จ้านเป่ยว่างรู้สึกขนลุกเมื่อถูกเขาจ้องมองอย่างนั้น และก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเห็นได้ชัดว่า ซูลันจีไม่ต้องการคุยกับเขาเช่นกัน เขายืนอยู่ตรงหน้าซ่งซีซี ก่อนที่เขาจะพูด สีหน้าของเขาดูซับซ้อนมาก "แม่ทัพซ่ง สายลับจากเมืองซีจิงสังหารตระกูลซ่งทั้งหมดของเจ้า มันไม่ใช่คำสั่งของข้า เป็นเพราะพวกเขาได้รู้ว่าที่เมืองลู่เปินเอ่อร์มีหมู่บ้านหลายแห่งถูกยี่ฝางนำกองทัพสังหารหมู่ มีผู้ถูกจับถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม ดังนั้นหัวหน้าของสายลับเลยออกคำสั่งเอง ฝ่าบาทจาดเมืองซีจิงของเรายังคงยืนกรานปฏิบัติตามข้อตกลงที่ว่า ปัญหาชายแดนย่อมไม่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ ไม่สังหารหมู่พลเรือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหารหมู่ทั้งคนแก่ ผู้หญิงและเด็กๆ แม้ว่าครั้งนี้เป็นแม่ทัพของฝ่ายเจ้าเป็นคนละเมิดกฏ ได้สร้างปัญหาไว้ก่อน แต่ข้าอยากจะขอโทษเจ้าสำหรับสิ่งที่สายลับของเมืองซีจิงทำลงไป"จ้านเป่ยว่างตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่า "เจ้า... เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร?"ซูลันจีไม่สนใจเขา และพูดกับซ่งซีซีต่อไป "ฝ่าบาทของเราจนกระทั่งขุนนางต่างๆ ของประเทศเราต่างก็ชื่นชมผู้บังคับบัญชาซ่งฮวยอันเป็นอย่างมาก เขาเคยนำกองทัพไปต่อสู้ก
ซูลันจีและองค์ชายสามจากไปพร้อมกับทหารเมืองซีจิงหนึ่งแสนคน ซ่งซีซีพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ถ้าเจ้าต้องการช่วยยี่ฝาง แค่พาคนสนิทของเจ้าขึ้นไปบนภูเขาก็พอ"การที่ซ่งซีซีพูดแบบนี้ ได้ช่วยรักษาหน้าให้จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางเอาไว้แล้วจริงๆหากความอัปยศอดสูของรัชทายาทของเมืองซีจิงเกิดขึ้นซ้ำกับพวกเขา งั้นสิ่งที่พวกเขาเห็นก็ต้องเป็นสภาพไม่น่าดูแต่จ้านเป่ยว่างคงกังวลว่ายังมีแองทัพของเมืองซีจิงอยู่บนภูเขาที่ไม่ได้ล่าถอย เขาจึงขอให้ซ่งซีซียืมกองทัพซวนเจียเพื่อขึ้นไปบนภูเขาด้วยกันซ่งซีซีมองเขาครู่หนึ่งแล้วถามว่า "เจ้าแน่ใจเหรอ?"เมื่อเห็นนางมองเขาแบบนั้น หัวใจของจ้านเป่ยว่างก็สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ได้ "เจ้าสามารถบอกข้าได้ไหมว่า ที่ยี่ฝางสังหารหมู่หมู่บ้านเป็นเรื่องจริงหรือไม่?""เมื่อกี้เจ้าควรจะถามซูลันจี" ซ่งซีซีพูดอย่างเรียบเฉย "หรือเมื่อเจ้าพบกับยี่ฝางแล้ว เจ้าถามนางด้วยตนเอง ซูลันจีไม่น่าจะฆ่า นาง"จ้านเป่ยว่างไม่อยากจะเชื่อว่ายี่ฝางจะทำสิ่งนั้นเขานึกถึงสิ่งที่ซูลันจีพูดเมื่อกี้ เขาพูดในลักษณะที่คลุมเครืออย่างยิ่ง การสังหารหมู่ที่หมู่บ้านเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เขาเล่าเรื่องเพียงไม่กี่ปร
ยี่ฝางหมดสติไปแล้ว นางถูกซูลันจีบีบคอไม่หยุด สลับสภาพระหว่างความตายกับยังมีหายใจหลงเหลืออยู่ไปมา มีรอยขีดข่วนบนร่างกายและใบหน้าของนาง หูข้างหนึ่งของนางถูกตัดออกดังนั้น เมื่อจ้านเป่ยว่างอุ้มนางขึ้นมา นางยังไม่รู้ตัวว่านางได้รับการช่วยเหลือแล้ว และยังอยู่ในอาการหมดสติอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาอุ้มนางเช่นนี้ออกไป ทุกคนเห็นหมด และรู้ว่ายี่ฝางไม่ได้สวมกางเกงยิ่งไปกว่านั้น หลายคนได้เห็นกองเลือดอยู่ใต้ขาของนางเมื่อ นางนอนอยู่ที่นั่นเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางใบหน้าของจ้านเป่ยว่างหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงจนน่ากลัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมซ่งซีซีจึงให้เขาพาแค่คนสนิทของเขาขึ้นไปบนภูเขาก็พอเขาจ้องเขม็งที่ซ่งซีซีออย่างดุร้ายแวบหนึ่ง มันเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาจะไม่เชื่อคำพูดของซูลันจี จนกว่ายี่ฝางจะบอกเขาด้วยตัวเองดังนั้น เขาจึงไม่อยากจะเชื่อว่ายี่ฝางมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ครอบครัวของซ่งซีซีถูกสังหารหมู่ซ่งซีซีเห็นคำว่าขี้ขลาดในดวงตาของเขา และเพิกเฉยต่อเขาและสั่งให้เข้าไปช่วยเหลือผู้คนทหารเข้าไปหามผู้ถูกจับที่ยังเหลืออยู่ออกมา มีไฟถ่านอยู่ในบ้านไม้ แต่ก็ถูกดับลงก่อนที่ชาวซ
เขามองดูยี่ฝางราวกับมองกูคนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากยี่ฝางที่เขารักอย่างสิ้นเชิง นางช่างโหดร้ายและเลือดเย็นราวกับปีศาจชั่วร้ายเขามอบผลงานทางทหารทั้งหมดเพื่อนาง ขนาดทำผิดต่อซ่งซีซีเขาเป็นคนโง่ที่สุดในโลกนี้แต่ความภักดีที่นางพูดเต็มปาก และผู้หญิงไม่ควรถูกขังอยู่ในหลังบ้าน แต่ควรแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องครอบครัวและประเทศชาตินั้น มันช่างน่าเกรงขามมาก ในเวลานั้นดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความสดใสจ้านเป่ยว่างล้มลงกับพื้น สีหน้าของเขาไม่น่าาดูมาก จากนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้ยี่ฝางตกใจ นางอดทนต่อความเจ็บปวดและลุกขึ้นยืน ก่อนมองเขาด้วยความประหลาดใจ "พี่จ้าน... เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวเลย"จ้านเป่ยว่างหัวเราะจนน้ำตาไหล เขาเอามือปิดหน้า ไหล่กระตุก และน้ำตาก็ไหลออกมาจากระหว่างนิ้วของเขาทันใดนั้น เขาก็ปล่อยมือที่ปิดหน้าไว้ และจ้องมองไปที่ยี่ฝางอย่างดุเดือด "เจ้าเป็นคนฆ่าทั้งครอบครัวของซีซี ครอบครัวของซีซีถูกสังหารหมู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าทำร้ายผู้ถูกจับและสังหารหมู่ชาวบ้าน"ยี่ฝ
เมื่อเห็นจ้านเป่ยว่างเงียบ ยี่ฝางก็เริ่มวิตกกังวล นางไม่สนใจความเจ็บปวดทางกายแล้วพูดด้วยความโกรธ "พวกเขาได้ทำให้ข้าบาดเจ็บก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้ข่มขืนข้า สิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงทั้งนั้น หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถไปถามพวกเขาได้"จ้านเป่ยว่างทีสีหน้าบึ้งตึง "จะถามเพื่ออะไร ยังอับอายไม่พอหรือไง?"เมื่อยี่ฝางได้ยินเช่นนี้ นางรู้สึกเจ็บปวดใจมาก นางตัวแข็งทื่อ "เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ?"จ้านเป่ยว่างยิ้มเศร้าๆ "เชื่อเจ้างั้นเหรอ เจ้าเคยบอกความจริงกับข้าครั้งนึงหรือไม่ เมื่อข้าถามเจ้าเรื่องชายแดนเฉิงหลิง เจ้าจะใช้ข้ออ้างว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังจะเข้าสู่สนสมรบมาแก้ต่างทุกครั้ง เพราะงั้นที่ซูลันจียอมล่าถอยทหารและทำสัญญากับเจ้า ขนาดเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้ายังปกปิดข้า จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้ยังไงอีก""ที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ชอบ ระหว่างทางนี้" ยี่ฝางดูหงุดหงิดมากและนางก็คลั่งไคล้ขึ้นมา "ระหว่างทางนี้เจ้าเอาแต่บอกข้าว่าอย่าทำร้ายประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ข้าเห็นชัดเจนว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านชาวบ้าน ในเมื่อเรายึดเมืองลู่เปินเอ่อร์แล้ว เราจะต้องได้รับอะไร ข้าแค่ฆ่าชาวบ้านไปไม่กี่
ขณะที่นางพูดอยู่ นางก็หยิบชามขึ้นมาและดื่มน้ำก๋วยเตี๋ยวในอึกเดียวท่าทางที่ตรงๆปตรงมาเช่นนี้ ทำเอาเซี่ยหลูโม่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า"จะว่าไป เหตุใดรัชทายาทของเมืองซีจิงจึงปรากฏตัวในเมืองลู่เปินเอ่อร์ล่ะ?" จิ่นซูยังคงไม่ค่อยเข้าใจ เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า รัชทายาทองค์นี้ได้รับความนิยมจากประชาชนของเมืองซีจิง และมีความสามารถและชาญฉลาด เขาปรากฏตัวในเมืองลู่เปินเอ่อร์ทำไม?เดิมทีเขาก็ไม่ใช่แม่ทัพด้วยซ้ำ"เพราะการต่อสู้ภายในของราชวงศ์แห่งเมืองซีจิง เขาถูกองค์ชายรองวางแผน และถูกบังคับให้เข้าสู่สนามรบ ซูลันจีรู้ว่าเขาทำการต่อสู้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงให้เขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองลู่เปินเอ่อร์ เพราะสนามรบไม่ได้อยู่ในเมืองลู่เปินเอ่อร์ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะพบกับยี่ฝางเข้า""องค์ชายรอง?" ซ่งซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อย "แล้วเมื่อรัชทายาทแห่งเมืองซีจิงสิ้นพระชนม์ องค์ชายหลายองค์เลยต้องแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาท หากองค์ชายรององนั้นเป็นรัชทายาท มันจะไม่เป็นมิตรกับแคว้นซางของเรานี่น่ะ"ความรู้สึกที่องค์ชายรองมีต่อแคว้นซางก็มีแต่เกลียดชัง เห็นเราเป็นศัตรู ราวกับน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้"อืม แต่ซูลันจี
ข่าวดีที่เขตหนานเจียงได้รับหารฟื้นฟูถูกรายงานกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ฮ่องเต้ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่ออ่านรายงานนี้ ในยามเช้าตอนประชุน ขุนนางทั้งพลเรือนและทหารในราชสำนักคุกเข่าลงและส่งเสียงไชโยพร้อมกันว่าทรงพระเจริญข่าวใหญ่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ในตอนแรก เป็นครอบครัวขุนนางต่างๆ ที่รู้เรื่อง ต่อมาคนของทั้งเมืองเหลวงก็รู้เรื่องนี้ และจากนั้นก็ไปถึงจังหวัดต่างๆ ด้วยคนทั้งประเทศก็ฉลองกันอย่างมีความสุขนักเล่าเรื่องมีเส้นสายทุกที่ คนรับใช้ในตระกูลขุนนางมักจะหาข้อมูลต่างๆ เอาไปขายให้กับผู้เล่าเรื่องได้ตลอดเวลาดังนั้น ทุกคนจึงรู้ว่าผู้ที่สร้างผลงานมากสุดก็คือเป่ยหมิงอ๋อง แต่คนที่บุกรุกเมืองอีลี่และเมืองซีม่อนติดกันเป็นแม่ทัพหญิงนายหนึ่ง เป็นนางนำกองทัพซวนเจียให้ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้ชาวแคว้นซาแพ้จนลุกไม่ขึ้นต้องหนีอย่างเดียวนักเล่าเรื่องถนัดในการสร้างวีรบุรุษวีรสตรีที่สุด ภายใต้การประชาสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นของเขา แม่ทัพหญิงคนนั้นก็ถูกสร้างภาพลักษณ์เป็นเทพีแห่งสงครามบนท้องฟ้าสงครามยังถูกบรรยายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ จนเกินเลย ภายใต้ความยากลำบากนี้ แม่ทัพหญิงที่อยู่ใต้บังคับบั
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านส่งคำเชิญถึงฮูหยินของผู้ช่วยซ้ายและผู้ช่วยขวาของกระทรวงกลาโหมทั้งสอง ขนาดยังส่งคำเชิญถึงฮูหยินของเจ้ากรมกระทรวงกลาโหมด้วย ทว่านางคิดว่า ฮูหยินเจ้ากรมกระทรวงกลาโหมคงจะไม่มาแต่ฮูหยินของผู้ช่วยจะต้องมาแน่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านวางแผนว่าพอรอพวกนางมา แล้วจะถามถึงสถานการณ์ของสงครามครั้งนี้อย่างคร่าวๆ และกระทรวงกลาโหมหารือเกี่ยวกับตอบแทนรางวัลอย่างไรแต่ใครจะไปรู้ว่า เมื่อถึงเวลาแล้ว ฮูหยินทั้งสองของผู้ช่วยฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของกระทรวงกลาโหมต่างก็ไม่มา และแม้แต่พวกฮูหยินของขุนนางที่มีตำแหน่งสูงหน่อยก็ไม่มาด้วย มีเพียงฮูหยินของขุนนางที่มีระดับห้าหกหรือระดับเจ็ดแปดเท่านั้นที่มาพร้อมกับครอบครัวบางคนไม่อยู่ในรายชื่อคำเชิญ ซึ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านทั้งโกรธและเป็นทุกข์ใจที่จัดงานเลี้ยงน้ำชานี้ ได้ทุ่มเงินตั้งมากมายก็เพื่ออยากสร้างชื่อเสียงออกไปก่อน เพื่อปูทางให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ของตน เมื่อพวกเขากลับบ้านด้วยชัยชนะ ยามที่ฮ่องเต้และกระทรวงกลาโหมจะให้รางวัลตอบแทนตามผลงาน พวกเขาจะยอมรับฟังเสียงของประชาชนด้วยทุกวันนี้ ข่าวที่เกี่ยวกับแม่ทัพหญิงได้แพร่จนทุกคนรับรู้หมด มีแต่คำชื่นช