หลังจากส่งอู๋ต้าปั้นแล้ว ซ่งซีซีก็ไปคุยกับอาจารย์หยูสองสามคำ จากนั้นก็ไปร่วมกับเสิ่นว่านจือและศิษย์พี่ห้าที่ย่างมันเทศรอบกองไฟกิจการของหอหนานเฟิงจะถูกปล่อยให้เป็นของอาจารย์หยู ซึ่งอาจารย์หยูจะส่งคนไปจับตาดูพวกเขาทั้งสองกำลังพูดเรื่องอาจารย์ฉีกันอยู่เสิ่นว่านจือ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง คงจะไม่มีทางเชื่อมันหวังเยว่จางบอกว่าเขาเดินทางไปทั่วแคว้น ได้เห็นทุกอย่าง แต่เรื่องเช่นนี้...เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อายุจนปูนนี้แล้ว สถานะก็ยังได้รับความเคารพมากมาย ทำไมถึงไปสถานที่แบบนั้น?จากการสังเกตของพวกเขา ตอนที่อาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ก็ไม่ได้ทำอะไรที่อุจาดสายตา แค่เรียกบริกรสองสามคนยกอาหารเข้าไปให้ ดื่มสุรา ฟังบทเพลง และสัมผัสมือเล็กๆ อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ และอดีตฮ่องเต้ไม่ชอบชายรักชายมากที่สุด ถึงขั้นเกลียดชังด้วยซ้ำในฐานะอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ เขาได้ช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมืองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ โดยปกติแล้ว เมื่อพิจารณาจากความระมัดระวังและความอ่อนน้อมถ่อมตนของตระกูลฉี ในช่วงปีแรกๆ เขาควรจะเกลียดกระแสเช่นนี้อย่างสุดซึ้งถึงจะถูกเป็น
เสิ่นว่านจือที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง""ขอบคุณที่ให้เกียรติ ถึงได้ทั้งชายทั้งหญิงก็ไม่ดี ขอบคุณ" หวังเยว่จางยืดเส้นยืดสาย "พวกเจ้าค่อยๆ กินไปนะ สองพี่น้องค่อยๆ คุยกันเถอะ"เขาลุกขึ้นยืนและเดินจากไป เดิมทีเขาเดินด้วยฝีเท้าสบายๆ บางครั้งก็แกว่งไปแกว่งมาตามสายลม บางครั้งก็ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีดวงตาสองข้างจ้องมองเขาจากด้านหลัง"จริงสิ หมั่นโถวกับเฉินเฉินอาจะมาเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วย ที่เขียนจดหมายส่งมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ยังไม่เคยเห็นใครเลย คิดว่าคงไม่มาแล้ว" เสิ่นว่านจือจึงนึกถึงเรื่องนี้ได้ พูดกับซ่งซีซี“ช่วงฉลองวันปีใหม่ อาจารย์พวกเขาปล่อยคนหรือ?” ซ่งซีซีถาม“ถ้าไม่มา คิดว่าคงไม่ถูกปล่อยตัวให้มา บางทีอาจจะกลับมาอีกครั้งหลังปีใหม่” เสิ่นว่านจือเพิ่มถ่านจำนวนหนึ่ง มองดูถ่านสีแดงที่ถูกปกคลุมไปด้วยถ่านเงินที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา ด้านข้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง “เดิมทีเจ้าบอกว่าเรามีคนไม่เพียงพอ ข้าก็เลยเขียนจดหมายไปบอกพวกเขา”“ถ้าเฉินเฉินมาได้ก็คงจะดีไม่น้อย” ซ่งซีซีพิงไหล่ของเสิ่นว่านจือด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า “ปีนี้ข้ารู
ในวันก่อนตรุษจีน รุ่ยเอ๋อร์สวมใส่เสื้อกันหนาวบุนวมผ้าไหมสีแดง สวมหมวกใบหนา รอบๆ หมวกมีขนสุนัขจิ้งจอกแซมอยู่รอบใบ ท่าทางร่าเริงสดใส รอคอยรถมาของตระกูลขงอย่างตื่นเต้นอาจารย์หยูได้เตรียมของขวัญไว้มากมายแล้ว ของส่วนใหญ่เป็นรุ่ยเอ๋อร์เลือกมาด้วยตัวเองเมื่อคืนลุงฟูส่งบัญชีจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาให้ เขาอดหลับอดนอนทั้งคืนตั้งใจตรวจสอบบัญชีนั้น อาจารย์หยูบอกแล้วว่าไม่รีบเร่ง ยังไปขอซ่งซีซีเมตตา ซ่งซีซียังบอกอีกว่าให้เขาเรียนรู้การจัดการบัญชีเร็วหน่อยก็ดี จวนเสนาบดีกั๋วกงนี้สุดท้ายเขาก็ต้องขึ้นมาเป็นคนดูแลอยู่ดีเขาดูบัญชี เฉินเสี่ยวเหนียนเด็กรับใช้อยู่เป็นเพื่อนเขาข้างๆ ทว่าวันนี้ เฉินเสี่ยวเหนียนก็จะกลับบ้านไปฉลองวันปีใหม่แล้ว ไม่สามารถไปตระกูลขงกับเขาได้เรื่องที่ซ่งซีซีดีใจมากที่สุดคือรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีความคิดละเอียดรอบคอบมาก หนักแน่นมั่นคง แต่ก็ยังไม่สูญเสียความใสซื่อของวัยเยาว์ บางทีอาจเป็นเพราะแสร้งทำ เพราะเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็ดีเหมือนกัน เกิดเป็นคน บางทีก็ต้องแสร้งทำ ต้องอยู่ให้เป็นแม้ว่ารุ่ยเอ๋ฮร์จะอยากไปฉลองวันปีใหม่กับตระกูลขง แต่วันนี้ท่านอาเขยไม่อยู่
ก่อนงานเลี้ยงในวัง ไปนั่งที่ไทเฮาครู่หนึ่ง ไปนั่งที่ที่พระสนมเต๋อเฟยครู่หนึ่ง ไปนั่งที่พระสนมกงเฟยครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเล่นในดอกไม้กับเซียนหนิง หมินชิง และองค์หญิงใหญ่คนอื่นๆองค์หญิงใหญ่หมินชิงวันนี้สวมชุดฉิงหลวนปักสีแดงและใบหน้าของนางดูสง่างามยิ่งขึ้น นางถือพัดกลมๆ ไว้เพื่อปกปิดใบหน้าของนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "หลังจากได้ยินว่าตระกูลฉีถูกรายงานแล้ว อาจารย์ฉีเรียกสมาชิกในตระกูลมาในคืนนั้นและลงโทษเรือนสี่อย่างรุนแรงโดยบอกว่าปัญหานี้ทั้งหมดเกิดจากเรือนสี่”องค์หญิงใหญ่หมินชิงถือกำเนิดมาจากไทเฮา และองค์หญิงสายตรงย่อมมีเกียรติกว่าเสมอ และองค์หญิงคนอื่นๆ ก็เดินตามนางไป นางพูดเรื่องตระกูลฉี คนอื่นๆ เห็นพ้องตาม แม้แต่องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็ยังหัวเราะตามด้วยองค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงเป็นองค์หญิงของฉีกุ้ยไทเฟยซึ่งเป็นหลานสาวของตระกูลฉี องค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลฉีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพราะองค์ชายมเหสีหลี่โย ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชายส่วนใหญ่แต่งงานกับตระกูลฉี ตระกูลฉีมีอำนาจมากเกินไป ไม่ว่าอะไรก็ตามเมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะตกลงมาสู่จุดต่ำสุด ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาหลังจากนั้น ถงเจี๋ยหยูจะยังคงพูดคุยกับนาง บางครั้งในขณะที่พูดก็หัวเราะเขินๆ ทั้งยังใช้มือผลักซ่งซีซี ทำท่าทางอ้อนๆ อย่างน่ารัก ราวกับว่านางคุ้นเคยกับซ่งซีซีมากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งสอง ยังดึงดูดความสนใจของบรรดาสนมที่อยู่ใกล้เคียง บางคนก็มองดูพวกนางหลายครั้งถ้าจะบอกว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ แต่จริงๆ แล้วซ่งซีซีก็แค่คล้อยตามหรือพยักหน้าเป็นครั้งคราว และยิ้มเพื่อไว้หน้าเท่านั้นแต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงและองค์หญิงเซียนหนิงที่หลังจากดูละครจบ ก็ถามซ่งซีซีเป็นการส่วนตัวว่า “ที่แท้เจ้ากับถงเจี๋ยหยูรู้จักกันมาก่อนหรือ?”ซ่งซีซีสั่นศีรษะ “ไม่รู้จัก เพิ่งเจอกันครั้งแรก”“พบกันครั้งแรกก็ดูสนิทกันขนาดนี้เชียวหรือ?” เซียนหนิงดูตกตะลึงกลับเป็นองค์หญิงหมิ่นชิงที่สังเกตเห็นเค้าลางบางอย่าง ขมวดคิ้ว “ต่อไปอย่าติดต่อกับนางอีก แรงจูงใจไม่บริสุทธิ์”อันที่จริงซ่งซีซีก็รู้เรื่องนี้ แต่เวลานั้นทุกคนกำลังดูละคร หากนางลุกขึ้นจากไปอย่างกะทันหัน จะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของไทเฮาและไทเฟยแต่ซ่งซีซีรู้สึกว่าถงเจี๋ยหยูคนนี้ ก็ไม่ได้ฉลาดมากนักหลังจาก
เขาตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับมามองซ่งซีซีด้วยสีหน้าไม่คาดคิด “พระชายาคิดว่าข้าพูดไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ? หรือพระชายาคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะสั่งสอนได้?”สนมฮุ่ยไทเฟยเอื้อมมือออกไปดึงซ่งซีซี บอกเป็นนัยว่าอย่าทะเลาะกับอาจารย์สนมฮุ่ยไทเฟยรักอดีตฮ่องเต้ จึงเคารพอาจารย์ฉีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่อยากให้เซี่ยหลูโม่แต่งงานกับบุตรีตระกูลฉี และสุดท้ายเซียนหนิงบุตรีของตนก็ได้แต่งงานกับฉีลิ่ว ซึ่งถือว่าสมความปรารถนายิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าแม้ว่าอาจารย์จะพูดกับซ่งซีซีด้วยน้ำเสียงในเชิงสั่งสอน นั่นก็เป็นเพียงคำตักเตือนจากผู้ใหญ่ถึงผู้เยาว์ ซ่งซีซีควรยอมรับอย่างถ่อมตนแม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง เพราะน้ำเสียงของอาจารย์ฉีเจือไปด้วยความประชดประชัน แถมยังบอกว่าลูกสะใภ้ของนางไร้อารยธรรมอีก แต่ความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตรงนี้ก็สามารถมองข้ามไปได้เพราะสถานะของอีกฝ่ายให้เกียรติผู้สูงอายุอย่างไรล่ะซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปที่เขา “อาจารย์พูดผิดไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่สามารถอบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คนนั้น แต่มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสถาบันการศึกษาหย่าจวิน ข้ามีความผิด ผิดที่ไม่รู้ว่
เมื่อซ่งซีซีกลับมาถึงบ้าน อาจารย์หยูยื่นจดหมายของเซี่ยหลูโม่ให้นาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านเพิ่งออกไปข้างนอก จดหมายของท่านอ๋องก็ส่งมาถึง”ดวงตาของซ่งซีซีเป็นประกาย เอื้อมมือไปรับ ยังไม่รีบร้อนที่จะอ่าน ถามขึ้นว่า “ทำไมอาจารย์ไม่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวล่ะ?”“ใกล้จะกลับไปเฝ้าปีกับพวกเขาแล้ว นี่ไง กำลังรอส่งจดหมายให้พระชายาด้วยมือตัวเองอยู่” อาจารย์หยูหรี่ตาลง “อยากเห็นพระชายามีความสุข และอยากรู้ว่านอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว ท่านอ๋องยังได้พูดถึงเรื่องอีกหรือไม่”ซ่งซีซีไม่ได้ปิดบังความสุขเลย “นี่เป็นจดหมายฉบับแรกจากเขา ข้าอ่านก่อน”นางรู้ว่าในจดหมายจะต้องมีข้อมูลของสถานการณ์ ฉะนั้นจึงต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้อาจารย์หยูดูเหมือนกันทว่าหลังจากที่นางเปิดจดหมายก็พบว่าจดหมายนั้นแบ่งออกเป็นสามแผ่น สองแผ่นแรกเขียนถึงนาง และอีกแผ่นหนึ่งเป็นคำอธิบายสถานการณ์หลังจากกวาดตาตูคร่าวๆ สักพัก นางก็ยื่นส่วนที่อธิบายสถานการณ์ให้อาจารย์หยู แล้วเก็บจดหมายสองแผ่นที่เขียนถึงนางไว้อ่านค่อยๆ บรรจงอ่านอาจารย์หยูพูดด้วยรอยยิ้ม “เขียนถึงพระชายาสองหน้าเต็มๆ ส่วนการตรวจสอบมีเพียงหน้าเดียว การไปทำงาน
ซ่งซีซีไม่สามารถตอบจดหมายได้ เพราะพวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน จึงได้แต่ซ่อนความปรารถนาไว้ในใจ รอให้เขากลับมาแล้วค่อยบอกเขาปีนี้เป็นปีที่ผ่านไปอย่างรื่นรมย์มีความสุข มีทั้งการให้และการได้รับ เป่าจูแทบอยากจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งหมดให้นาง เพื่อไม่ให้กลับไปที่จวนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวง และสวมชุดทางการอีกเช้าตรู่ของทุกวัน เป่าจูจะวางนางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าแบบดอกท้อ แต่งหน้าแบบดอกสาลี่ ล้วนสลับปรับเปลี่ยนเพื่อแต่งตัวให้นางดูสวยงาม แม้แต่ฮูหยินเสนาบดีมู่ยังกล่าวว่าสตรีที่ผิวไม่ขาวมากก็สวยที่สุดเช่นกันซ่งซีซีไม่ได้ผิวขาว ตะลอนออกไปข้างนอกทุกวัน แม้จะมีรากฐานที่ดีแค่ไหน ก็สูญเสียความขาวอันละเอียดอ่อนของสตรีในห้องหอเหมือนกัน ทว่าผิวพรรณสีข้าวสาลีกลับดูเปล่งปลั่ง ราวกับดอกท้อที่บานสะพรั่ง เหมือนผลผิงกั๋วที่สุกงอมฮองเฮาได้รับการปล่อยตัวจากการกักบริเวณในวันที่แปด ประกาศให้บรรดาสตรีชั้นสูงทั้งในและนอกเมืองหลวงเข้ามาถวายพระพรในไม่ช้า ก็มีข่าวลือว่า เดิมทีคุณหนูของบ้านหนึ่งเป็นคู่หมั้นกับหลานชายของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ต่อมาเพื่อเรื่องของสถาบันการศึ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด