ด้านนอกท้องพระโรง อู๋ต้าปั้นตัวเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว ขาสั่นแทบไร้เรี่ยวแรง แม้แต่ตอนที่ซ่งซีซีเดินออกมา เขายังรู้สึกว่าหัวใจของตนลอยอยู่กลางอากาศ ที่ฝ่าบาทไม่ทรงพิโรธ ถือเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก โค้งตัวส่งนางกลับ ซ่งซีซีกล่าวด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “กงกงวางใจเถิด” คำพูดนั้นทำให้อู๋ต้าปั้นรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย “ใต้เท้าซ่งเดินทางโดยสวัสดิภาพ” หลังจากซ่งซีซีเดินจากไป อู๋ต้าปั้นก็กลับเข้ามาถวายงานในท้องพระโรง เขาแอบเหลือบมองฝ่าบาท ทอดพระเนตรว่าพระพักตร์ของพระองค์ยังมีความยินดีอยู่ ก็อดแปลกใจไม่ได้ เช้านี้ ตอนส่งองค์ชายใหญ่ไปยังตำหนักฉือหนิง ฝ่าบาทยังตรัสว่าต่อให้เป่ยหมิงอ๋องไปเขตหนานเจียง ก็ยังคงมีจิตคิดคด แต่ไฉนตอนนี้กลับดูยินดีนัก? แท้จริงแล้วพระทัยของกษัตริย์ ยากแท้หยั่งถึง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นครั้งหนึ่ง “จัดสำรับ!” ตั้งแต่ได้ข่าวว่าหวังเบียวถอยกลางสนามรบ พระองค์ยังมิได้เสวยสิ่งใดเลย อู๋ต้าปั้นรีบเรียกคนจัดสำรับ และเปลี่ยนชาให้พระองค์ใหม่ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้สึกในปากแห้งขม เมื่อทรงจิบชาไปหนึ่งอ
หลานเจี่ยนไม่สามารถพบองค์ชายใหญ่ได้ ได้แต่ฟังข่าวจากคนของตำหนักฉือหนิงออกมาบอกว่า องค์ชายใหญ่กำลังคัดลอกบทเรียนพันครั้ง และไทเฮาทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดรบกวน หลานเจี่ยนทราบดีว่าองค์ชายใหญ่มักไม่ชอบคัดหนังสือ ไฉนจึงเชื่อฟังได้ถึงเพียงนี้? ข่าวคราวจากตำหนักฉือหนิงนั้นยากจะสืบรู้ แม้ใช้เงินตราก็ไม่เป็นผล กฎระเบียบนั้นเข้มงวดนัก นางจึงทำได้เพียงเซ้าซี้อยู่พักหนึ่ง จนได้คำตอบเลื่อนลอยเพียงประโยคเดียวว่า “ไทเฮาทรงมีพระบัญชาว่า เมื่อใดที่คัดหนังสือเสร็จ เมื่อนั้นจึงจะได้เสวย” หลานเจี่ยนตกใจจนหน้าซีด “องค์ชายใหญ่ตั้งแต่มาถึงตำหนักฉือหนิง ยังไม่ได้เสวยเลยหรือ?” เขาออกจากตำหนักจิ่นหวาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มิได้เสวยพระกระยาหารเช้า บัดนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว แต่กลับไม่ได้รับประทานสิ่งใดเลยหรือ? ไม่มีใครตอบนางอีก นางยืนรออยู่ด้านนอกอยู่นาน สุดท้ายจึงได้แต่กลับไปแจ้งที่ตำหนักฉางชุน ฮองเฮาเมื่อได้ยินว่าองค์ชายใหญ่ไม่ได้เสวยอะไรเลยตั้งแต่เช้า พระทัยเจ็บปวดจนกำพระหัตถ์แน่น ตรัสด้วยความโกรธว่า “นั่นคือหลานแท้ๆ ของนางเชียวนะ ไฉนจึงใจร้ายถึงเพียงนี้? ไม่ได้! ข้าจะไปตำหนักฉือหนิงเพื่อรับตัวเขากลับมา
จวนป๋อผิงซี หวังเชียงเรียกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน ก่อนที่สำนักเขตจิงจ้าวจะมาถึง พร้อมทั้งแจ้งข่าวร้ายที่สุดให้ทุกคนรับทราบ “ศัตรูมาถึงหน้าประตู ผู้บังคับบัญชากลับล่าถอยกลางสนามรบ ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในกองทัพสั่นคลอน ข่าวลือแพร่สะพัด หากศึกครั้งนี้พ่ายแพ้ โทษที่จะตามมาคือการยึดทรัพย์และประหารทั้งตระกูล แม้ชนะ โทษหนักยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการปลดตำแหน่ง ยึดทรัพย์ หรือแม้แต่การเนรเทศ” ฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะเป็นลม เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง แต่หลังจากตั้งสติได้ นางก็หันไปมองนางจีด้วยสายตาเช่นเคยที่คาดหวังให้นางช่วยหาทางออก ทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน นางจีก็เป็นคนที่วิ่งเต้นหาทางแก้ไข ครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังฝากความหวังไว้กับนางจี แต่คราวนี้ สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับกลับมีเพียงความเงียบจากนางจี ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความประหลาดใจใดๆ ราวกับเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นเครือ “ไม่มีหนทางเลยหรือ? เจ้าสนิทสนมกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง รีบไปขอร้องนาง บางทีอาจช่วยได้” นางจีส่ายหน้า ตอบด้วยเสียงเรียบสงบ “ไม่มีใครช่วยได้ สิ่งใดจะเ
คุกหลวงตั้งอยู่ในเขตต้าหลี่ซือ แต่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของต้าหลี่ซือ ผู้ที่ถูกขังในคุกหลวง ส่วนมากล้วนเป็นนักโทษคดีร้ายแรง หรือเป็นราชวงศ์และขุนนางระดับสูง คำว่า "ส่งเข้าคุกหลวง" เพียงสี่คำ ก็เท่ากับตัดสินความหนักเบาของโทษได้แล้ว และน้อยคนนักที่จะสามารถออกจากคุกหลวงได้โดยไม่เสียหาย นางจีในตอนนี้หวังเพียงว่าครอบครัวจะถูกตัดสินเพียงแค่โทษเนรเทศ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก่อนหน้านี้นางส่งเซียนเกอเอ๋อร์ไปฝึกฝนวิชากับเมิ่งเจี้ยวโถว ก็เพื่อเตรียมการล่วงหน้า หากต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ การมีร่างกายแข็งแรงย่อมช่วยให้เดินทางไปถึงดินแดนเนรเทศได้อย่างปลอดภัย และรอจนถึงวันที่ได้รับอภัยโทษเพื่อกลับมา ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งย่อมมีหนทาง หวังชิงหลูไม่เคยคิดฝันมาก่อน ว่าตนเองซึ่งกำลังอยู่ในที่ดินนอกเมืองอย่างสงบ จะถูกเจ้าหน้าที่สำนักเขตจิงจ้าวมาจับตัวไป และถูกส่งเข้าคุกหลวง เมื่อมาถึงคุกหลวง นางยังคงมึนงง จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าโผเข้ามากอดนางพลางร้องไห้ นางถึงได้เอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมพวกเราถึงถูกจับมาที่นี่?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ร้องไ
เมื่อซ่งซีซีกลับมาถึงจวนอ๋อง ก็ได้ยินข่าวว่าจวนป๋อผิงซีถูกจับเข้าคุกหลวง นางรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ยังอยู่ในวัง หรืออาจจะรู้ล่วงหน้ากว่านั้น ตั้งแต่ที่ได้ยินข่าวว่าหวังเปียวล่าถอยกลางสนามรบ ก็เดาว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้ การจับกุมจวนป๋อผิงซีเกิดขึ้นด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือ โทษนี้เกี่ยวพันถึงครอบครัว และสองคือหวังให้หวังเปียวเข้ามอบตัวเอง ส่วนการปลดตำแหน่งและยึดทรัพย์ ถือเป็นขั้นตอนพื้นฐาน จะให้เกิดความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้ แล้วตำแหน่งยังคงอยู่ ชีวิตยังสุขสบายย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่จะจัดการต่อไปอย่างไร ซ่งซีซีก็ยากจะคาดเดาพระทัย หวังเยว่จางเริ่มเดินสายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้มุ่งหาผู้มีอำนาจ หากแต่หันไปพึ่งพาประชาชน ด้วยความมองการณ์ไกลของนางจี นางจึงยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสร้างโรงทานไว้ที่นอกเมือง ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และแม้แต่คนเจ็บป่วยหนัก นางก็ให้ความช่วยเหลือ นางหลานเคยพูดในโรงงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูต่างคัดค้านการกระทำนี้ คิดว่านางจีใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่สามารถช่วยจวนป๋อผิงซีได้คือสองเงื่อนไ
รุ่งเช้าของวันถัดมา ผู้ตรวจการสวี่ทูลเรื่องนี้ในที่ประชุมราชสำนัก เสนาบดีมู่พยักหน้ารับ พร้อมกล่าวชมว่า “การตั้งโรงทานของนางจี ข้าได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่องยิ่ง สตรีที่ติดอยู่ในตำหนักลึกในรั้วในวัง ยังสามารถทำสิ่งดีงามเช่นนี้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดในสิ่งที่ทำได้ แต่นางไม่ลืมจิตใจที่ดีงาม เป็นแบบอย่างให้ประชาชนได้เรียนรู้และประพฤติตาม น่าเสียดายที่สตรีผู้เปี่ยมด้วยความดีงามเช่นนี้ กลับต้องทนทุกข์เพราะสามีของตน ถูกจับเข้าคุกหลวง และเผชิญชะตากรรมที่ไม่แน่นอน” เจ้ากรมฉีก้าวออกมาทูลว่า “สองสามวันที่ผ่านมา ชาวบ้านต่างพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างมาก ต่างเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางจี ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าหวังเปียวแม้จะมีความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ แต่การลงโทษที่เกี่ยวพันถึงครอบครัว การปลดตำแหน่งและยึดทรัพย์ก็เพียงพอแล้ว ขอฝ่าบาททรงเมตตา ลดโทษให้พวกเขาเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงตั้งใจใช้ครอบครัวของหวังเปียวเพื่อกดดันให้หวังเปียวเข้ามอบตัว ดังนั้นจึงไม่ทรงอนุญาตให้ปล่อยตัว และไม่ทรงเปิดช่องว่าจะแบ่งเบาโทษ พระองค์ตรัสว่า “เราจะพิจารณาอีกครั้ง ออกหมายจับหวังเปียวอีกครั้ง และติ
นี่เป็นวันที่หกแล้วที่นางจีถูกขังในคุกหลวง นางยังไม่เคยหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่เมื่อได้พบซ่งซีซี ดวงตาของนางกลับแดงก่ำในทันใด นางรีบหันหน้าหลบ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่มาเยี่ยมผู้หญิงที่มีตราบาปเช่นข้า” ซ่งซีซีมองดูนางจีในชุดนักโทษผ้าหยาบ ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าเปรอะเปื้อนจนยากจะมองเห็นเค้าความสง่างามในอดีต นางเอ่ยเบาๆ “ฮูหยินต้องลำบากมากจริงๆ” นางจีสะกดกลั้นความรู้สึกเศร้าหมอง ตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่ลูกๆ ข้า... ข้ากลัวว่าพวกเขาจะอดทนไม่ไหว พระชายา ฝ่าบาททรงคิดจะจัดการกับพวกเราอย่างไร? จะประหารพวกเราไหม?” ซ่งซีซีจับมือนางให้นั่งลง “หากฝ่าบาทต้องการประหารพวกเจ้าเพื่อระบายโทสะ พระองค์คงทำไปตั้งนานแล้ว พระองค์ต้องการใช้พวกเจ้าเพื่อล่อให้หวังเปียวกลับมา ถ้าเขามอบตัว ครอบครัวจะได้รับการลดโทษ” นางจีส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ เขาจะไม่มอบตัว” “เขาจะไม่มอบตัว แต่เราจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เขามอบตัว” ซ่งซีซีเปิดห่อผ้า หยิบยาส่วนหนึ่งออกมาแล้ววางตรงหน้านางจี “เจ้าจงอย่ากังวลเรื่องข้างนอก ปกป้องตัวเองให้ดี ข้าส่งคนออกไปตามหาหวังเปียวแล้ว อีกทั้งพี่ใหญ่ของข
ผู้ที่ศิษย์น้องสงสัยคือ อ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าและจวิ้นอ๋องหนิงพ่อลูก โดยเฉพาะจวิ้นอ๋องหนิง เพราะอ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าใช้ชีวิตเงียบสงบแทบไม่ติดต่อกับผู้ใด หากจะบอกว่าอ๋องฮุ่ยผู้เฒ่ามีปฏิสัมพันธ์กับใครมากที่สุด ก็คงเป็นเซี่ยหลูโม่และเป่ยหมิงอ๋อง ปกติแล้ว อ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าและกู้ชิงหยิงจะใช้ชีวิตไปกับการกินและเที่ยว พวกเขาถือคติในการใช้ชีวิตว่า “กินดื่มให้สุขสำราญ” ครั้งล่าสุดที่ไปเยี่ยม พวกเขากินกันจนอิ่มหนำสำราญจนกู้ชิงหยิงอ้วนขึ้นมาก ขนาดอ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าเองยังน้ำหนักขึ้นถึงเจ็ดถึงแปดจิน เวลาหัวเราะยังเห็นคางสองชั้น เมื่อการสืบสวนในหลายวันไม่คืบหน้า ซ่งซีซีจึงพาเสิ่นว่านจือไปเยี่ยมอ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าถึงจวน เมื่ออ๋องฮุ่ยผู้เฒ่าเห็นพวกนางมา ก็ยินดีมาก รีบหันไปสั่งกู้ชิงหยิงว่า “เมื่อวานข้าตกปลาคาร์พตัวใหญ่มา ทำเป็นปลาดิบให้ข้าดูนะ เอาเลือดออกให้หมด ข้าไม่ชอบกินที่มีสีแดงติดอยู่” กู้ชิงหยิงยิ้มแย้มรีบพาบ่าวไพร่ไปที่ห้องครัว บอกว่าจะแสดงฝีมือให้ดู เสิ่นว่านจือมองดูรูปร่างอวบอ้วนของกู้ชิงหยิงแล้วถอนหายใจ “พวกท่านกินดีเกินไปแล้วหรือ? ดูสิ ท่าทางจะอ้วนขึ้นอีกแล้วนะ” “เจ้าเด็กเสิ่น จวนเป่ยหม
เซี่ยหลูโม่ในฐานะที่ปรึกษา ได้เข้าวังสอนวิชาอาวุธให้แก่สามองค์ชายก่อนถึงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงแล้ว องค์ชายใหญ่ควรฝึกมาตั้งนานแล้ว ทว่าเดิมทีเขาได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮา ถูกตามใจดั่งดวงตาดวงใจ งานหนักใดๆ ล้วนไม่เคยต้องแตะต้อง เมื่อถูกส่งไปอยู่กับไทเฮา แม้พระนางจะทรงจัดการศึกษาให้ครบถ้วนทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เขากลับโง่เง่าและเกียจคร้านเป็นทุนเดิม งานเล่าเรียนในแต่ละวันก็หนักหนาพออยู่แล้ว วิชาหนึ่งยังฝึกไม่ทันเสริม อีกวิชาหนึ่งก็ต้องตามไม่ทันเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีพรสวรรค์แต่อย่างใด ซ้ำยังมิได้ขยันหมั่นเพียร จึงมักหาทางหลบเลี่ยงอยู่เสมอ ความก้าวหน้าที่น่าพอใจที่สุดในตอนนี้ คงเป็นเพียงการที่เขายอมไปเรียนหนังสือโดยไม่ร้องไห้อีก ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการฝึกครั้งนี้กลับเป็นรุ่ยเอ๋อร์ รุ่ยเอ๋อร์ได้ฝึกพื้นฐานไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ออกแรงมากเกินไป หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวว่าเขาต้องค่อยๆ ฝึก ไม่อาจรีบร้อน หากได้รับบาดเจ็บที่ขาอีกครั้ง จะไม่คุ้มค่าความเสียหาย ดังนั้น เมื่อเซี่ยหลูโม่สอนวิชาธนูให้พวกเขา รุ่ยเอ๋อร์จึงมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ฝึกไปไม่กี่วันก็เริ่มเห็นผล ส่วนองค์ชายใหญ
จักรพรรดิ์ซูชิงเสด็จขึ้นว่าราชการอีกครั้ง พระพักตร์ดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ขุนนางอาวุโสบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาต่อหน้าพระที่นั่ง โดยเฉพาะหุ่ยอวี่สือ ซึ่งเกือบก่อเรื่องใหญ่โตไปแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ทรงมีอาการดีขึ้น อีกทั้งหมอมหัศจรรย์ดันก็ถูกเชิญเข้าวังเพื่อถวายการรักษา จึงพอมีความหวัง อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคาดไว้ เสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักดังขึ้นเป็นอย่างมาก กระนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็มิได้ทรงรับคำในทันที เพียงตรัสว่าองค์ชายทั้งสามยังเยาว์วัยนัก ให้รออีกสักระยะเถิด ในกลุ่มขุนนางที่กราบทูลขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทนั้น ย่อมมีศิษย์ของตระกูลฉีรวมอยู่ด้วย แต่ก็เพียงกล่าวคล้อยตามผู้อื่น มิได้มีใครลุกขึ้นมาเสนอเป็นฝ่ายแรก จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้ทรงเชื่อโดยแท้จริงว่าเจ้ากรมฉีต้องการเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์โดยไร้ส่วนได้เสีย ช่วงนี้ตระกูลฉีทำตัวสงบเสงี่ยมลงก็จริง แต่ทั้งหมดเป็นผลจากการถูกกดดันและเตือนสติ แม้พระองค์จะยังมิได้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่กลับทรงประกาศเรื่องหนึ่งแทน นั่นคือ ทรงแต่งตั้งเป่ยหมิงอ๋อง เซี่ยหลูโม่เป็นที่ปรึกษาองค์รัชท
ฉีฮูหยินใหญ่เข้าเฝ้าในวัง ครานี้นางมาโดยได้รับคำสั่งจากเจ้ากรมฉี เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินว่าบิดาทรงตัดสินใจจะวางตัวเป็นกลาง ก็มิอาจระงับโทสะได้ ตรัสเย็นชา “แต่ก่อนให้ข้าช่วยสนับสนุนตระกูลฉี ข้าก็มิเคยปฏิเสธ บัดนี้เมื่อข้าต้องการให้พวกท่านช่วยบ้าง กลับถอยหนีไปหมดสิ้น ข้าช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉีจะไม่ได้รับผลดีเลยหรือ? หรือบิดามั่นใจว่าต่อจากนี้ตระกูลฉีจะราบรื่นไร้ปัญหา?” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น “ความหมายของบิดา คือเพียงอยากเป็นขุนนางผู้ภักดี มิอาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฮ่องเต้” “ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาทรงหัวร่อเยาะ “เปรอะเปื้อนมลทินไปทั้งตัว บัดนี้ยังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์? เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้เล่า? เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องแต่งเข้าวังมา ปล่อยให้ข้าดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าว “แม้บิดาจะมีความผิดพลาดในเรื่องส่วนตัว แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในกรมขุนนาง ก็รับใช้แผ่นดินและฮ่องเต้โดยซื่อสัตย์ ไม่เคยขายตำแหน่งขุนนางหรือรับสินบน” ฮองเฮาทรงแค่นเสียง “ทำหรือไม
ฮองเฮาเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียเมื่อไร? แม้แต่ฮ่องเต้ทรงกริ้วพระนางอย่างที่สุด ก็เพียงแค่ทรงตำหนิเล็กน้อย หรือไม่ก็ทรงมีรับสั่งกักบริเวณพระนางเท่านั้น “เซี่ยหลูโม่เป็นตัวอะไร? เขาถึงได้กล้าถึงเพียงนี้! บังอาจมาทำอวดดีต่อหน้าข้า! ข้าเห็นว่าเขาสร้างผลงานไว้ จึงเป็นห่วงเรื่องเชื้อสายของเขา เขาคิดว่าข้าไม่มีเรื่องใดให้ทำ นอกจากยุ่งเรื่องของเขารึ? เขาไม่ชอบก็แล้วไป ยังมีคนที่ชอบอีกมาก!” ฮองเฮาทรงกริ้วจนปวดพระเศียร ไม่เคยพบผู้ใดที่ไม่รู้คุณคนเช่นนี้มาก่อน ความน้อยพระทัยของพระนางทำให้หลานเจี่ยนกูกูงุนงงนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็แค่หาข้ออ้างเพื่อบีบให้พระชายาอ๋องต้องยอมเข้าวังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อสายของจวนอ๋องจริงๆ แล้วล่ะ? หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าฮองเฮาทรงหาข้อแก้ตัวให้พระองค์เองเพราะทรงโกรธ แต่ข้อแก้ตัวเช่นนี้ดูจะไร้ความจำเป็นไปมาก เพียงทำให้พระองค์เองขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยปลอบ “พระนางอย่าได้กริ้วไปเพคะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นการหาพระชายารองให้เขาจริงๆ นี่เพคะ” ฮองเฮาทรงตวัดพระเนตรมองนางด้วยความไม่พอพระทัย ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว