เสียงกรีดร้องจากหอประชุมดังขึ้นเรื่อยๆ หงเซียวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งแล้วก็รีบวิ่งไปที่หอประชุม "อย่าวิ่งไปไหน หาที่ซ่อนก่อน"ในหอประชุม กั๋วไท่ฮูหยินและเจิ้งฮูหยินหวาดกลัวจนแทบทนไม่ไหว รีบไปปกป้องบรรดาคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหยานหรูอวี้และคุณหนูใหญ่หวู่ถือไม้กระบองไว้ในมือ ทุบตีชายเหล่านั้นด้วยความกลัว ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะแตะต้องคุณหนูที่อยู่ข้างหลังอย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของหยานหรูอวี้มีจำกัด นางเห็นชายคนนั้นกำลังจะกอดจูช่างอวี่ แต่จูช่างอวี่กรีดร้อง นางจึงกระแทกไม้กระบองใส่ แต่ชายคนนั้นไม่ได้ล้มลง แต่กลับวิ่งเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้มเมื่อหงเซียวมาถึง หยานหรูอวี้ก็ถูกชายคนนั้นกอดไว้แล้ว แถมยังยื่นปากเข้าไปที่ใบหน้าของหยานหรูอวี้ หยานหรูอวี้พยายามอย่างหนักที่จะผลักเขาออกไป แต่ไม่มีกำลังเท่าผู้ชาย จึงทำได้เพียงข่วนใบหน้าของชายคนนั้นแบบมั่วๆ ยับยั้งไม่ให้เขาใช้ปากแตะโดนใบหน้าของตัวเองเมื่อเห็นแบบนี้ หงเซียวก็โกรธมาก คว้าด้านหลังของชายคนนั้นด้วยมือเดียว แล้วโยนเขาลงกับพื้นอย่างแรง แถมยังกระทืบท้องของเขา ทำให้ชายคนนั้นกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวดหงเซียวแย่งไม้กระบองของคุณหนูหวู่ แล้วฟ
ซ่งซีซีมาถึงในเวลานี้ ตอนที่ยังไม่เข้ามานางก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มีบางคนเบียดแน่นอยู่ข้างนอกไม่สามารถเข้ามาได้ แต่ทุกคนได้ยินถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างก็คาดเดาอยู่ข้างนอกหลังจากที่ซ่งซีซีเข้ามาก็กวาดตามองไปรอบๆ ฟังเสียงประท้วงของทุกคน เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่นางปรากฏตัว ฮูหยินทุกคนก็รีบเข้ามาหานาง แล้วถามนางว่าจะทำอย่างไรดี แม้จะไม่กล้ามีคำถามกับนาง แต่คำพูดก็แฝงไว้ด้วยความสงสัยและต้องการคำอธิบายเพียงแต่คำพูดและท่าทีไม่ดุดันเหมือนเมื่อครู่ใบหน้าของซ่งซีซีไม่ได้เคร่งเครียด แต่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่คาดคิดว่าในวันสุดท้ายก่อนจะถึงวันหยุดจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นวันนี้ประตูใหญ่ของสถาบันการศึกษาสตรีจะเปิด เนื่องจากนักเรียนต้องนำสิ่งของติดตัวไปด้วยมากมายในช่วงวันหยุด ล้วนเป็นสมาชิกในครอบครัวขุนนาง ดังนั้นโดยทั่วไปเหล่าคนรับใช้จะมีการควบคุมเข้มงวดมาก ดังนั้นเดิมทีก็ไม่มีอะไรต้องกังวลกลับไม่คาดคิด ว่าคนร้ายฉวยโอกาสนี้ หลังจากที่ประตูเปิดก็บุกเข้ามา ก่อนที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะมาถึงด้วยซ้ำ แบบนี้เมื่อสามารถบุกเข้ามาได้แล้ว ก็ทำให้ทุกคนเห็นว่าพวกคุณหนูเกือบจะถูกลวนลาม ทำให้เกิด
ซ่งซีซีอพยพนักเรียนและผู้ปกครองอย่างเป็นระเบียบไปก่อน โดยไม่บอกให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ เพราะเก็บไว้ไม่ได้แล้วจากนั้นก็ให้หงเซียวไปเชิญให้ชิงเชวี่ยและคนจากสำนักเขตจิงจ้าวมา คนผู้นี้จะต้องถูกมัดตัวไปสอบสวนอย่างแน่นอน และเห็นได้ชัดว่าเขาถูกวางยา ที่เชิญชิงเชวี่ยก็เพื่อตรวจดูว่าใช้ยาชนิดใดส่วนคนที่หลบหนีก็ถูกลู่เจินพาคนไปจับตัวมา และพวกเขาก็ถูกนำตัวกลับมาทั้งหมดคนอื่นๆ เริ่มมีสติขึ้นแล้ว แต่คนที่ยังไม่มีสติ เมื่อมองดูซ่งซีซีและหงเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความหื่นกระหายซ่งซีซีเข้าไปกอดหยานหรูอวี้ก่อน ยานหรูอวี้ก็สงบลง แล้วนางก็หันกลับมาปลอบซ่งซีซีว่า "ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร"“เด็กโง่ เจ้าไม่ควรพูดแบบนั้น เจ้ากำลังทำลายตัวเอง” กั๋วไท่ฮูหยินรู้สึกปวดใจแทนนาง ถอนหายใจเฮือกๆ “แบบนี้จะทำอย่างไรดี”รอยยิ้มที่สั่นเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าซีดเซียวของหยานหรูอวี้ "กั๋วไท่ฮูหยินไม่ต้องห่วงข้าเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานอยู่แล้ว สำหรับข้าชื่อเสียงเป็นเพียงภาระที่หนักอึ้ง ตอนนี้ข้าไม่เหลือชื่อเสียงแล้ว กลับทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น"“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เจ้านำภัยพิบัติมาสู่ตัวเอง ผู้คนภายนอก...เ
ซ่งซีซีรู้สึกผิดในใจของนางอย่างไม่อาจบรรยายได้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางต้องออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพราะเรื่องของหอหนานเฟิง จนเกือบลืมเรื่องในสถาบันการศึกษาหญ่าจวินไปหมดศิษย์พี่เสิ่นบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าสถาบันการศึกษาสตรีควรระมัดระวังให้มากกว่านี้ ถ้านางส่งคนมาเพิ่มอีกสักคน มันคงไม่เป็นแบบนี้คนจากสำนักเขตจิงจ้าวมาถึงก่อน เป็นใต้เท้าขงที่มาด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำนักเขตจิงจ้าวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใดทั้งหมดมีหกคน ล้วนถูกมัดไว้ เมื่อถูกตบไม่กี่ครั้ง ทุกคนได้สติ ยกเว้นคนที่ลวนลามหยานหรูอวี้คนเดียวแล้วจึงรายงานตัวตนของพวกเขา ทั้งหกคนล้วนเป็นคนทำงานหนักบนท่าเรือ ช่วยคนขนถ่ายสินค้าและขนแผ่นทองแดงจำนวนมากทุกวัน เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน ก็จะได้รับเงินสองพวงจากการทำงานหนักและเมื่อคืนที่ผ่านมา หัวหน้าคนงานท่าเรือได้จัดงานเลี้ยง ทั้งเก้าคนนั่งดื่มสุรากัน บอกว่ามีงานให้ทำ ถ้าทำสำเร็จก็จะได้เงินห้าสิบตำลึงงานนี้ง่ายมาก ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก นั่นก็คือบุกเข้าไปก่อความวุ่นวายสถาบันการศึกษาสตรี ไม่จำเป็นต้องก่อกวนอะไรมาก เพียงแค่ต้องบุกเข้าไปทำให้นักเรียนในสถาบันการศึกษ
คนเหล่านั้นตกใจจนฉี่ราด โดยเฉพาะเฉินฮั่นที่ลวนลามหยานหรูอวี้ เขาร้องไห้เสียงดัง ลากขาที่หักอยู่คุกเข่าลงกับพื้น ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย โขกศีรษะคำนับซ่งซีซีและใต้เท้าขงไม่หยุด "ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าโลภเงินอีกแล้ว ใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย ที่บ้านของข้าน้อยยังมีคนแก่ป่วย และลูกสาวที่ยังไม่ครบขวบเดือน หากข้าน้อยติดคุก ครอบครัวของข้าจะทำอย่างไร?”เสียงร้องไห่ของเขาโหยหวน เต็มไปด้วยความสิ้นหวังใต้เท้าขงออกคำสั่ง “พาตัวไป!”คนที่ทำสิ่งเลวร้ายอาจมีภูมิหลังที่น่าสังเวช แต่นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวในการฝ่าฝืนกฎหมายคนของทางการเห็นมาเยอะแล้ว แต่สุดท้ายทางการก็ยังต้องทำตามกฎ กลุ่มคนวุ่นวายกลุ่มหนึ่งจากไป ผู้ที่มาก่อกวนก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน มีความเงียบงันในสถาบันการศึกษาสตรี ทุกคนนั่งด้วยกันและไม่พูดอะไรหงเซียวไปเติมถ่านหนึ่ง ทำให้ห้องอุ่นขึ้นบ้าง เพราะไหล่ของหยานหรูอวี้สั่นตลอดเวลาตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่นี่ เจิ้งฮูหยิน กั๋วไท่ฮูหยิน คุณหนูใหญ่หวู่ หยานหรูอวี้ รวมถึงซ่งซีซีที่เป็นเจ้าสำนักและหงเซียวผู้คุ้มกันชั่วคราวในสถาบันการศึกษาสตรีมีแม่บ้านสาวใช้ และแม่ครัวอยู่ เมื
ในระหว่างทางที่นางกลับบ้าน ได้ยินผู้คนที่จับกลุ่มคุยกัน ต่างก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวินวันนี้สถาบันการศึกษาสตรีและโรงงานได้รับความสนใจมาโดยตลอด เมื่อเกิดเหตุใหญ่โตเช่นนี้แล้ว จะไม่สร้างความฮือฮาได้อย่างไร?โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหลานสาวไท่ฟู่ สตรีที่สูงส่งล้ำค่าเช่นนั้น กลับถูกคนหยาบช้าบ้าบิ่นลวนลาม ต่อไปจะมีคุณชายบ้านไหนกล้าสู่ขอนาง?หลายคนบอกว่านางโง่ เป็นคุณหนูสูงส่งอยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากไปเป็นอาจารย์หญิงอะไรนั่น คราวนี้เป็นอย่างไร ชาตินี้ถูกทำลายไปชั่วชีวิตซ่งซีซีจงใจขี่ม้าอย่างช้าๆ โดยหวังว่าจะได้ยินคำชมจากผู้คนที่หยานหรูอวี้ปกป้องนักเรียน แต่น่าเสียดายที่นางไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวนางรู้สึกเศร้ามากตั้งแต่นางกลายเป็นผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจีย นางต้องเผชิญกับความยากลำบากและการลอบสังหารมากมายตลอดทาง ไม่ใช่ทุกการเคลื่อนไหวจะประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าโรงงานจะมีอุปสรรคมากมาย แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังใจถูกทำลาย รู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ขอเพียงพยายามทำให้ดีที่สุดแต่คราวนี้ ขวัญและกำลังใจทั้ง
ไทเฮาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจการต่างๆ มาหลายปีแล้ว แต่สนใจเพียงสถาบันการศึกษาสตรีแห่งนี้เป็นพิเศษ ซึ่งพระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ด้วยตัวเอง “เป็นไปได้ไหม นักเรียนที่ไปเรียน มีการทะเลาะเบาะแว้งกันเองในจวน?” ซ่งซีซีถามอาจารย์หยูถอนหายใจ "ถ้าเป็นเช่นนี้ ขอบเขตก็ยิ่งกว้างขึ้น แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้"ในจวนหลายแห่งดูเหมือนว่าภรรยาเอกและอนุจะเข้ากันได้ดี แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น อนุ แม้แต่อนุฐานะสูงก็ไม่กล้าที่จะเย่อหยิ่งต่อหน้าภรรยาเอก มีข้อยกเว้นคือ เจ้านายเข้าข้างอนุ ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงของสถานะภรรยาเอก ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ระหว่างภรรยาเอกและอนุจะดุเดือดมาก ไม่ว่าจะเป็นคำดูหมิ่นประเภทใดก็ล้วนน้ำมาใช้ทั้งหมดตัวอย่างเช่น ภรรยากับอนุต่างก็มีบุตรีเหมือนกัน แต่บุตรีของภรรยาเอกได้ไปเรียนที่สถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวิน แต่บุตรีอนุไม่สามารถไปเรียนได้ เพราะมีจำกัดจำนวนดังนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่อนุอยากทำให้บุตรีภรรยามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และลากคนอื่นๆ ให้มัวหมองโดยไม่นึกเสียดายเพราะความรู้ความเข้าใจจะจำกัดความสามารถของคนในการแยกแยะสถานการณ์ต่างๆ และอาจ
หลังจากที่ซ่งซีซีออกจากวังกลับจวนไม่นาน เสิ่นว่านจือก็รีบเข้ามา และดึงตัวนางออกไปอีกด้าน“เกรงว่าเรื่องสถาบันการศึกษาสตรี จะเป็นฝีมือของฝ่าบาทและฮองเฮา” สีหน้าของนางเคร่งขรึมพร้อมแสดงความโกรธเล็กน้อยซ่งซีซีตกตะลึง "ฝ่าบาทและฮองเฮา? ใครบอก?"“จางฉีเหวินบอก เขาได้ยินฝ่าบาทตำหนิฮองเฮาว่าทำอะไรไม่คิด ฮองเฮาแย้งว่าเดิมทีฝ่าบาทไม่ชอบสถาบันการศึกษาสตรี เพื่อไม่ให้เจ้าชักชวนเหล่าสตรีที่มีอำนาจในเมืองหลวงมาเป็นพวก นางทำเช่นนี้ก็เพื่อแบ่งเบาภาระให้พระองค์”ซ่งซีซีได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเยียบเย็นจนทั่วสรรพางค์กาย“เจ้าใจเย็นก่อน เรื่องนี้ห้ามไม่ให้จางฉีเหวินแพร่งพรายออกไป ไม่เช่นนั้นอนาคตของเขาจะจบสิ้น” เสิ่นว่านจือกล่าวซ่งซีซีนั่งลงอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่ว่านางไม่เคยบังอาจคาดเดาไว้เช่นนี้ แต่นางไม่กล้าคิดว่าจะเป็นฝ่าบาทเลยนางเคยสงสัยฮองเฮา แต่นางรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลตอนนี้ฮองเฮาควรจะวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ถึงจะถูก การไปล่วงเกินตระกูลชั้นสูงเช่นนั้น จะมีประโยชน์อะไรกับนาง? แม้ว่าเรื่องนี้จะกระทำอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่จะลงมือก็คิดว่าระมัดระวังขนาดนี้แล้วงั้นหรือ? ถ้าหัวหน้าคนงานยังไ
ฉีฮูหยินใหญ่เข้าเฝ้าในวัง ครานี้นางมาโดยได้รับคำสั่งจากเจ้ากรมฉี เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินว่าบิดาทรงตัดสินใจจะวางตัวเป็นกลาง ก็มิอาจระงับโทสะได้ ตรัสเย็นชา “แต่ก่อนให้ข้าช่วยสนับสนุนตระกูลฉี ข้าก็มิเคยปฏิเสธ บัดนี้เมื่อข้าต้องการให้พวกท่านช่วยบ้าง กลับถอยหนีไปหมดสิ้น ข้าช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉีจะไม่ได้รับผลดีเลยหรือ? หรือบิดามั่นใจว่าต่อจากนี้ตระกูลฉีจะราบรื่นไร้ปัญหา?” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น “ความหมายของบิดา คือเพียงอยากเป็นขุนนางผู้ภักดี มิอาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฮ่องเต้” “ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาทรงหัวร่อเยาะ “เปรอะเปื้อนมลทินไปทั้งตัว บัดนี้ยังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์? เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้เล่า? เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องแต่งเข้าวังมา ปล่อยให้ข้าดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าว “แม้บิดาจะมีความผิดพลาดในเรื่องส่วนตัว แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในกรมขุนนาง ก็รับใช้แผ่นดินและฮ่องเต้โดยซื่อสัตย์ ไม่เคยขายตำแหน่งขุนนางหรือรับสินบน” ฮองเฮาทรงแค่นเสียง “ทำหรือไม
ฮองเฮาเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียเมื่อไร? แม้แต่ฮ่องเต้ทรงกริ้วพระนางอย่างที่สุด ก็เพียงแค่ทรงตำหนิเล็กน้อย หรือไม่ก็ทรงมีรับสั่งกักบริเวณพระนางเท่านั้น “เซี่ยหลูโม่เป็นตัวอะไร? เขาถึงได้กล้าถึงเพียงนี้! บังอาจมาทำอวดดีต่อหน้าข้า! ข้าเห็นว่าเขาสร้างผลงานไว้ จึงเป็นห่วงเรื่องเชื้อสายของเขา เขาคิดว่าข้าไม่มีเรื่องใดให้ทำ นอกจากยุ่งเรื่องของเขารึ? เขาไม่ชอบก็แล้วไป ยังมีคนที่ชอบอีกมาก!” ฮองเฮาทรงกริ้วจนปวดพระเศียร ไม่เคยพบผู้ใดที่ไม่รู้คุณคนเช่นนี้มาก่อน ความน้อยพระทัยของพระนางทำให้หลานเจี่ยนกูกูงุนงงนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็แค่หาข้ออ้างเพื่อบีบให้พระชายาอ๋องต้องยอมเข้าวังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อสายของจวนอ๋องจริงๆ แล้วล่ะ? หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าฮองเฮาทรงหาข้อแก้ตัวให้พระองค์เองเพราะทรงโกรธ แต่ข้อแก้ตัวเช่นนี้ดูจะไร้ความจำเป็นไปมาก เพียงทำให้พระองค์เองขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยปลอบ “พระนางอย่าได้กริ้วไปเพคะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นการหาพระชายารองให้เขาจริงๆ นี่เพคะ” ฮองเฮาทรงตวัดพระเนตรมองนางด้วยความไม่พอพระทัย ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว
ณ ตำหนักเฉียนหยาง อู๋ย่วนเจิ้งและหมอหลวงหลินยืนอยู่ด้านข้างเซี่ยหลูโม่กับอู๋ต้าปั้นก็อยู่ข้างเตียง ต่างเฝ้ารอให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจชีพจร หลังจากตรวจชีพจรแล้วหมอมหัศจรรย์ดันถามถึงบันทึกชีพจรในอดีตและสูตรยาที่ใช้รักษาก่อนหน้านี้ หมอหลวงหลิน นำบันทึกมาให้เขา พลางกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “หมอดัน โปรดตรวจดูเถิด” ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าหมอมหัศจรรย์อีกแล้ว เพราะสำนักหมอหลวงก็เคยผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หมอมหัศจรรย์ดันรับบันทึกมา เปิดดูทีละหน้า ภายในตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดาษที่เขาพลิกเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจ นี่คือความหวังสุดท้าย หากหมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าพระอาการมีเวลาเพียงสามเดือน เช่นนั้นก็เหลือเวลาเพียงสามเดือนจริงๆ จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ดวงตาหดเล็กลง ฝ่าพระหัตถ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ พระองค์กำลังรอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดัน ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว อ่านจนครบทุกหน้า จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “บันทึกชีพจรระบุว่ามีอาการปวดต่อเนื่องกว่าหนึ่งเดือน กลางคืนมิอาจข่มพระเนตร และแทบไม่อาจเสวยได้เลย” นี่เป็นเพียงการกล่าวยืนย
ซ่งซีซีกล่าว “หากหมอมหัศจรรย์ดันยอมเข้าวังมา ก็ย่อมจะทำเต็มกำลังแน่นอนเพคะ” ไทเฮาทรงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำพระเนตรก็ร่วงเงียบๆ “แม้จะทำสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงสามารถยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้จัดการเรื่องรากฐานแผ่นดินให้เรียบร้อย” เห็นพระนางหลั่งน้ำตาซ่งซีซีก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวว่า ไทเฮาเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก หยาดน้ำตาของพระองค์มีค่ามาก ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว นางไม่รู้ว่าควรปลอบพระทัยอย่างไร และก็นึกได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาต้องการตอนนี้ คงไม่ใช่คำปลอบโยน นางจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ เซี่ยหลูโม่เดินทางไปยังร้านขายยาเย่าหวัง และได้พบกับหมอมหัศจรรย์ดัน วันนี้หลังจากมีพระบัญชาเรียกเข้าวัง อาจารย์หยูก็มาที่ร้านขายยาเย่าหวังเพื่อแจ้งข่าว ดังนั้นหมอมหัศจรรย์ดันจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาศิษย์ไปด้วย แต่เดินทางกับเซี่ยหลูโม่เพียงลำพัง ชิงเชวี่ยและหงเชวี่ยอยากตามไปด้วย แต่ถูกเขาดุไล่ให้กลับไป บนรถม้าเซี่ยหลูโม่รับปากกับเขาว่าจะปกป้องท่านให้ปลอด