แท่นฝนหมึกที่จักรพรรดิ์ซูชิงขว้างออกมา ไม่ได้ถูกองค์ชายใหญ่ เพราะอู๋ต้าปั้นรีบเข้าขวางไว้ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ องค์ชายใหญ่จะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ แต่แม้จะไม่ได้ถูกแท่นฝนหมึก องค์ชายใหญ่ก็ถูกทำให้ตกใจจนร้องไห้เสียงดัง จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความโกรธ “ข้าในวัยเดียวกับเจ้า บทกลอนพันคำนี้ข้าท่องได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เจ้ากลับท่องไม่ได้แม้แต่สองประโยค ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงไปอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงกับพระอัยยิกาของเจ้า” องค์ชายใหญ่สะอื้นพร้อมร้องเสียงดัง “ลูกไม่อยากไป ลูกอยากอยู่กับเสด็จแม่ ลูกไม่ชอบพระอัยยิกา!” เขาเกลียดการไปอยู่กับพระอัยยิกา เพราะทุกครั้งที่ต้องไปถวายพระพร พระอัยยิกาก็จะเหมือนเสด็จพ่อ ที่คอยถามเรื่องการเรียนของเขา และเขาเกลียดการถูกถามเช่นนั้น “รีบนำตัวเขาไปที่ตำหนักฉือหนิง” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสสั่งด้วยความเดือดดาล กุ้ยเซิงรีบเรียกข้ารับใช้อีกสองคนมาพาตัวองค์ชายใหญ่ไปตำหนักฉือหนิงทันที จักรพรรดิ์ซูชิงทรงพระพักตร์แดงด้วยความโกรธ แต่ในพระทัยกลับรู้สึกเศร้าเหลือเกิน พระโอรสสายตรงของพระองค์ช่างไร้ค่าเช่นนี้ได้อย่างไร อู๋ต้าปั้นเก็บฝนหมึกกลับที่เดิม สีหน้าของเข
ห้องทรงพระอักษร วันนี้มิใช่วันว่าราชการยามเช้า จักรพรรดิ์ซูชิงซึ่งมิได้บรรทมตลอดคืนทรงเรียกขุนนางมาหารือเรื่องศึกที่เขตหนานเจียง ไม่มีผู้ใดสามารถถวายข้อเสนออันเป็นประโยชน์ได้ นอกเสียจากการเสนอให้พระองค์ทรงนำทัพด้วยพระองค์เอง อีกทั้งบุคคลที่แนะนำมาก็มิอาจใช้ได้ พระองค์ทรงกริ้วจนล้นพระทัย ตรัสก้องด้วยความพิโรธ “ขุนนางผู้เป็นเสาหลักแห่งราชสำนักนี้ พอถึงเวลาสำคัญกลับไม่มีผู้ใดพึ่งพาได้ กินเบี้ยหวัดของเจ้าแผ่นดิน แต่ไม่คิดช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเจ้าแผ่นดิน เช่นนี้แล้วพวกเจ้าจะมีประโยชน์อันใดเล่า?” บรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นในที่ประชุมต่างมิกล้าเปล่งเสียง ตระหนักในใจว่าหาได้มีหนทางใดจะถวายให้พระองค์ได้เลย แม้พระองค์มักตรัสว่าจะโปรดเลื่อนตำแหน่งแม่ทัพหนุ่ม แต่ก็ไม่ทรงเลือกใครจากกองทัพเป่ยหมิงหรือแม้แต่แม่ทัพซ่ง พระองค์กลับโปรดเลื่อนตำแหน่งหวังเปียว ผู้ที่ห่างเหินจากสนามรบมาเนิ่นนาน โดยมิทรงใยดีที่จะเลือกใครจากฉีหลินและพรรคพวก จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรบรรดาขุนนางอย่างเย็นชา เมื่อทรงระลึกได้ว่าหวังเปียวคือผู้ที่พระองค์โปรดเลื่อนตำแหน่งด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ก็ยิ่งเพิ่มค
นางยกพระบัญชาขึ้นเหนือมือ กล่าวตอบว่า “กราบทูลฝ่าบาท องค์ชายมิได้ป่วยเป็นโรคหัวใจจริง หลังจากหลอกหมอหลวงหลินและอู๋ต้าปั้นสำเร็จ เขามิได้เดินทางไปยังภูเขาเหมยซาน แต่กลับมุ่งหน้าไปยังเขตหนานเจียงโดยตรง” “พวกเจ้ารู้เรื่องสถานการณ์ที่เขตหนานเจียงล่วงหน้าหรือไม่?” นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงอยากรู้ที่สุด “มิได้พะย่ะค่ะ เขาไปเขตหนานเจียงโดยไม่ทราบว่า หวังเปียวจะล่าถอยกลางสนามรบ เขาเพียงไม่วางใจ” ซ่งซีซีก้าวขึ้นไปข้างหน้า กล่าวต่อว่า “เขาไม่วางใจ เพราะที่นั่นคือสมรภูมิที่เขาร่วมรบกับสหายศึก พวกเขาร่วมเป็นร่วมตาย ผ่านการต่อสู้นองเลือด บางคนสละชีวิตที่นั่น เพียงเพื่อเป้าหมายเดียว จนกระทั่งเขตหนานเจียงถูกยึดกลับคืนมาได้ เขาจึงยินดีมอบอำนาจบัญชาการคืน แต่บัดนี้ แคว้นซากลับฟื้นตัวและบุกมาอีกครั้ง อีกทั้งยังมีความสงสัยว่าร่วมมือกับศัตรูภายใน เขาจะวางใจให้ผู้ที่ห่างเหินสนามรบและหลงระเริงในความสุขเป็นแม่ทัพบัญชาการได้อย่างไร?” “เขายังกล่าวว่า ประชาชนที่เขตหนานเจียงไม่อาจทนต่อสงครามยืดเยื้ออีกแล้ว ต้องจบศึกอย่างรวดเร็ว หวังเปียวไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ อีกทั้งชอบหลงระเริงกับความยิ่งใหญ่
ด้านนอกท้องพระโรง อู๋ต้าปั้นตัวเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว ขาสั่นแทบไร้เรี่ยวแรง แม้แต่ตอนที่ซ่งซีซีเดินออกมา เขายังรู้สึกว่าหัวใจของตนลอยอยู่กลางอากาศ ที่ฝ่าบาทไม่ทรงพิโรธ ถือเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก โค้งตัวส่งนางกลับ ซ่งซีซีกล่าวด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “กงกงวางใจเถิด” คำพูดนั้นทำให้อู๋ต้าปั้นรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย “ใต้เท้าซ่งเดินทางโดยสวัสดิภาพ” หลังจากซ่งซีซีเดินจากไป อู๋ต้าปั้นก็กลับเข้ามาถวายงานในท้องพระโรง เขาแอบเหลือบมองฝ่าบาท ทอดพระเนตรว่าพระพักตร์ของพระองค์ยังมีความยินดีอยู่ ก็อดแปลกใจไม่ได้ เช้านี้ ตอนส่งองค์ชายใหญ่ไปยังตำหนักฉือหนิง ฝ่าบาทยังตรัสว่าต่อให้เป่ยหมิงอ๋องไปเขตหนานเจียง ก็ยังคงมีจิตคิดคด แต่ไฉนตอนนี้กลับดูยินดีนัก? แท้จริงแล้วพระทัยของกษัตริย์ ยากแท้หยั่งถึง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นครั้งหนึ่ง “จัดสำรับ!” ตั้งแต่ได้ข่าวว่าหวังเบียวถอยกลางสนามรบ พระองค์ยังมิได้เสวยสิ่งใดเลย อู๋ต้าปั้นรีบเรียกคนจัดสำรับ และเปลี่ยนชาให้พระองค์ใหม่ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้สึกในปากแห้งขม เมื่อทรงจิบชาไปหนึ่งอ
หลานเจี่ยนไม่สามารถพบองค์ชายใหญ่ได้ ได้แต่ฟังข่าวจากคนของตำหนักฉือหนิงออกมาบอกว่า องค์ชายใหญ่กำลังคัดลอกบทเรียนพันครั้ง และไทเฮาทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดรบกวน หลานเจี่ยนทราบดีว่าองค์ชายใหญ่มักไม่ชอบคัดหนังสือ ไฉนจึงเชื่อฟังได้ถึงเพียงนี้? ข่าวคราวจากตำหนักฉือหนิงนั้นยากจะสืบรู้ แม้ใช้เงินตราก็ไม่เป็นผล กฎระเบียบนั้นเข้มงวดนัก นางจึงทำได้เพียงเซ้าซี้อยู่พักหนึ่ง จนได้คำตอบเลื่อนลอยเพียงประโยคเดียวว่า “ไทเฮาทรงมีพระบัญชาว่า เมื่อใดที่คัดหนังสือเสร็จ เมื่อนั้นจึงจะได้เสวย” หลานเจี่ยนตกใจจนหน้าซีด “องค์ชายใหญ่ตั้งแต่มาถึงตำหนักฉือหนิง ยังไม่ได้เสวยเลยหรือ?” เขาออกจากตำหนักจิ่นหวาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มิได้เสวยพระกระยาหารเช้า บัดนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว แต่กลับไม่ได้รับประทานสิ่งใดเลยหรือ? ไม่มีใครตอบนางอีก นางยืนรออยู่ด้านนอกอยู่นาน สุดท้ายจึงได้แต่กลับไปแจ้งที่ตำหนักฉางชุน ฮองเฮาเมื่อได้ยินว่าองค์ชายใหญ่ไม่ได้เสวยอะไรเลยตั้งแต่เช้า พระทัยเจ็บปวดจนกำพระหัตถ์แน่น ตรัสด้วยความโกรธว่า “นั่นคือหลานแท้ๆ ของนางเชียวนะ ไฉนจึงใจร้ายถึงเพียงนี้? ไม่ได้! ข้าจะไปตำหนักฉือหนิงเพื่อรับตัวเขากลับมา
จวนป๋อผิงซี หวังเชียงเรียกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน ก่อนที่สำนักเขตจิงจ้าวจะมาถึง พร้อมทั้งแจ้งข่าวร้ายที่สุดให้ทุกคนรับทราบ “ศัตรูมาถึงหน้าประตู ผู้บังคับบัญชากลับล่าถอยกลางสนามรบ ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในกองทัพสั่นคลอน ข่าวลือแพร่สะพัด หากศึกครั้งนี้พ่ายแพ้ โทษที่จะตามมาคือการยึดทรัพย์และประหารทั้งตระกูล แม้ชนะ โทษหนักยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการปลดตำแหน่ง ยึดทรัพย์ หรือแม้แต่การเนรเทศ” ฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะเป็นลม เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง แต่หลังจากตั้งสติได้ นางก็หันไปมองนางจีด้วยสายตาเช่นเคยที่คาดหวังให้นางช่วยหาทางออก ทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน นางจีก็เป็นคนที่วิ่งเต้นหาทางแก้ไข ครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังฝากความหวังไว้กับนางจี แต่คราวนี้ สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับกลับมีเพียงความเงียบจากนางจี ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความประหลาดใจใดๆ ราวกับเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นเครือ “ไม่มีหนทางเลยหรือ? เจ้าสนิทสนมกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง รีบไปขอร้องนาง บางทีอาจช่วยได้” นางจีส่ายหน้า ตอบด้วยเสียงเรียบสงบ “ไม่มีใครช่วยได้ สิ่งใดจะเ
คุกหลวงตั้งอยู่ในเขตต้าหลี่ซือ แต่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของต้าหลี่ซือ ผู้ที่ถูกขังในคุกหลวง ส่วนมากล้วนเป็นนักโทษคดีร้ายแรง หรือเป็นราชวงศ์และขุนนางระดับสูง คำว่า "ส่งเข้าคุกหลวง" เพียงสี่คำ ก็เท่ากับตัดสินความหนักเบาของโทษได้แล้ว และน้อยคนนักที่จะสามารถออกจากคุกหลวงได้โดยไม่เสียหาย นางจีในตอนนี้หวังเพียงว่าครอบครัวจะถูกตัดสินเพียงแค่โทษเนรเทศ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก่อนหน้านี้นางส่งเซียนเกอเอ๋อร์ไปฝึกฝนวิชากับเมิ่งเจี้ยวโถว ก็เพื่อเตรียมการล่วงหน้า หากต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ การมีร่างกายแข็งแรงย่อมช่วยให้เดินทางไปถึงดินแดนเนรเทศได้อย่างปลอดภัย และรอจนถึงวันที่ได้รับอภัยโทษเพื่อกลับมา ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งย่อมมีหนทาง หวังชิงหลูไม่เคยคิดฝันมาก่อน ว่าตนเองซึ่งกำลังอยู่ในที่ดินนอกเมืองอย่างสงบ จะถูกเจ้าหน้าที่สำนักเขตจิงจ้าวมาจับตัวไป และถูกส่งเข้าคุกหลวง เมื่อมาถึงคุกหลวง นางยังคงมึนงง จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าโผเข้ามากอดนางพลางร้องไห้ นางถึงได้เอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมพวกเราถึงถูกจับมาที่นี่?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ร้องไ
เมื่อซ่งซีซีกลับมาถึงจวนอ๋อง ก็ได้ยินข่าวว่าจวนป๋อผิงซีถูกจับเข้าคุกหลวง นางรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ยังอยู่ในวัง หรืออาจจะรู้ล่วงหน้ากว่านั้น ตั้งแต่ที่ได้ยินข่าวว่าหวังเปียวล่าถอยกลางสนามรบ ก็เดาว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้ การจับกุมจวนป๋อผิงซีเกิดขึ้นด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือ โทษนี้เกี่ยวพันถึงครอบครัว และสองคือหวังให้หวังเปียวเข้ามอบตัวเอง ส่วนการปลดตำแหน่งและยึดทรัพย์ ถือเป็นขั้นตอนพื้นฐาน จะให้เกิดความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้ แล้วตำแหน่งยังคงอยู่ ชีวิตยังสุขสบายย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่จะจัดการต่อไปอย่างไร ซ่งซีซีก็ยากจะคาดเดาพระทัย หวังเยว่จางเริ่มเดินสายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้มุ่งหาผู้มีอำนาจ หากแต่หันไปพึ่งพาประชาชน ด้วยความมองการณ์ไกลของนางจี นางจึงยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสร้างโรงทานไว้ที่นอกเมือง ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และแม้แต่คนเจ็บป่วยหนัก นางก็ให้ความช่วยเหลือ นางหลานเคยพูดในโรงงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูต่างคัดค้านการกระทำนี้ คิดว่านางจีใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่สามารถช่วยจวนป๋อผิงซีได้คือสองเงื่อนไ
เมื่อพระสนมซูเฟยย้ายตำหนัก แต่ละตำหนักต่างส่งของขวัญแสดงความยินดี แม้แต่เหล่าขุนนางและพระญาติวงศ์ก็ส่งของขวัญสำหรับการย้ายตำหนักเช่นกันสำหรับสิ่งของที่ต้องส่งไปนั้น ในจวนของอ๋องเป่ยหมิง ผู้ที่ตัดสินใจก็คืออาจารย์หยูและหลู่จ่งกว่านทั้งสองคนค้นหาสิ่งของในคลังอยู่นาน แต่ก็ไม่พบสิ่งที่เหมาะสม บางอย่างก็ดูจะมีค่ามากเกินไป บางอย่างก็เป็นเพียงเครื่องประดับจากทองคำและเงินธรรมดาๆ พวกขวดหยกหรือถ้วยเงินก็ให้ความรู้สึกเล็กน้อยไปส่วนของชิ้นใหญ่อย่างต้นปะการังหรือฉากกั้น อาจารย์หยูก็ไม่อยากนำออกมา ต้นปะการังที่มีอยู่ในจวนนั้นหายากยิ่ง และต้นที่มีอยู่ก็เป็นของขวัญจากสำนักว่านจงเหมินที่มอบให้ในงานสมรสของพระชายาสุดท้าย ทั้งสองจึงหันไปมองสิ่งของที่มีอยู่มากที่สุดในคลัง นั่นก็คือภาพเขียนดอกเหมยของเสิ่นชิงเหอการมอบภาพเขียนเหล่านี้ออกไปนับว่ามีเกียรติอย่างยิ่ง เพราะมีมูลค่ามหาศาล แต่ในจวนอ๋องกลับมีมากมาย อีกทั้งหากไม่พอ ข้างหน้าก็ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดอกเหมยกำลังจะเบ่งบาน เพียงให้เสิ่นชิงเหอเขียนเพิ่มก็พออย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการให้เกียรติเสิ่นชิงเหอ ทั้งสองจึงไปขอคำอนุญาตจากเขาก่อน ซึ่งเสิ่
ในบรรดาเหล่าพระสนมและมเหสี ฉีฮองเฮาหวั่นเกรงเต๋อเฟยและพระสนมซูเฟยมากที่สุด เนื่องจากทั้งสองต่างให้กำเนิดองค์ชายรองและองค์ชายสามโดยปกติ พระสนมซูเฟยแม้ไม่ได้เป็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชายสาม อีกทั้งองค์ชายสามยังอายุน้อย นางไม่ควรต้องกังวลมากนัก แต่พระสนมซูเฟยเป็นคนที่เคยอวดดีและมีชาติตระกูลสูงส่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องการใช้อำนาจในช่วงปีเศษที่ผ่านมา พระสนมซูเฟยกับเต๋อเฟยร่วมกันดูแลกิจการในวังหลัง นิสัยของพระสนมซูเฟยดูเหมือนจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง นางรู้จักวิธีซื้อใจผู้คน อีกทั้งยังสนับสนุนโรงงานและโรงเรียนสตรีของซ่งซีซี ทำให้นางมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนเมื่อเทียบกันแล้ว เต๋อเฟยดูสุขุมเรียบร้อยกว่ามาก แม้นางจะร่วมบริหารวังหลังกับพระสนมซูเฟย แต่ก็ยังคอยมาสอบถามความคิดเห็นของฉีฮองเฮาอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังแสดงความเคารพต่อฉีฮองเฮาในฐานะพระมเหสีทว่า องค์ชายรองของเต๋อเฟยนั้นฉลาดปราดเปรื่อง สุภาพนอบน้อม และรู้จักมารยาท จึงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาและฝ่าบาทหากตอนนี้จะต้องแต่งตั้งองค์รัชทายาท ย่อมต้องยึดตามธรรมเนียมให้ตั้งองค์ชายผู้เป็นโอรสองค์โตและเกิดจากมเหสีหลวง แต่หากปล่อยให้องค์ชายเหล่านี้เต
ในตำหนักฉางชุน ฮองเฮายังไม่ได้ปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับออกจากร่าง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาฉายแววคาดหวัง วันนี้มีข่าวจากหน้าพระที่นั่งส่งมาบอกว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมายังวังหลังในคืนนี้ นางรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสนมคนใด ในใจก็พลันยินดี เพราะการไม่เลือกหมายถึงฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ตำหนักกลาง "หลานเจี่ยน ไปดูหน่อยสิว่าฝ่าบาทมาแล้วหรือยัง?" นางเร่งเร้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามของคืนนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าว "พระนางโปรดอย่ารีบร้อนเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะเสด็จมา แน่นอนว่าต้องมีคนมาบอกล่วงหน้า เพื่อให้พระนางเตรียมตัวรับเสด็จ" "จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาทไม่ได้มาที่ตำหนักฉางชุนนานจนข้าแทบจะลืมเสียแล้ว" ฮองเฮาใช้นิ้วลูบไปที่ปอยผมข้างใบหู พลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ข้ากับฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา สามีภรรยาที่ไหนจะมีความแค้นข้ามคืนกันได้? ตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็มีความก้าวหน้า ฝ่าบาทย่อมใจอ่อนลงบ้างแล้ว" "เมื่อฝ่าบาทเสด็จมา พระนางค่อยๆ พูดเถิด อย่ารีบร้อนที่จะพูดเรื่องให้องค์ชายใหญ่กลับมา" หลานเจี่ยนกูกูเตือนด้วยความนอบน้อม ฮองเฮาพยักหน้า
ในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง ยังไม่มีการจุดเตาใต้พื้น ความเย็นแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยฎีกาถูกพิจารณาเสร็จสิ้นนานแล้ว แต่จักรพรรดิ์ซูชิงกลับยังไม่เลือกสนม เพียงนั่งนิ่งมองแสงตะเกียงที่ริบหรี่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเขาได้อ่านจดหมายจากเซี่ยหลูโม่ที่เขียนถึงซ่งซีซี ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้น และความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดไม่หมด ราวกับพวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ช่างหวานชื่นจนยากจะพรากจากกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายของพวกเขา แม้ก่อนหน้านี้จะมีเนื้อความที่กล่าวถึงความคิดถึงอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้น "เปิดเผยและห้าวหาญ" เช่นครั้งนี้คำเหล่านี้ แค่พูดออกมาก็รู้สึกน่าอายอยู่แล้ว หากเขียนลงในจดหมายไม่ยิ่งน่าอายกว่าหรือ?เขาคิดว่าพระอนุชาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสม ฉาบฉวยเกินไปวิธีเอาใจสตรีนั้นมีมากมาย ไยต้องทำถึงเพียงนี้?เขาคิดเช่นนั้น แต่ในใจกลับเหมือนมีกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงไป ทำให้ผิวน้ำในจิตใจเป็นระลอกคลื่นวนไปมาอย่างไม่อาจสงบได้เขาไม่รู้เลยว่า การเป็นฮ่องเต้เช่นนี้ เขาสูญเสียไปมากเพียงใด...เรื่องความรักระหว่างชายหญิงนั้น จักรพรรดิไม่เคยกล้าคิดถึง แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่หวั่
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก