื่อส่างสุรา"อาจารย์หยูออกคำสั่งอีกครั้ง "ใครก็ได้ ไปนำแกงแก้เมาให้ท่านอ๋องหนึ่งถัง"หนึ่งถัง... เซี่ยหลูโม่จ้องมองเขาด้วยความโกรธ แต่อาจารย์หยูเป็นคนเด็ดขาด แม้ว่าดวงตาของเขาจะมองจนฆ่าคนได้ มันก็ไร้ผลต่ออาจารย์หยูหัวหน้าลู่ ซึ่งมีงานยุ่งมาก วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ยังเหงื่อออก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วบ่นว่า "เฮ๊ะ ท่านเอ๊ย ท่านช่วยให้คนอื่นไม่ต้องมาห่วงใยสักทีได้ไหม พรุ่งนี้จะแต่งงานอยู่แล้ว แล้วยังวิ่งไปหาฝ่ายหญิงในวันนี้ มันได้ที่ไหนกัน หากถูกแพร่ออกไปเดี๋ยวโดนคนหัวเราะได้นะ""เอาล่ะๆๆ หยุดพูดมากได้แล้ว" เซี่ยหลูโม่สะบัดมือด้วยความโกรธ
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็รู้สึกในใจซับซ้อนมากก่อนที่เขาจะไปออกศึก ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องหาคู่ครองให้ เขามักปฏิเสธ ความมุ่งมั่นที่แสดงออกมาในจดหมายทำให้นางคิดว่าลูกชายคนนี้กำลังวางแผนที่จะเป็นโสดไปตลอดชีวิตแต่พอเขากลับมาอย่างมีชัย กลับบอกว่าจะแต่งงานกับซ่งซีซีแม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานครังที่สอง แต่อย่างน้อยให้เขายอมแต่งงาน อีกอย่างได้สืบสวนมาแล้ว จ้านเป่ยว่างไม่เคยแตะต้องนางมาก่อน นางยังบริสุทธิ์ ก็พอจะรับได้กระมังสนมฮุ่ยไทเฟยพาแม่นมเกาเข้าไปที่เรือนหอทางฝั่งตะวันออก มีป้ายสีแดงแสดงมงคลติดไว้ทุกที่ เครื่องเรือนใหม่ก็ปูด้วยผ้าไหมสีแดงและผูกรูปแบบหู่กระต่ายสินค้าที่ซื้อใหม่เกือบทั้งหมดจะผูกเป็นหู่กระต่ายแม้แต่ที่บังตาขนาดใหญ่ก็ดูเหมือนผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมไหล่ มันถูกพันเป็นวงกลมและผูกหู่กระต่ายใหญ่ตรงกลางสนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำอยู่ในใจ มีหู่กระต่ายไปทุกที่ ตกลงนางให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาวกันแน่? ทำไมการตกแต่งดูเป็นเจ้าหญิงไปหมด?เมื่อเข้าไปข้างในเรื่อนหอ ทุกอย่างเป็นสีแดงและเหลืองหมด ผ้าห่มใหม่ๆ จะถูกพับลงทีละผืนบนเตียง ผ้าม่านข้างเตียงสีชมพูลงไปถึงบนพื้น เจ้า
สนมฮุ่ยไทเฟยคิดดูแล้วก็เห็นด้วย แม้ว่าเขาจะอยู่ในสนามรบในเวลานั้น แต่อยากจะห้ามการแต่งงานนั้นคงไม่ใช่ยากกระมังเพียงแต่นางลืมไปว่าการเดินทางนั้นอยู่อีกไกล และแม้ว่าซ่งซีซีจะแต่งงานมีลูก เขาก็อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้นางยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสนามรบเต็มไปด้วยอันตราย เขากระตือรือร้นที่จะเอาชนะ และคิดว่าซ่งฮูหยินสัญญากับเขาไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่อยากจะชนะศึกและกลับไปเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดสนมฮุ่ยไทเฟยไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางแค่รู้สึกว่าการมีลูกสะใภ้เช่นนี้เป็นที่ติในชีวิตที่สมบูรณ์แบบของนางดังนั้นอารมณ์ของนางจึงขัดแย้งกันเป็นพิเศษ นางดีใจที่ลูกชายจะแต่งงาน แต่ก็ไม่พอใจที่เขาแต่งงานกับซ่งซีซี ด้วยในเวลาเดียวกัน จวนแม่ทัพและจวนป๋อผิงซีก็กำลังเตรียมตัวสำหรับวันสำคัญในวันพรุ่งนี้เช่นกันจ้านเป่ยว่างแต่งงานเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่อารมณ์ที่เขาจะแต่งงานกับหวังชิงหลูมันแตกต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเขาแต่งงานกับซ่งซีซี เขาเต็มไปด้วยความสุข เขารู้สึกว่าคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนางจะเป็นภรรยาของเขาได้ ซึ่งเป็นความโชคดีของเขาในสามชั่วอายุคน ดังนั้นในวันแต่งงานแม
ยี่ฝางดูเหมือนพอจะเดาได้ แต่ก็ไม่อยากยอมรับ และไม่ยอม "ที่ตอนนั้นเจ้าบอกว่ารักข้า แค่เป็นหัวร้อนขึ้นมาในชั่วขณะหรือไม่?"จ้านเป่ยว่างยังคงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เขาไม่รู้เป็นเรื่องจริงที่เขามีใจให้ยี่ฝางในเวลานั้น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นแค่หุนหันพลันแล่นในชั่วขณะนึงหรือไม่เพราะหลังจากแต่งงานกับนาง ที่ซ่งซีซีจากไป เขาแอบรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในใจ เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาบอกกับซ่งซื่ออันว่า หวังว่านาง ซ่งซีซีจะไม่เสียใจ แต่จริงๆ แล้ว เขารู้ดีว่าเขาเสียใจในขณะนั้นแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้รักยี่ฝางเหรอ? รักแน่นอนเพียงแต่ว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรับผู้หญิงสองคนในใจไม่ได้เหรอ?มีผู้ชายตั้งมากมายที่มีภรรยาและอนุภรรยาหลายคน ซ่งซีซีทนไม่ไหว บางที่นางอาจจะโกรธที่เขาผิดสัญญา อย่างไรก็ตาม ซ่งฮูหยินก็ตายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รักษาสัญญา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คำอธิบายกับตระกูลซ่งบางที ในเวลานั้น เขารู้สึกว่าเขาได้ควบคุมซ่งซีซีไว้แล้วเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีครอบครัวให้พึ่งพา และไม่รู้ว่าทักษะการต่อสู้ของนางทรงพลังมาก มันเก่งกว่าเขาและยี่ฝางเสียอีกยิ่งยากที่จะจินตนาว่านางจะออกศึกตามลำพัง และสร้าง
จวนป๋อผิงซีก็เอิกเกริกมากเช่นกัน เนื่องจากหวังเบียวรับผิดชอบ ดูแลกองทัพเป่ยหมิง ตอนนี้ จวนป๋อผิงซีจึงครึกครื้นอย่างมาก วันพรุ่งนี้ถึงเป็นวันแต่งงาน แต่วันนี้พวกเขาก็มีงานเลี้ยงแล้วเมื่อหวังชิงหลูรับจดหมายหย่าจากตระกูลฝาง ฝ่ายตระกูลฝางคิดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสะใภ้คนนี้ นอกเหนือจากการคืนสินเดิมให้แล้ว พวกเขายังให้เงินจำนวนมากแก่นางเพื่อเป็นเงินชดเชย รวมถึงเงินบำนาญทั้งหมดสำหรับการเสียชีวิจของแม่ทัพฝาง ทั้งยังซื้อที่ดินให้นางอีกด้วยตระกูลฝางเป็นครอบครัวทหาร โดยคิดว่าไม่สามารถให้นางใช้ชีวิตอย่างเสียเวลาเปล่าๆ ในเวลานั้น หวังชิงหลูได้บอกว่านางจะไม่แต่งงานใหม่ ดังนั้นตระกูลฝางจึงกังวลว่านางอยู่ครอบครัวพ่อแม่ของตนเอง หากไม่มีเงินทองหรือที่ดินคอยพกตัว ชีวิตนี้ก็คงอยู่ยากดังนั้น จึงให้ไปไม่น้อยเลยชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนควรจะจองล่วงหน้าครึ่งปี แต่นางให้เงินเพิ่ม และบอกว่าจะสวมชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนให้ได้สินเดิมของนางถูกเปลี่ยนให้เป็นกล่องใหม่ และมีการซื้อเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมเป็นจำนวนหกสิบแปดกล่องนางได้สอบถามมาแล้ว ว่าสินเดิมที่ซ่งซีซีจะแต่งเข้าจวนอ๋องนั้นก็มีแค่หกสิบสี่กล่อง นา
ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนจันทรคติที่สิบสอง หิมะตกในตอนเช้า ฟ้ามืดมาก และลมก็หนาวราวกับมีดแม่นมเหลียงมองดูท้องฟ้าแล้วอธิษฐาน "วันนี้คุณหนูของเรากำลังจะออกเรือน พระเจ้าให้ตระกูลซ่งและคุณหนูของเราเจอกับสิ่งเลวร้ายมามากพอแล้ว วันนี้ขอให้เป็นวันที่แดดจ้าได้ไหม ข้าน้อยจะจุดธูปและบูชาท่านทุกวัน"ซ่งซีซีถูกเรียกให้ตื่นแต่เช้า มารับเมื่อเช้านี้ ช่างแต่งหน้าจากร้านมาแล้ว จะทำความสะอาดผิดและบำรุงผิวให้นางก่อน บอกว่าทำเช่นนี้แล้วถึงแต่งหน้าได้สวยขึ้นไม่รู้ว่าพวกนางผสมของเหลวชนิดใดที่มันเหนียวๆ จากนั้นก็ทาบนใบหน้าของนาง และให้นางนอนนิ่งๆโดยไม่ให้พูดอะไรเมื่อคืน นางมีอารมณ์ซับซ้อนมาก และนอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้เมื่อถูกบังคับให้นอนอยู่เก้าอี้แบบนอนได้ หลับตาไม่ให้ส่งเสียง นางถึงขนาผล็อยหลับไปจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ นางก็สิ้นหวังแล้วจริงๆ พวกอาจารย์ไม่มา และพวกเสิ่นว่านจือก็ไม่มาด้วยแม้ว่ารู้ว่ามันเกิดจากความผิดของตนเอง แต่นางก็ยังรู้สึกเสียใจมากหลังจากงีบหลับได้สักพัก นางเจ็ดแห่งร้านเหมี่ยวอี้ก็ล้างสิ่งของที่เหนียวๆ ออกไปให้นาง นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่นางตื่นขึ้นแล้ว นางก็ปล่อยให้
หลังจากนั้นไม่นาน รุ่ยเอ๋อร์ก็มาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่เขาสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และชุดสั่งทำพิเศษนี้พอดีตัวกับเขามาก มันทำจากผ้าสีแดงปักรูปกระต่าย ด้านนอกเสื้อมีเสื้อคลุมตัวเล็กที่ทำจากหนัง ยังมีหมวกที่ข้านอกสีดำและด้านในเป็นสีแดง พอแขวนไว้ที่หลังเหมือนนักสู้เลย ได้มัดผมไว้ และยังผูกด้ายสีแดง ซึ่งทั้งน่ารักและรื่นเริง"ให้ท่านอาดูหน่อยสิ เด็กที่ไหนทำไมน่ารักอย่างนี้ล่ะ" ซ่งซีซีจับมือเขาแล้วมองเขาจากหัวจรดเท้า ใบหน้าที่เพิ่งถูกเส้นด้ายขจัดจนร้อนนั้นเผยรอยยิ้มออกมา "ที่แท้คือรุ่ยเอ๋อร์ของเรานี่น่ะ ท่านอาแทบจะจำไม่ได้แล้ว น่ารักจริงๆ"รุ่ยเอ๋อร์เขินอายเล็กน้อย "นี่เป็นคำกล่อมเด็กนะ ท่านอา ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว""ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ในใจท่านอา หนูเป็นเด็กอยู่เสมอ" ซ่งซีซีกอดเขาและสัมผัสถึงความอบอุ่นจากคนในครอบครัวของตนเองนางเจ็ดยังยิ้มและกล่าวว่า "คุณชายรุ่ยเอ๋อร์หล่อมากทีเดียว เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก เขาจะเป็นลูกผู้ชายที่มีความสามารถแน่นอน"รุ่ยเอ๋อร์ชอบคนที่บอกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเอาลูกอมงานแต่งงานที่ตนเองซ่อนไว้ออกมาทันที และมอบให้กับนางเจ
แม่นมเหลียงเชิญช่างแต่งหน้าจากร้านเหมี่ยวอี้ออกไปกินเลี้ยง งานเลี้ยงได้ถูกจัดไว้แล้ว และต้องทานอาหารล่วงหน้าเพราะเจ้าสาวจะออกเรือนหลังยามเซินหลังจากกินเลี้ยงเสร็จ ช่างแต่งหน้าของร้านเหมี่ยวอี้จะไม่รีบจากไป หนึ่งในนั้นจะตามพวกเขาไปที่จวนอ๋อง หลังจากดื่มสุราร่วมกันแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องออกไปดื่มอวยพลกับแขกทุกคน ดังนั้น คนหนึ่งจะต้องติดตามพวกเขาไปเพื่อเติมหน้า แขกในจวนอ๋องมีจำนวนมากเกินไป หากเดินไปรอบๆ เพื่อดื่มชาดื่มสุรา เดี๋ยวจะทำให้หน้าเลอะเทอะได้ใกล้จะถึงวันยามเซินแล้ว สินเดิมต้องถุกขนออกจากบ้านไปฆ้องและกลองดังลั่น และลูกหลานของตระกูลซ่งก็ออกไปขนสินเดิมด้วยตนเองสินเดิมหกสิบสี่กล่อง สิ่งของที่บรรจุอยู่ในนั้นล้วนเป็นของมีค่า หนึ่งกล่องในนั้นคือภาพวาดของเสิ่นชิงเหอ ซึ่งมีค่ามากจวนป๋อผิงซีและจวนเสนาบดีกั๋วกงอยู่ห่างกันเพียงสองถนน และพวกเขาก็ออกไปขนสินเดิมในยามเซินเช่นกันหวังชิงหลูยังสวมชุดแต่งงานของนาง และรอให้สินสอดออกไปก่อน เมื่อถึงยามโย จ้านเป่ยว่างก็จะนำขบวนมารับเจ้าสาวนางส่งคนออกไปดูว่าสินเดิมจากจวนเสนาบดีกั๋วกงได้ขนออกไปหรือยัง และนับดูว่าใช่หกสิบสี่กล่องหรือไม่
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก