เสียงซ่งซีซีนุ่มนวล ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป กล่าวว่า "หม่อมฉันขอให้องค์หญิงใหญ่มีอายุยืนยาว"ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ค่อย ๆ ละสายตาจากใบหน้านาง ความคิดและความเกลียดชังที่หลั่งไหลเข้ามาก็ค่อย ๆ ระงับลง "คุณหนูซ่งมีใจแล้ว ใครก็ได้ มารับของขวัญที"คนรับใช้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับม้วนกระดาษ ท่านหญิงเจียอี้ก็พูดอย่างเย็นชา "ดูเหมือนว่าของขวัญนั้นจะเป็นภาพอักษรวิจิตร ข้าสงสัยว่ามันมาจากมือของอาจารย์ท่านไหน? อย่าแค่ซื้อมาจากบนถนนนะ"ซ่งซีซียิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ถึงแม้จะซื้อจากบนถนน ก็เป็นน้ำใจจากข้า เช่นเดียวกับตอนที่ท่านพ่อกับท่านพี่ข้าเสีย องค์หญิงใหญ่ส่งอนุสรณ์สืบทอดพรหมจรรย์มาให้ท่านแม่ข้า ก็เป็นน้ำใจจากองค์หญิงใหญ่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?"ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อซ่งซีซีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง ทุกคนมีสีหน้าต่างกันออกไป แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นในใจ นี่มันเลวร้ายเกินไปหรือเปล่า? แม่ทัพซ่งตายเพื่อประเทศ องค์หญิงจะให้วัตถุต้องสาปแช่งได้อย่างไร?สนมฮุ่ยไทเฟยสูดลมหายใจและโพล่งออกมาว่า "อนุสรณ์สืบทอดพรหมจรรย์? นี่มันช่างเป็นคำสาปที่เลวร้ายจริง ๆ? ต้องกา
ท่านหญิงเจียอี้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อแย่ง "ข้าจะเปิดเอง ซ่งซีซีถ้าเจ้ากล้าสาปแช่งแม่ของข้า ข้าจะให้เจ้าตายโดยไม่มีที่ฝัง"ม้วนกระดาษคลี่ออกอย่างช้า ๆ และทุกคนก็เหยียดคอเพื่อดู สิ่งที่เห็นหลังจากคลี่ม้วนกระดาษออกคือภาพของเหมยเย็นม้วนกระดาษยาวครึ่งฟุตแสดงถึงดอกเหมยที่มีกิ่งก้านที่แข็งแรง ดอกเหมยมีทั้งบานสะพรั่งหรือแตกหน่อ และมีดอกไม้จำนวนมากอยู่บนกิ่งก้านทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นว่ารูปดอกเหมยมีชีวิต ราวกับว่ามีต้นเหมยอยู่ตรงหน้า และแม้แต่รูแมลงบนกิ่งก้านของต้นเหมยก็มองเห็นได้ชัดเจนมีสตรีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งที่รู้จักการวาดภาพและพูดออกมาเบา ๆ ว่า "นี่คือรูปดอกเหมยเย็นของท่านเสิ่นชิงเหอหรือเปล่า? ข้าเคยเห็นท่านเสิ่นชิงเหอภาพวาดดอกเหมยมาก่อน ฝีมือเหมือนกัน ตรานี้ ใช่ เป็นของท่านเสิ่นชิงเหอ"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ก็เกิดความโกลาหลมากมายในที่เกิดเหตุ รูปภาพของเหมยเย็นของท่านเสิ่นชิงเหอ? นั่นคือสิ่งที่หายาก คำพูดของซ่งซีซีไม่สุภาพ แต่ของขวัญวันเกิดที่ให้นั้นมีค่ามากองค์หญิงใหญ่เป็นคนมีศิลปะมาโดยตลอด นางเห็นภาพวาดของเสิ่นชิงเหอ แต่นางจำไม่ได้ แค่รู้สึกว่ามีต้นเหมยต้นใหญ่อยู่ตรงหน้า นาง
พระชายาฉินอ๋องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที "คุณหนูหยานเจ้าฟังไม่เข้าใจหรือไง แบบอักษรของตราประทับนี้ผิดอยู่แล้ว จะต้องการให้ข้านำภาพดอกบ๊วยเย็นของคุณชายเสิ่นชิงเหอให้เจ้าตรวจดูสักหน่อยหรือไม่"หยานหรูอวี้ทำหน้าจริงจัง "ภาพดอกบ๊วยเย็นที่คุณชายเสิ่นชิงเหอวาดนั้น ที่บ้านหม่อมฉันก็มีสองภาพ อีกทั้งคุณชายเสิ่นชิงเหอวาด ตามดอกบ๊วยหลังบ้านหม่อมฉันด้วยตนเอง ท่านปู่ของหม่อมฉันก็อยู่ด้วย มีสองภาพได้วาดสองต้นดอกบ๊วยอย่างละภาพ ภาพหนึ่งใช้ตราประทับที่เป็นแบบอักษรเสี่ยวจ้วน อีกภาพหนึ่งเป็นแบบอักษรต้าจ้วนทับ ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายเสิ่นมีแบบอักษรตราประทับมากกว่าสองแบบนี้ด้วยซ้ำ"นางเปิดเผยส่วนลายตราประทับออกมาก่อนพูดว่า "ลายตราประทับนี้เหมือนกับภาพวาดที่เก็บไว้ในบ้านของหม่อมฉันทุกประการ วันนี้ท่านปู่ของหม่อมฉันก็มาด้วย เขาอยู่นอกลานบ้านหลัก หากทุกท่านไม่เชื่อ สามารถให้ท่านปู่ของหม่อมฉันมาตรวจดูได้"พระชายาฉินอ๋องสะดุ้ง แต่ส่ายหัว "มันเป็นไปไม่ได้ ภาพวาดทั้งหมดที่ขายโดยคุณชายเสิ่นจะถูกประทับตราด้วยแบบอักษรต้าจ้วน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันดี"หยานหรูอวี้กล่าวว่า "ใช่เพคะ ดังนั้นภาพวาดสองภาพในบ้าน
เสียงของไทฟู่สั่นเทา และเขารู้สึกใจหวิวๆ ด้วยความปวดร้าว แม้ว่าเขาจะมีภาพวาดดอกบ๊วยเย็นสองภาพอยู่ในจวนของเขา แต่งานฝีมือของคุณชายเสิ่นชิงเหอแท้ๆ จะถูกทำลายเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นการไม่ให้เกียรติกับคุณชายเสิ่นชิงเหอมากเกินไป และน่าเสียดายกับภาพวาดนี้เช่นกันเขาใช้มือที่กำลังสั่นสะเทาอยู่ ให้คนหนึ่งช่วยถืออีกด้านนึงไว้ จากนั้นต่อกับภาพส่วนนึงที่อยู่ในมือของเขา ภาพวาดนี้ดีกว่าภาพในจวนที่เขาเก็บรวบรวมไว้ เพราะดอกบ๊วยในภาพนี้กำลังบานสะพรั่งดีมากทีเดียวดอกบ๊วยในภูเขาเหม่ยชาน โดยธรรมชาติแล้วเทียบไม่ได้กับดอกบ๊วยที่ปลูกในสวนหลังบ้านของจวนพอเซี่ยหลูโม่ได้ยินว่าเป็นลายมือที่แท้จริงของเสิ่นชิงเหอ เขาคงเดาได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไรพลางมองกวาดดูใบหน้าทุกคนหยานไท่ฟู่เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ริมฝีปากของเขาสั่นเทาไม่หยุด "ทำไมต้องฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ ใครเป็นคนทำ หือ?"สมาชิกหญิงในครอบครัวมองดูใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ และเงียบกันหมด เดิมทีสนมฮุ่ยไทเฟยอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่เหลือบมองนางอย่างเย็นชา คำพูดที่ใกล้หลุดออกจากปากนั้นก็กลับเข้าปากของนางช่างเถอะ อดทนไว้เดี๋ยวก
แต่แล้ว หากองค์หญิงใหญ่อยากสร้างปัญหาให้ผู้ใด ก็ย่อมไม่ออมมือให้ จากนั้นนางก็ส่งคนไปเชิญชวนหมอมหัศจรรย์ดันกลับมาหมอมหัศจรรย์ดันเคยอธิบายกับปัญหาเรื่องนี้ไปแล้ว และฮูหยินของขุนนางนั้นก็อยู่ด้วย แต่เขายินดีที่จะชี้แจงอีกครั้งยืนอยู่ด้านหลังฉากบังตา เสียงของเขาทั้งแก่ชราและจริงจัง "ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านป่วยเป็นโรคหัวใจและไอเป็นเลือด โรคนี้เรื้อรังมาหลายปีแล้ว และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จนถึงบัดนี้ยังรักษาได้ยาก ใช้ได้แต่ยาดันเสวี่ยเพื่อควบคุมโรคด้วย ในตอนแรกที่ข้ารักษาให้นางเพราะเห็นแก่คุณหนูซ่ง นับตั้งแต่ที่คุณหนูซ่งแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ดูแลนางทั้งวันทั้งคืนอย่างเอาใจใส่เป็นเวลาหนึ่งปี ค่ายาดันเสวี่ยทุกเดือนที่นางกินมีราคาไม่ใช่น้อย เงินนี้มาจากไหนคงไม่ต้องพูดเจาะลึกก็รู้แล้วแหละ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าจ้านไม่ให้ความร่วมมือมาก นางเอาแต่พูดต่อหน้าข้าว่าค่ายาแพงมาก แต่กลับไม่ถามว่ายานี้ได้ทำมาจากสมุนไพรอันล้ำค่าอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่คุณหนูซ่งมาขอร้องข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ข้าคงไม่ไปจวนแม่ทัพตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว""ดังสุภาษิตที่ว่า คนเราดำรงชีวิตอยู่ด้วยหน้าตาที่รู้ละอายใจ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ดำรงชีวิตอยู่ด
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงแม้แต่เหตุการณ์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านถูกหมอมหัศจรรย์ดันด่าว่าอย่างรุนแรงนั้นก็ลืมหายไปอย่างรวดเร็วพวกเขาทั้งหมดมองไปที่สนมฮุ่ยไทเฟย นั่นหมายความว่าอะไร? เป่ยหมิงอ๋องต้องการแต่งงานกับซ่งซีซีงั้นเหรอ? ท่านอ๋องจะแต่งงานกับผู้หญิงที่หย่าแล้วเหรอ?ไม่เพียงแต่ฮูหยินทั้งหลายเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่ยังประหลาดใจอีกด้วย นางมองไปที่สนมฮุ่ยไทเฟย จากนั้นมองดูซ่งซีซี ก่อนจะขมวดคิ้วซ่งซีซีก็มองดูสนมฮุ่ยไทเฟยอย่าเรียบๆ แวบนึง เรื่องนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไร อย่างน้อยยังไม่ได้ทำการสู่ขอเลย ทำไม่ถึงประกาศเช่นนี้ออกมาแล้วล่ะอีกอย่าง นางไม่ชอบตัวเองไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้ถามอะไรสักคำ ไม่มีข่าวอัไรแพร่ออกไป นางกลับประกาศในที่นี่ทั้งอย่างนี้ยอมรับนาง? แต่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วเกินไปจนทำให้นางตั้งตัวไม้ทันยิ่งกว่านั้นแม้ว่าจะพูดเรื่องนี้ก็ไม่ควรมาพูดในช่วงเวลาเช่นนี้ นางถูกวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นเวลานาน ดว่าจะหมอมหัศจรรย์ดันมาเล่าให้ฮูหยินทุกคนฟังว่าทำไมเขาไม่ยอมรักษาให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าน ทว่านางก็รีบช่วยหาทางให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีทางออกเลยว่าที่แม่สามีคนนี้ ไม่ได้เรื่อ
ซ่งซีซียิ้มเบาๆ และพูดต่ออย่างใจเย็นว่า "ข้าไม่รู้สึกน่าอับอาย เพียงแต่ว่าท่านหญิงเจียอี้ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ? บุตรีคนโตขององค์หญิง ที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากราชวงศ์ ทว่ากลับพูดจาหยาบคาย แม้แต่ภาพวาดของศิษย์พี่ข้ายังมองไม่ออกก็เลยฉีกขาด ด่วนสรุปและใช้กำลังเช่นนี้ หากคนนอกรู้เรื่องเข้าก็จะเห็นท่านเป็นตัวตลกเลย แล้วที่ท่านให้ข้าไปไกลๆ นั้น เป็นคำสั่งให้ไล่ข้าออกหรือ เฮอะ น่าตลกสิ้นดี จวนองค์หญิงส่งคำเชิญให้ข้า ข้านำของขวัญวันเกิดมาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย บัดนี้กลับต้องการไล่ข้า นี่มันคือวิธีปฏิบัติต่อแขกของจวนองค์หญิงงั้นเหรอ หรือว่าจุดประสงค์ที่มอบคำเชิญนี้ให้ข้าจริงๆ แล้วมีเจตนาอื่นแอบแฝง คืออยากให้ข้าอับอายต่อหน้าฮูหยินทุกท่าน หรือว่าจะคิดว่าหลังจากที่ข้ากย่ากับจ้านเป่ยว่างจะต้องอายคนอื่นจนไม่กล้าพบหน้าใคร แล้วจะให้พวกท่านด่าทอใส่ร้ายตามอำเภอใจได้งั้นเหรอ""อยากจะชวนข้ามาเพื่อหัวเราะเยาะเรื่องของข้า งั้นคงต้องทำให้พวเจ้าผิดหวังแล้ว ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร คนที่ต้องอายคนอื่นไม่ใช่ข้า คนของตระกูลซ่งซื่อตรงและใจกว้าง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็สามารถยืดหลังตรงและพูดอะไรออกมาอย่างไม่เกรงกล
ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป เซี่ยหลูโม่ก็จากไปเช่นกันคำพูดที่พูดคุยกันในลานด้านในก็ไปถึงลานหลักด้วย พวกสมาชิกราชวงศ์ ขุนนางและทหารทุกคนก็รู้ว่า เป่ยหมิงอ๋องกำลังจะแต่งงานกับแม่ทัพซ่งซีซีความคิดของผู้ชายแตกต่างจากผู้หญิงไปผู้ชายให้ความสำคัญกับภูมิหลังครอบครัว ความบริสุทธิ์ แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มากกว่าซ่งซีซีคือใคร? นอกจากจะเป็นลูกสาวของเสนาบดีเจิ้นกั๋วกง มีจวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นที่พึ่งพาแล้ว นางยังเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน และคุณชายเสิ่นชิงเหอก็เป็นศิษย์พี่คนโตของนางนอกจากเสิ่นชิงเหอแล้ว สถาบันว่านซงเหมินยังมีคนที่มีความสามารถอีกมากมาย สถาบันว่านซงเหมินไม่ได้เป็นเพียงนิกายศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ผู้นำคนปัจจุบันของสถาบันว่านซงเหมิน คือเหลนชายของเหรินปิ่งยี่ แม่ทัพใหญ่ชั้นเอกในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าอันหนาน ชื่ว่า เหรินหยางอวิ๋นเหรินหยางอวิ๋นก่อตั้งสถาบันว่านซงเหมินด้วยตัวเอง และนิกายของทั้งภูเขาเหม่ยชาน ต้องเห็นแก่หน้าเขา เพราะภูเขาเหม่ยชานทั้งหมดเป็นของเขา และในสมัยก่อนนั่นมันเป็นที่ดินที่เหรินปิ่งยี่ครอบครองแม้ว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้าอันหนานไม่ได้รับสืบทอด แต่ที่ดินที่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา