หมอหงเชวี่ยกลับไปที่ร้านขายยาเย่าหวัง และรายงานกับหมอมหัศจรรย์ดันเรื่องที่คุณหนูซ่งได้ถามถึงพระชายาอ๋องเยี่ยน"เจ้าไม่ได้พูดอะไรไม่ควรพูดใช่ไหม" หมอมหัศจรรย์ดันเหลือบมองเขา น้ำเสียงของเขาดูแข็งกร้าวเล็กน้อยหงเชวี่ยกล่าวว่า "ศิษย์ไม่กล้าพูดมากความ แค่บอกว่าพระชายาอ๋องเยี่ยนไปพักผื้นที่สำนักแม่ชีชิงมู่ขอรับ"หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจ "เรื่องนี้ เราปกปิดเอาไว้ก่อน รองานแต่งงานของนางเสร็จสิ้นก่อนค่อยว่ากัน ถ้านางรู้ตอนนี้ นางจะไปหาแน่นอน"หงเชวี่ยกล่าวว่า "ศิษย์ก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานแต่งงานแล้ว งานแสดงภาพวาดที่คุณชายเสิ่นชิงเหอจัดขึ้นในเมื่อวานยังดึงดูดฮ่องเต้มาด้วย ต่อไปในเมืองหลวงนี้คงไม่มีใครกล้านินทานางอีก ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้หากไปมีเรื่องกับจวนอ๋องเยี่ยนเข้าอีก เรื่องไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ""ใช่ไง นี่นางแต่งงานครั้งที่สอง และแต่งเข้าตระกูลที่มีฐานะสูงกว่าด้วย เดิมทีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และมีคนมามายอิจฉาริษยาอยู่แล้ว เมื่อวานเมื่องานแสดงภาพวาดจัดขึ้นก็ทำให้พวกสตรีที่ขี้เม้าท์พวกนั้นได้หยุดม้าท์สักที เมื่อเวลาแต่งงานผ่านไปด้วยดี ได้ยินแต่คำดีๆ ทั้งนั้น งั้นช
หิมะตกมาสองวันแล้ว ไม่ได้ตกอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่หยุดพักนึงก็ตกต่อ มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งสวน และคนรับใช้ก็ทำความสะอาดถนน ไม่ได้ขัดขวางการเดินทางดอกบ๊วยบานสะพรั่งแต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ เมื่อใช้เท้าเตะออกไป หิมะก็ตกลงมา และดอกไม้ก็ร่วงหล่นลงมาด้วยเมื่อเห็นสีแดงที่หลงเหลืออยู่ในหิมะสีขาวบนพื้น ซ่งซีซีจึงพารุ่ยเอ๋อร์ออกไปและปั้นมนุษย์หิมะดอกบ๊วยรุ่ยเอ๋อร์ยังไปตามหาก้อนกรวดสองก้อนอย่างมีความสุขเพื่อใช้เป็นดวงตาสำหรับมนุษย์หิมะ ซึ่งดูไม่ค่อยสวยเท่าไรซ่งซีซีหยิบเสื้อคลุมมาสวมบนมนุษย์หิมะแล้วสวมหมวกให้ด้วย เมื่อมองจากระยะไกล มันดูเหมือนคนคนหนึ่งจริงๆไม่ไกลนัก กระดานวาดภาพของเสิ่นชิงเหอก็ถูกจัดวางขึ้นมาแล้ว และเขาวาดภาพได้สักพักแล้ว ศิษย์น้องที่ร่าเริงเช่นนี้ไม่ได้เจอมานานแล้ว ภาพวาดนี้ต้องส่งกลับสถาบันในวันที่ยี่สิบของเดือนจันทรคติที่สิบสอง งานแต่งงานก็ใกล้เข้ามา และซ่งซีซีก็ยุ่งมากทีเดียวชุดแต่งงานถูกส่งมอบมา ชุดแต่งงานที่ใช้เวลาหลายเดือน ย่อมงดงามมากทีเดียวอาภรณ์ชั้นนอกเป็นสีแดงสด ดูหนักมาก แต่จริงๆ แล้วพอสวมแล้วก็รู้ว่ามันทั้งเบาและเรียบเนียนมาก ชุดแต่งงานทำจากเมฆป
อีกสี่วันข้างหน้าก็จะแต่งงาน ทว่าพวกอาจารย์ยังไม่มา ซ่งซีซีวิตกกังวลมากนางไปถามศิษย์พี่ว่า "อาจารย์ได้ส่งนกพิราบบินมาเพื่อส่งข่าวหรือไม่? พวกเขาจะมาถึงเมื่อไร?"เสิ่นชิงเหอถือมีดแกะสลักอยู่ในมือ และกำลังแกะสลักอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถามเช่นนี้ดูเหมือนจะจำอะไรได้ทันที "โอ้ เจ้าไม่ถาม ศิษย์พี่ก็ลืมไปแล้ว อาจารย์ส่งจดหมายมาแล้ว โดยบอกว่างานแต่งงานของเจ้าพวกเขาไม่ได้มา รอให้เจ้าว่างเมื่อไร ค่อยพาท่านอ๋องกลับไปเยี่ยมพวกเขาที่ภูเขาเหม่ยชานก็ได้""ไม่มาเหรอ" ซ่งซีซีผิดหวังมาก "ทำไมล่ะ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะมาเหรอ?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าก็รู้ หลายปีมานี้ อาจารย์ไม่ชอบขยับตัวไปที่ไหนเลย ปกติหากนอนได้ก็จะไม่นั่ง หากนั่งได้ก็ไม่ยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ เขายิ่งขี้เกียจ ดังนั้นจึงไม่มาเลย จะรอจนกว่าพวกเจ้าจะกลับไปเยี่ยมเขา""งั้นอาจารย์ไม่มา แล้วพวกศิษย์พี่อื่นๆ ล่ะ? พวกเขาสามารถมาได้นี่"เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "ถ้าอาจารย์ไม่มา พวกเขาก็จะไม่มาเช่นกัน เจ้าออกจากภูเขาเหม่ยชานเมื่อเจ้าอายุสิบห้าปี จากนั้นเจ้าก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมอีกเลย ดังนั้นความสัมพันธ์จึง
ในวันที่ยี่สิบสองของเดือนจันทรคติที่สิบสอง เสิ่นชิงเหอจากไปแล้วจริงๆซ่งซีซีจับแขนเสื้อของเขาแล้วเดินส่งเขาไปที่ประตู ลมหนาวพัดแรง สภาพอากาศมืดมน และดูเหมือนว่าหิมะจะตกอีกแล้วเฮ๊ะ ศิษย์พี่ก็จากไปแล้ว ขอแค่วันแต่งงานนั้นอย่ามีหิมะตกอีก เกี้ยวสามารถเดินทางสะดวกหน่อย ก็ไม่มีคำขออื่นใดอีกแล้วเสิ่นชิงเหอยิ้มและพูดว่า "ข้าสั่งเครื่องประดับให้เจ้าที่ร้านจิน เจ้าส่งคนไปรับเลย จ่ายเงินไปแล้ว ใบเสร็จอยู่ในมือของลุงฟู""งั้นเดี๋ยวหาเวลาให้ลุงฟูไปรับของ" ซ่งซีซีเฝ้าดูผู้ดูแลม้าพาม้าของเขาออกมา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา "จะรีบไปจริงๆ หรือ อยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือ?""ไม่ได้ เรื่องเร่งด่วน" เขาลูบหน้าผากของนาง "เราจะเจอกันใหม่เร็วๆ นี้... เจ้าจะกลับภูเขาเหม่ยชานไม่ใช่หรือ?""อืม" ซ่งซีซีได้แต่กำชับว่า "ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางระวังด้วย""รู้แล้วน่า ไม่ต้องส่งเลย กลับไปเถอะ" เสิ่นชิงเหอหยิบแส้ ขึ้นม้า บังเหียนแล้วโบกมือให้นาง "กลับไปเถอะ"ซ่งซีซีส่ายหัว "ข้าจะไปส่งท่าน"เสิ่นชิงเหอก็ไม่พูดมากความ และรีบขี่ม้าออกไปโดยตรงซ่งซีซียืนอยู่ที่ประตูจวน มองดูศิษย์พี่ของตนเองจากไป ในใจของน
ซ่งซีซีไม่ได้พูดอย่างชัดเจนในวันนั้น สาเหตุหลักเป็นเพราะเห็นว่าคุณหนูสามดูค่อนข้างพอใจกับจ้านเป่ยว่างหากนางพูดโดยตรงว่า จ้านเป่ยว่างต้องการสินเดิมของนาง งั้นนางก็คงจะทำให้ปลุกเร้าความขุ่นเคืองและความสงสัยจากคุณหนูสามเท่านั้น โดยคิดว่านางจงใจใส่ร้ายอีกฝ่าย"แต่ลูกสาวที่โง่เขลาของข้าเอ๊ย เมื่อฮูหยินเสนาบดีมาถามนั้น นางก็ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรเลย และการแต่งงานครั้งนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหตุผลในนี้ เกรงว่าคุณหนูคงรู้ดี"ซ่งซีซีพยักหน้า "พอจะรู้บ้าง"นอกเสียจากหวังเบียวได้มาดูแลกองทัพเป่ยหมิงแล้ว ดังนั้นจุดประสงค์ของฮ่องเต้ ก็คือให้จ้านเป่ยว่างแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลหวัง ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน และให้หวังเบียวเลื่อนตำแหน่งให้จ้านเป่ยว่างหากจวนป๋อผิงซีไม่เห็นด้วย งั้นกองทัพเป่ยหมิงมีความเป็นไปได้สูงที่ต้องเปลี่ยนแม่ทัพ ส่วนจวนป๋อผิงซีก็ตกอับไปเรื่อยๆ แล้วจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร"วันนั้น คุณหนูไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับจ้านเป่ยว่าง ชิงหลูคิดว่าเจ้าไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของจ้านเป่ยว่าง และนางก็ไม่ได้แค้นใจเจ้า"ประโยคนี้พอฟังดูเหมือนไร้เหตุผล แต่ซ่งซีซีเข้าใจว
หลังจากออกจากโรงน้ำชาแล้ว ซ่งซีซีก็หัวเราะด้วยความโกรธจริงๆหวังชิงหลูคนนี้มีสมองแบบไหนกันเชียว? ถึงขนาดเชื่อสิ่งที่จ้านเส้าฮวนพูดนางรู้ดีว่าทำไมจ้านเส้าฮวนถึงใส่ร้ายป้ายสีนาง และเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงรับชมหิมะของสนมฮุ่ยไทเฟยในวันนั้น นางก็รู้เรื่องด้วยจ้านเส้าฮวนถูกใจเซี่ยหลูโม่ และต้องการเป็นชายารองของเซี่ยหลูโม่นางบอกเช่นนั้นกับหวังชิงหลู หากหวังชิงหลูมาสร้างปัญหาถึงที่ เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกเซี่ยหลูโม่ได้ยินเข้า งั้นเซี่ยหลูโม่ก็เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าเขาจะเย็นชาต่อนาง หรือไม่ก็รังเกียจนางอย่างน้อย นางก็แน่ใจว่าจ้านเส้าฮวนต้องคิดเช่นนั้นนิสัยของหวังชิงหลู จะให้พูดเพราะหน่อยคือเป็นคนตรงไปตรงมา หากพูดไม่น่าฟังก็คือคนบ้าบิ่น ถูกชักจูงและยุยงได้ง่ายดูเหมือนว่าหากจวนแม่ทัพต้องการหานายหญิงที่สามารถครองอำนาจดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของหวังชิงหลูและยี่ฝาง สามารถคาดเดาได้ว่าพวกนางจะต้องมีปัญหาอะไรในอนาคตในวันนั้น เนื่องจากนางไม่ต้องการมีความแค้นหรือความเข้าใจผิดใดๆ กับใคร นางจึงเลือกที่จะพบกัน และคำพูดส่วนมากนั้นก็พูดตร
ในจวนได้เริ่มจัดเตรียมงานเลี้ยงแล้ว เนื่องจากมีคนในจวนไม่เพียงพอ ซ่งไท่กงจึงให้สมาชิกกลุ่มของพวกเขามาช่วย อีกทั้งยังพาคนรับใช้ในบ้านมาด้วยที่ตระกูลใหญ่มีลูกหลานจัดงานเลี้ยงออกเรือน จะไม่ได้จัดงานเลี้ยงในงานแต่งงาน ล้วนจะจัดงานล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวมารับประทานอาหาร จากนั้นจะจัดงานเลี้ยงต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันเพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองมาร่วมมงคลด้วยเนื่องจากเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง ดังนั้นซ่งซีซีเลยไม่ได้เรียกยายนำโชคมาหวีผมให้ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยให้ช่างแต่งหน้าที่ร้านแต่งหน้ามาหวีให้นางก็ได้แล้วอาจเป็นเพราะอาจารย์และคนอื่นๆ ไม่ได้มา ซ่งซีซีจึงไม่ได้ใส่ใจกับพิธีก่อนออกเรือนอย่างมากนักหาใช่ว่านางไม่ให้ความสำคัญที่จะแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่ หลังจากแต่งงานแล้ว นางย่อมปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองในฐานะภรรยาคนนึง เรื่องที่นางต้องรับผิดชอบนางจะทำหมด เรื่องฝ่ายในจวนจะไม่หันเหความสนใจของเซี่ยหลูโม่แน่เพียงแต่ว่า ไม่ว่าสามีที่นางกำลังจะแต่งงานด้วยจะดีแค่ไหน พอไม่มีคนฝ่ายท่านพ่อแม่ของตนเองอยู่ข้างกาย นางก็ไม่อาจจะดีใจได้ แน่นอนว่า ไม่ได้ไม่อยากจากบ้านไป ไม่ได้แสบจมูกจนอยากร
ซ่งซีซีไปโรงละครกับท่านป้า ท่านลุงของนางและกลุ่มพี่น้องของตนเอง รุ่ยเอ๋อร์ก็อยากไปเช่นกัน เมื่อเขาเป็นขอทาน เขาก็เคยแอบไปที่โรงละครเพื่อขอทาน ในขณะที่เขาดูอย่างสนุกสนามนั้นก็โดนผู้คนรู้เข้า แล้วถูกซัดคน จากนั้นถูกโยนออกไปคราวนี้ เขาก็สามารถนั่งบนเก้าอี้อย่างตรงๆ เพื่อรับชม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่ วันที่ยากลำบากในอดีตทำให้เขาหวงแหนทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้เสียงฆ้องและกลองของการแสดงดังขึ้น ทำให้บรรยากาศเกิดความตื่นเต้น ซ่งซีซีรู้สึกได้ถึงความสุขในงานแต่งงาน และอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นไปด้วยถึงยังไง ชีวิตก็ต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยก็มีรุ่ยเอ๋อร์อยู่เคียงข้างนางซ่งซีซีดูรายการการแสดง แต่เนื่องจากนางไม่ชอบชมการแสดงมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร นางจึงมอบให้ภรรยาของซ่งซื่ออันมาสั่ง พวกนางชอบรับชมการแสดง และรู้ว่าการแสดงใดที่จะเหมาะสำหรับงานแต่งงานนางซ่งสั่งการแสดงชื่อ กิ่งทองใบหยก การแสดงนี้จะน่าชมหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็เหมาะกับโอกาสนี้มากพระเอกเป็นแม่ทัพที่หลงรักลูกสาวข้าราชการ คำสั่งของพ่อแม่ การคลุมถุงชนนี้ ทั้งสองก็มีใจให้กัน สุดท้ายพวกเขาก็แต่งงานก
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป