จิงเจ๋อที่อยู่หน้าประตูเมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ นางรู้ดีที่สุดว่าช่วงเวลานี้คุณหนูใช้ชีวิตแบบไหน รู้สึกทรมานจิตใจเพียงใด ตอนนี้แม่ทัพฝางก็มาตีฆ้องร้องป่าวเพื่อขอแต่งงาน ทั้งยังได้เชิญฮูหยินเสนาบดีมาเป็นแม่สื่อให้ด้วย หากการแต่งงานเป็นไปได้ด้วยดี ไม่รู้ว่าจะตบหน้าคนไปมากมายเพียงใดเหตุใดคุณหนูถึงไม่ตกลงนะ? นางอยากจะหันหลังกลับ ไปตอบตกลงแทนคุณหนูเสียเลยหยานหรูอวี้แสบจมูก "ถ้าวันนี้ข้าไม่ตกลง แม่ทัพจะต้องถูกหัวเราะเยาะ"เจ้าสิบเอ็ดฝางยิ้มแล้วพูดว่า "ข้าไม่กลัวที่จะถูกคนหัวเราะเยาะ ให้พวกเขาหัวเราะเยาะข้า มาหัวเราะเยาะข้าให้หมดเลย ข้าเป็นบุรุษจะต้องกลัวอะไร? คุณหนูช่วยชีวิตผู้คนอย่างกล้าหาญในสถาบันการศึกษาสตรี ไม่ควรถูกโจมตีด้วยข่าวลือพวกนั้นด้วยซ้ำ”เมื่อหยานหรูอวี้ได้ยินเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่เขามาอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพราะเขาคิดว่าถ้ามันไม่สำเร็จ ประเด็นต่างๆ ก็จะมุ่งเป้าไปที่เขาแทน เพื่อช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์กระนั้นหรือ?เจ้าสิบเอ็ดฝางยืนขึ้น ยังคงยิ้มอยู่ "คุณหนูค่อยค่อยๆ ไตร่ตรองดู ไม่จำเป็
ทั้งหมดจึงถูกจัดการเช่นนี้ ซ่งซีซีจึงมีอิสระที่จะจัดการกับคนที่ก่อความวุ่นวายเจ้าสิบเอ็ดฝางเรียกคนเหล่านั้นมาแค่ตอนแต่งงานเท่านั้น ไม่ได้ใช้การลงโทษ ซ่งซีซีก็ไม่ทำ ต่างก็ทำงานโดนยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมนางให้ลู่เจินนำคนทั้งหมดกลับมา ลงโทษพวกเขาที่แพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องถูกโบย ไม่ว่าใครที่มีชื่อปรากฏในรายชื่อของอาจารย์หยู ไม่มีใครสามารถหนีรอดได้แม้แต่คนเดียวสำหรับตระกูลฉีก็ยังส่งคนไปเบี่ยงเบนความสนใจด้วย มีความสงสัยว่าจงใจทำร้ายหยานหรูอวี้ ดังนั้นซ่งซีซีจึงมอบหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ให้กับองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงก็ส่งมอบให้ผู้ตรวจการกงเตีย ก่อนเลิกประชุม ยังฟ้องร้องตระกูลฉีด้วยแม้ว่าเจ้ากรมฉีจะบอกว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จักรพรรดิซูชิงยังคงปรับเงินเดือนเขาครึ่งปี แถมยังไม่ได้ให้ประทานรางวัลสิ้นปีให้เขาด้วยซ้ำ เนื่องจากการควบคุมที่หละหลวมเมื่ออู๋ต้าปั้นส่งรางวัลไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีก็มาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง และเชิญเขาไปดื่มชารุ่ยเอ๋อร์รับไว้แล้ว ซ่งซีซีก็ดึงเขาออกมาคำนับอู๋ต้าปั้นในปีนี้รุ่ยเอ๋อร์เติบโตขึ้นมา
หลังจากส่งอู๋ต้าปั้นแล้ว ซ่งซีซีก็ไปคุยกับอาจารย์หยูสองสามคำ จากนั้นก็ไปร่วมกับเสิ่นว่านจือและศิษย์พี่ห้าที่ย่างมันเทศรอบกองไฟกิจการของหอหนานเฟิงจะถูกปล่อยให้เป็นของอาจารย์หยู ซึ่งอาจารย์หยูจะส่งคนไปจับตาดูพวกเขาทั้งสองกำลังพูดเรื่องอาจารย์ฉีกันอยู่เสิ่นว่านจือ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง คงจะไม่มีทางเชื่อมันหวังเยว่จางบอกว่าเขาเดินทางไปทั่วแคว้น ได้เห็นทุกอย่าง แต่เรื่องเช่นนี้...เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อายุจนปูนนี้แล้ว สถานะก็ยังได้รับความเคารพมากมาย ทำไมถึงไปสถานที่แบบนั้น?จากการสังเกตของพวกเขา ตอนที่อาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ก็ไม่ได้ทำอะไรที่อุจาดสายตา แค่เรียกบริกรสองสามคนยกอาหารเข้าไปให้ ดื่มสุรา ฟังบทเพลง และสัมผัสมือเล็กๆ อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ และอดีตฮ่องเต้ไม่ชอบชายรักชายมากที่สุด ถึงขั้นเกลียดชังด้วยซ้ำในฐานะอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ เขาได้ช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมืองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ โดยปกติแล้ว เมื่อพิจารณาจากความระมัดระวังและความอ่อนน้อมถ่อมตนของตระกูลฉี ในช่วงปีแรกๆ เขาควรจะเกลียดกระแสเช่นนี้อย่างสุดซึ้งถึงจะถูกเป็น
เสิ่นว่านจือที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง""ขอบคุณที่ให้เกียรติ ถึงได้ทั้งชายทั้งหญิงก็ไม่ดี ขอบคุณ" หวังเยว่จางยืดเส้นยืดสาย "พวกเจ้าค่อยๆ กินไปนะ สองพี่น้องค่อยๆ คุยกันเถอะ"เขาลุกขึ้นยืนและเดินจากไป เดิมทีเขาเดินด้วยฝีเท้าสบายๆ บางครั้งก็แกว่งไปแกว่งมาตามสายลม บางครั้งก็ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีดวงตาสองข้างจ้องมองเขาจากด้านหลัง"จริงสิ หมั่นโถวกับเฉินเฉินอาจะมาเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วย ที่เขียนจดหมายส่งมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ยังไม่เคยเห็นใครเลย คิดว่าคงไม่มาแล้ว" เสิ่นว่านจือจึงนึกถึงเรื่องนี้ได้ พูดกับซ่งซีซี“ช่วงฉลองวันปีใหม่ อาจารย์พวกเขาปล่อยคนหรือ?” ซ่งซีซีถาม“ถ้าไม่มา คิดว่าคงไม่ถูกปล่อยตัวให้มา บางทีอาจจะกลับมาอีกครั้งหลังปีใหม่” เสิ่นว่านจือเพิ่มถ่านจำนวนหนึ่ง มองดูถ่านสีแดงที่ถูกปกคลุมไปด้วยถ่านเงินที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา ด้านข้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง “เดิมทีเจ้าบอกว่าเรามีคนไม่เพียงพอ ข้าก็เลยเขียนจดหมายไปบอกพวกเขา”“ถ้าเฉินเฉินมาได้ก็คงจะดีไม่น้อย” ซ่งซีซีพิงไหล่ของเสิ่นว่านจือด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า “ปีนี้ข้ารู
ในวันก่อนตรุษจีน รุ่ยเอ๋อร์สวมใส่เสื้อกันหนาวบุนวมผ้าไหมสีแดง สวมหมวกใบหนา รอบๆ หมวกมีขนสุนัขจิ้งจอกแซมอยู่รอบใบ ท่าทางร่าเริงสดใส รอคอยรถมาของตระกูลขงอย่างตื่นเต้นอาจารย์หยูได้เตรียมของขวัญไว้มากมายแล้ว ของส่วนใหญ่เป็นรุ่ยเอ๋อร์เลือกมาด้วยตัวเองเมื่อคืนลุงฟูส่งบัญชีจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาให้ เขาอดหลับอดนอนทั้งคืนตั้งใจตรวจสอบบัญชีนั้น อาจารย์หยูบอกแล้วว่าไม่รีบเร่ง ยังไปขอซ่งซีซีเมตตา ซ่งซีซียังบอกอีกว่าให้เขาเรียนรู้การจัดการบัญชีเร็วหน่อยก็ดี จวนเสนาบดีกั๋วกงนี้สุดท้ายเขาก็ต้องขึ้นมาเป็นคนดูแลอยู่ดีเขาดูบัญชี เฉินเสี่ยวเหนียนเด็กรับใช้อยู่เป็นเพื่อนเขาข้างๆ ทว่าวันนี้ เฉินเสี่ยวเหนียนก็จะกลับบ้านไปฉลองวันปีใหม่แล้ว ไม่สามารถไปตระกูลขงกับเขาได้เรื่องที่ซ่งซีซีดีใจมากที่สุดคือรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีความคิดละเอียดรอบคอบมาก หนักแน่นมั่นคง แต่ก็ยังไม่สูญเสียความใสซื่อของวัยเยาว์ บางทีอาจเป็นเพราะแสร้งทำ เพราะเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็ดีเหมือนกัน เกิดเป็นคน บางทีก็ต้องแสร้งทำ ต้องอยู่ให้เป็นแม้ว่ารุ่ยเอ๋ฮร์จะอยากไปฉลองวันปีใหม่กับตระกูลขง แต่วันนี้ท่านอาเขยไม่อยู่
ก่อนงานเลี้ยงในวัง ไปนั่งที่ไทเฮาครู่หนึ่ง ไปนั่งที่ที่พระสนมเต๋อเฟยครู่หนึ่ง ไปนั่งที่พระสนมกงเฟยครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเล่นในดอกไม้กับเซียนหนิง หมินชิง และองค์หญิงใหญ่คนอื่นๆองค์หญิงใหญ่หมินชิงวันนี้สวมชุดฉิงหลวนปักสีแดงและใบหน้าของนางดูสง่างามยิ่งขึ้น นางถือพัดกลมๆ ไว้เพื่อปกปิดใบหน้าของนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "หลังจากได้ยินว่าตระกูลฉีถูกรายงานแล้ว อาจารย์ฉีเรียกสมาชิกในตระกูลมาในคืนนั้นและลงโทษเรือนสี่อย่างรุนแรงโดยบอกว่าปัญหานี้ทั้งหมดเกิดจากเรือนสี่”องค์หญิงใหญ่หมินชิงถือกำเนิดมาจากไทเฮา และองค์หญิงสายตรงย่อมมีเกียรติกว่าเสมอ และองค์หญิงคนอื่นๆ ก็เดินตามนางไป นางพูดเรื่องตระกูลฉี คนอื่นๆ เห็นพ้องตาม แม้แต่องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็ยังหัวเราะตามด้วยองค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงเป็นองค์หญิงของฉีกุ้ยไทเฟยซึ่งเป็นหลานสาวของตระกูลฉี องค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลฉีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพราะองค์ชายมเหสีหลี่โย ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชายส่วนใหญ่แต่งงานกับตระกูลฉี ตระกูลฉีมีอำนาจมากเกินไป ไม่ว่าอะไรก็ตามเมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะตกลงมาสู่จุดต่ำสุด ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาหลังจากนั้น ถงเจี๋ยหยูจะยังคงพูดคุยกับนาง บางครั้งในขณะที่พูดก็หัวเราะเขินๆ ทั้งยังใช้มือผลักซ่งซีซี ทำท่าทางอ้อนๆ อย่างน่ารัก ราวกับว่านางคุ้นเคยกับซ่งซีซีมากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งสอง ยังดึงดูดความสนใจของบรรดาสนมที่อยู่ใกล้เคียง บางคนก็มองดูพวกนางหลายครั้งถ้าจะบอกว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ แต่จริงๆ แล้วซ่งซีซีก็แค่คล้อยตามหรือพยักหน้าเป็นครั้งคราว และยิ้มเพื่อไว้หน้าเท่านั้นแต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงและองค์หญิงเซียนหนิงที่หลังจากดูละครจบ ก็ถามซ่งซีซีเป็นการส่วนตัวว่า “ที่แท้เจ้ากับถงเจี๋ยหยูรู้จักกันมาก่อนหรือ?”ซ่งซีซีสั่นศีรษะ “ไม่รู้จัก เพิ่งเจอกันครั้งแรก”“พบกันครั้งแรกก็ดูสนิทกันขนาดนี้เชียวหรือ?” เซียนหนิงดูตกตะลึงกลับเป็นองค์หญิงหมิ่นชิงที่สังเกตเห็นเค้าลางบางอย่าง ขมวดคิ้ว “ต่อไปอย่าติดต่อกับนางอีก แรงจูงใจไม่บริสุทธิ์”อันที่จริงซ่งซีซีก็รู้เรื่องนี้ แต่เวลานั้นทุกคนกำลังดูละคร หากนางลุกขึ้นจากไปอย่างกะทันหัน จะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของไทเฮาและไทเฟยแต่ซ่งซีซีรู้สึกว่าถงเจี๋ยหยูคนนี้ ก็ไม่ได้ฉลาดมากนักหลังจาก
เขาตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับมามองซ่งซีซีด้วยสีหน้าไม่คาดคิด “พระชายาคิดว่าข้าพูดไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ? หรือพระชายาคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะสั่งสอนได้?”สนมฮุ่ยไทเฟยเอื้อมมือออกไปดึงซ่งซีซี บอกเป็นนัยว่าอย่าทะเลาะกับอาจารย์สนมฮุ่ยไทเฟยรักอดีตฮ่องเต้ จึงเคารพอาจารย์ฉีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่อยากให้เซี่ยหลูโม่แต่งงานกับบุตรีตระกูลฉี และสุดท้ายเซียนหนิงบุตรีของตนก็ได้แต่งงานกับฉีลิ่ว ซึ่งถือว่าสมความปรารถนายิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าแม้ว่าอาจารย์จะพูดกับซ่งซีซีด้วยน้ำเสียงในเชิงสั่งสอน นั่นก็เป็นเพียงคำตักเตือนจากผู้ใหญ่ถึงผู้เยาว์ ซ่งซีซีควรยอมรับอย่างถ่อมตนแม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง เพราะน้ำเสียงของอาจารย์ฉีเจือไปด้วยความประชดประชัน แถมยังบอกว่าลูกสะใภ้ของนางไร้อารยธรรมอีก แต่ความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตรงนี้ก็สามารถมองข้ามไปได้เพราะสถานะของอีกฝ่ายให้เกียรติผู้สูงอายุอย่างไรล่ะซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปที่เขา “อาจารย์พูดผิดไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่สามารถอบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คนนั้น แต่มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสถาบันการศึกษาหย่าจวิน ข้ามีความผิด ผิดที่ไม่รู้ว่
ฉีฮูหยินใหญ่เข้าเฝ้าในวัง ครานี้นางมาโดยได้รับคำสั่งจากเจ้ากรมฉี เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินว่าบิดาทรงตัดสินใจจะวางตัวเป็นกลาง ก็มิอาจระงับโทสะได้ ตรัสเย็นชา “แต่ก่อนให้ข้าช่วยสนับสนุนตระกูลฉี ข้าก็มิเคยปฏิเสธ บัดนี้เมื่อข้าต้องการให้พวกท่านช่วยบ้าง กลับถอยหนีไปหมดสิ้น ข้าช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉีจะไม่ได้รับผลดีเลยหรือ? หรือบิดามั่นใจว่าต่อจากนี้ตระกูลฉีจะราบรื่นไร้ปัญหา?” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น “ความหมายของบิดา คือเพียงอยากเป็นขุนนางผู้ภักดี มิอาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฮ่องเต้” “ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาทรงหัวร่อเยาะ “เปรอะเปื้อนมลทินไปทั้งตัว บัดนี้ยังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์? เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้เล่า? เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องแต่งเข้าวังมา ปล่อยให้ข้าดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าว “แม้บิดาจะมีความผิดพลาดในเรื่องส่วนตัว แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในกรมขุนนาง ก็รับใช้แผ่นดินและฮ่องเต้โดยซื่อสัตย์ ไม่เคยขายตำแหน่งขุนนางหรือรับสินบน” ฮองเฮาทรงแค่นเสียง “ทำหรือไม
ฮองเฮาเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียเมื่อไร? แม้แต่ฮ่องเต้ทรงกริ้วพระนางอย่างที่สุด ก็เพียงแค่ทรงตำหนิเล็กน้อย หรือไม่ก็ทรงมีรับสั่งกักบริเวณพระนางเท่านั้น “เซี่ยหลูโม่เป็นตัวอะไร? เขาถึงได้กล้าถึงเพียงนี้! บังอาจมาทำอวดดีต่อหน้าข้า! ข้าเห็นว่าเขาสร้างผลงานไว้ จึงเป็นห่วงเรื่องเชื้อสายของเขา เขาคิดว่าข้าไม่มีเรื่องใดให้ทำ นอกจากยุ่งเรื่องของเขารึ? เขาไม่ชอบก็แล้วไป ยังมีคนที่ชอบอีกมาก!” ฮองเฮาทรงกริ้วจนปวดพระเศียร ไม่เคยพบผู้ใดที่ไม่รู้คุณคนเช่นนี้มาก่อน ความน้อยพระทัยของพระนางทำให้หลานเจี่ยนกูกูงุนงงนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็แค่หาข้ออ้างเพื่อบีบให้พระชายาอ๋องต้องยอมเข้าวังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อสายของจวนอ๋องจริงๆ แล้วล่ะ? หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าฮองเฮาทรงหาข้อแก้ตัวให้พระองค์เองเพราะทรงโกรธ แต่ข้อแก้ตัวเช่นนี้ดูจะไร้ความจำเป็นไปมาก เพียงทำให้พระองค์เองขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยปลอบ “พระนางอย่าได้กริ้วไปเพคะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นการหาพระชายารองให้เขาจริงๆ นี่เพคะ” ฮองเฮาทรงตวัดพระเนตรมองนางด้วยความไม่พอพระทัย ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว
ณ ตำหนักเฉียนหยาง อู๋ย่วนเจิ้งและหมอหลวงหลินยืนอยู่ด้านข้างเซี่ยหลูโม่กับอู๋ต้าปั้นก็อยู่ข้างเตียง ต่างเฝ้ารอให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจชีพจร หลังจากตรวจชีพจรแล้วหมอมหัศจรรย์ดันถามถึงบันทึกชีพจรในอดีตและสูตรยาที่ใช้รักษาก่อนหน้านี้ หมอหลวงหลิน นำบันทึกมาให้เขา พลางกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “หมอดัน โปรดตรวจดูเถิด” ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าหมอมหัศจรรย์อีกแล้ว เพราะสำนักหมอหลวงก็เคยผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หมอมหัศจรรย์ดันรับบันทึกมา เปิดดูทีละหน้า ภายในตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดาษที่เขาพลิกเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจ นี่คือความหวังสุดท้าย หากหมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าพระอาการมีเวลาเพียงสามเดือน เช่นนั้นก็เหลือเวลาเพียงสามเดือนจริงๆ จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ดวงตาหดเล็กลง ฝ่าพระหัตถ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ พระองค์กำลังรอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดัน ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว อ่านจนครบทุกหน้า จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “บันทึกชีพจรระบุว่ามีอาการปวดต่อเนื่องกว่าหนึ่งเดือน กลางคืนมิอาจข่มพระเนตร และแทบไม่อาจเสวยได้เลย” นี่เป็นเพียงการกล่าวยืนย
ซ่งซีซีกล่าว “หากหมอมหัศจรรย์ดันยอมเข้าวังมา ก็ย่อมจะทำเต็มกำลังแน่นอนเพคะ” ไทเฮาทรงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำพระเนตรก็ร่วงเงียบๆ “แม้จะทำสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงสามารถยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้จัดการเรื่องรากฐานแผ่นดินให้เรียบร้อย” เห็นพระนางหลั่งน้ำตาซ่งซีซีก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวว่า ไทเฮาเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก หยาดน้ำตาของพระองค์มีค่ามาก ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว นางไม่รู้ว่าควรปลอบพระทัยอย่างไร และก็นึกได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาต้องการตอนนี้ คงไม่ใช่คำปลอบโยน นางจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ เซี่ยหลูโม่เดินทางไปยังร้านขายยาเย่าหวัง และได้พบกับหมอมหัศจรรย์ดัน วันนี้หลังจากมีพระบัญชาเรียกเข้าวัง อาจารย์หยูก็มาที่ร้านขายยาเย่าหวังเพื่อแจ้งข่าว ดังนั้นหมอมหัศจรรย์ดันจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาศิษย์ไปด้วย แต่เดินทางกับเซี่ยหลูโม่เพียงลำพัง ชิงเชวี่ยและหงเชวี่ยอยากตามไปด้วย แต่ถูกเขาดุไล่ให้กลับไป บนรถม้าเซี่ยหลูโม่รับปากกับเขาว่าจะปกป้องท่านให้ปลอด