หวังเยว่จางและเสิ่นว่านจือจูงม้าเดินไปในถนนที่กว้างขวาง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน พัดเอากลิ่นสุรามลายหายไปสิ้น“คืนนี้วู่วามเกินไปแล้ว” เสิ่นว่านจือรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ไม่ควรลากเจ้ามาด้วย”“ก็ดีเหมือนกัน” หวังเยว่จางกล่าว“ในใจเจ้าคิดอย่างไร? คืนดีกันแล้ว?”“ไม่” หวังเยว่จางหัวเราะ ผ่อนคลายลงไปมาก “นางเรียกข้ากับฮูหยินจีเข้าไปในห้อง พูดพล่ามมากมาย แต่นางไม่เคยถามข้าสักคำว่าหลายปีมานี้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างไรบ้าง หลังจากที่ข้าถูกนำตัวไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางเพียงแต่อธิบาย ลบล้างความผิดพลาดของตัวเองในอดีต”“อย่างนั้นหรือ?”ผมของหวังเยว่จางยุ่งเล็กน้อย กลับมามีท่าทีไร้กังวลอีกครั้ง “ข้าจำได้ ครั้งแรกที่ลงเขานั้น อยู่ด้านนอกหนึ่งเดือน หลังจากกลับไป ทั้งอาจารย์และศิษย์อาต่างล้อมข้าไว้แล้วถามว่า กินอะไรบ้าง พบเจอใครบ้าง พักอยู่โรงเตี๊ยมไหน ได้ชกต่อยกับใครหรือไม่ ถูกคนหลอกเอาเงินไปหรือไม่ พบเจอเรื่องราวใหญ่ๆ อะไรบ้าง”“อาจารย์ข้าเองก็ด้วย” เสิ่นว่านจือพยักหน้า “เช่นนี้สิถึงจะปกติ”“ใช่แล้ว” หวังเยว่จางหัวเราะ “ดังนั้น ข้าเป็นคนที่ถูกความรักโอบล้อมมาแต่เด็ก ข้ามีบ้าน”เสิ่นว่านจือเองก็ไ
พวกซ่งซีซีรอจนหวังเยว่จางกับเสิ่นว่านจือกลับมา หลังจากได้รู้ว่าพวกเขากลับจวนป๋อผิงซี ทั้งยังจะพูดทุกอย่างอย่างเปิดเผย ซ่งซีซีเป็นกังวลเล็กน้อยสถานการณ์ตอนนี้ของจวนป๋อผิงซีนั้นไม่ค่อยสดใสนัก“วางใจได้ ไม่ได้กลับไปคืนดีกัน” หวังเยว่จางตบบ่าของซ่งซีซี แล้วยิ้มให้นาง “ตอนแรกก็รู้สึกซึ้งดี แต่ตอนหลังรู้สึกว่าจอมปลอมยิ่งนัก”ตลอดทางที่กลับมา เขานึกถึงฉากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเล่านั้น ในสมองก็กระจ่างแจ้งมากขึ้นเมื่อเทียบกับความจริงใจชัดเจนของหวังเชียงแล้ว คำพูดทุกคำของฮูหยินผู้เฒ่านั้นราวกับว่านางพูดเพื่อตนเองเช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดนางจึงไม่ได้ถามว่าเขาเป็นอยู่ดีหรือไม่ เพราะสิ่งที่นางเป็นกังวลคือเขาและฮูหยินจีจะเชื่อคำพูดของนางหรือไม่ แต่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงตัวเขาเองซ่งซีซีไม่เข้าใจ มองไปทางเสิ่นว่านจือ เสิ่นว่านจือส่ายหัวเพื่อเป็นการของว่าไม่รู้แน่ชัด“ไปนอนกันเถอะ ง่วงแล้ว” หวังเย่วจางเอามือไพล่หลังแล้วกลับออกไป เมื่อทุกคนเห็นว่าเขามีท่าทางผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับว่าถูกเรื่องพวกนี้ผูกมัด ก็รู้สึกโล่งใจแทนเขาเหมือนกันเสิ่นว่านจืออยู่ต่อแล้วพูดกับพวกเขาว่าหวังเชียงและฮูหยินผู้เ
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือ หวังเบียวรู้ว่าเขามาถึงเขตหนานเจียงแล้ว และแต่งตั้งให้เขาเป็นทหารประจำจวนของจวนผู้บังคับบัญชาด้วยตัวเองทหารประจำจวนของจวนผู้บังคับบัญชามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการเดินทางทั้งหมดของหวังเบียวและปกป้องความปลอดภัยของเขา เนื่องจากนักฆ่าของศัตรูจะลอบเข้าไปสังหารแม่ทัพ แน่นอนว่าตอนที่หวังเบียวอยู่นั้น สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมื่อก่อนช่วงที่ซ่งฮวยอันหรือเซี่ยหลูโม่อยู่ มีนักฆ่าเช่นนี้มากมายจากจดหมายที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาจากเมืองหลวง ทำให้หวังเบียวรู้เรื่องการหย่าของจ้านเป่ยว่างกับหวังชิงหลูแล้วยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับน้องสาวคนนี้ แค่พิจารณาจากสถานะปัจจุบันของเขา ถ้าจ้านเป่ยว่างกล้าที่จะปฏิบัติต่อน้องสาวของเขาแบบนี้ ก็หมายความว่าก็กำลังท้าทายเขาและดูหมิ่นอำนาจของเขาดังนั้น จ้านเป่ยว่างจึงถูกเรียกตัว ตอนแรกให้เขาไปทำงานต่างๆ เช่น ตักน้ำ สับฟืน กวาดพื้นและรดน้ำดอกไม้ ถึงแม้จะเป็นงานในครัวที่ทำหน้าที่ยกอาหารขึ้นโต๊ะก็ยังเรียกเขาจ้านเป่ยว่างก้มหน้าทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาได้ถูกทำให้ต่ำต้อยลงจนถึงขั้นสุดแล้ว ไม่มีศักดิ์ศรีใดๆ ให้เหยียบย่ำ
อาจเป็นเพราะหวังเบียวให้จ้านเป่ยว่างเห็นความน่าเกรงขามที่มีคนห้อมล้อมคอยรับใช้ของเขามามากพอแล้ว ถึงได้เรียกเขาเข้ามาอยู่ที่เขตหนานเจียงไม่ถึงสองปี หวังเบียวก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนหมู เมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่บุหนังเสือ ก็เผยให้เห็นคางสองชั้นออกมาเขาสูงส่งเหนือกว่า มองลงมาที่จ้านเป่ยว่างด้วยสายตาเหยียดหยาม“เรื่องเจ้ากับน้องสาม ข้าได้ยินมาแล้วนะ” หวังเบียวพูดช้าๆ ด้วยความสง่างามของผู้บังคับบัญชา “ก็ดี คนธรรมดาๆ อย่างเจ้าไม่คู่ควรกับน้องสามของข้าแต่แรกแล้ว”จ้านเป่ยว่างมองปลายจมูก ควบคุมอารมณ์และความคิด ตอบรับเพียงคำเดียวแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อหวังเบียวแค่นเสียงเหอะ แล้วสั่งสอนอีกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ เป็นรองผู้บัญชาการขององครักษ์ซวนเท่แต่ถูกไล่ออก ทั้งจวนแม่ทัพไม่มีใครมีความสามารถสักคน ปู่เจ้าที่อยู่ปรโลกหากได้เห็นเศษสวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าเหล่านี้ คงตายตาไม่หลับ”จ้านเป่ยว่างไม่ได้พูดอะไร แต่บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน“อย่าเถียง ดูสิ่งที่คนจวนแม่ทัพของพวกเจ้าทำแต่ละอย่างสิ? แล้วมองดูตัวเองสิ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำ
วันรุ่งขึ้นจ้านเป่ยว่างถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าการฝึกซ้อม ไม่ได้เกี่ยวกับการวางแผนการรบเลย แต่เป็นการทำการเกษตรเดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาที่ดีในการปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว เนื่องจากเขตหนานเจียงเป็นเขตหลังสงคราม จึงค่อนข้างขาดแคลนสิ่งจำเป็น เผชิญกับสงครามมาหลายปี ผู้คนลดน้อยลงมาก ทหารจึงต้องช่วยทำการเกษตรนอกจากข้าวสาลีฤดูหนาวแล้ว ยังมีการปลูกกะหล่ำปลี หัวไชเท้า แตง และผลไม้อีกด้วยฝางเทียนสวีบอกว่าจ้านเป่ยว่างมาได้จังหวะพอดี มาทันกับงานเกษตรที่กำลังยุ่งกันมากจ้านเป่ยว่างยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ทั้งๆ ที่ยุ่งมากก็ยังหาเวลาว่างเขียนจดหมายถึงปี้หมิงในเมืองหลวง ปี้หมิงได้รับจดหมายของจ้านเป่ยว่าง สับสนอยู่พักหนึ่ง เกาหัวแกรกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดีขนาดนั้นเลยหรือ?ในจดหมายมีตัวอักษรเขียนเต็มหน้ากระดาษสามแผ่นเต็มๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย คล้ายกับสิ่งที่เขาพูดตอนเมาก่อนหน้านี้มากพูดถึงสถานการณ์ของเขาในจวนผู้บังคับบัญชา กล่าวว่าจวนผู้บังคับบัญชานั้นหรูหรางดงาม ดูดีกว่าจวนอ๋องด้วยซ้ำยังบอกอีกว่าในจวนผู้บัญชาการมีคนรับใช้มากมาย คอยรับใช้นายหญิงที่กำลั
เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า “อ้อจริงสิ เรื่องที่ฮูหยินจีขอร้องเจ้า ศิษย์พี่ห้าตกลงแล้วหรือยัง”ซ่งซีซีกล่าวว่า “พูดกับเขาไปแล้ว เขาบอกจะลองคิดดู แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“ข้าคิดว่าเจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกเขาได้ ให้เขาได้ชั่งน้ำหนักเอง อันที่จริงเดิมทีเขาซื้อทรัพย์สินที่นางจีปล่อยออกมาเหมือนกัน ซึ่งแสดงว่าเขายังตั้งใจจะช่วยจวนป๋อผิงซีอยู่เหมือนกัน”ซ่งซีซีพยักหน้า ส่ายหัวแล้วแก้ไขให้ถูกต้อง “ไม่ใช่ต้องการช่วยจวนป๋อผิงซี แค่อยากช่วยคนที่ห่วงใย และพวกเด็กกระมัง”ทุกวันนี้ ได้รู้เรื่องหลายอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ซ่งซีซียิ่งรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็มีส่วนร่วมในแผนของหวังจั่นด้วย แต่ก็อาจจะเคยสำนึกผิดบ้าง จึงไปพบศิษย์พี่ห้า และพบว่าศิษย์พี่ห้าถูกเผาตาย นางจึงพาลโกรธหวังจั่น แน่ใจว่าตัวนางเองไม่เต็มใจที่จะแบกรับความผิดนี้นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่นางได้พบกับศิษย์พี่ห้า นางจึงแต่งเรื่องเพื่อขอการให้อภัยจากศิษย์พี่ห้า แต่ไม่สนใจว่าเขาจะมีชีวิตอย่างไร แม้ว่าบอกว่าจะชดเชยให้ศิษย์พี่ห้า แต่ก็ไม่เคยส่งใครไปถามไถ่เลยด้วยซ้ำนางแค่อยากจะรู้สึกสบายใจ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อลูกที่ไม่ได้เติบโตเคียงข
ฝั่งอาจารย์หยูหลังจากการสอบสวนอย่างกว้างขวาง ก็ได้ระบุตัวบุคคลที่น่าสงสัยได้หลายคนแล้ว และได้ส่งคนไปติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตาม ความสงสัยนั้นเป็นค่อนข้างตื้นเขิน เพราะขาดหลักฐานที่สำคัญหลังจากที่อู๋เซี่ยงกลับไปที่เยี่ยนโจว นอกจากอ๋องฮวยแล้ว เขาก็ไม่ได้พบใครเลย และไม่ได้ไปเยี่ยมตระกูลเสิ่นด้วยคนผู้นี้ซุ่มซ่อนแนบเนียนมากจริงๆจากข้อมูลปัจจุบัน ทราบว่าทหารส่วนตัวเคยอยู่ที่อำเภอหยง ต่อมาได้ย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มีสิ่งของหลายอย่างไม่ได้นำไปด้วยทว่า สรุปแล้วย้ายไปอยู่ที่ไหนนั้น ยังไม่สามารถทราบข้อมูลรายละเอียดเดิมทีฝั่งเยี่ยนโจวนั้นเป็นเหมือนทรายที่กระจัดกระจาย แต่หลังจากที่อู๋เซียงกลับไป ขั้วอำนาจก็รวมตัวกันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมักจะเข้าออกจวนอ๋องเยี่ยน จัดงานเลี้ยงกินดื่ม ดูมีความสุขยิ่งนักรายชื่อเหล่านี้ถูกส่งผ่านทางมือของเซี่ยหลูโม่ไปยังจักรพรรดิซูชิงแต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ไร้ผู้นำของที่นั่น ไม่สามารถพูดได้ว่าอ๋องฮวยและอู๋เซี่ยงเป็นผู้นำหลังจากหารือกับเซี่ยหลูโม่แล้ว จักรพรรดิซูชิงก็ตัดสินใจว่าเขาควรรีบปล่อยให้อ๋องเยี่ยนกลับ
เกากงกงคุกเข่าทั้งน้ำตา เรียกว่าองค์หญิง แล้วทรุดกายลงกับพื้นร้องไห้อย่างขมขื่นเซี่ยอวี้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ราวกับไม่รู้สึกรู้สมอะไรแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยิน และมองไม่เห็นเกากงกงร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบจานขนมออกมาจากกล่องอาหาร หลิวอินอยากจะเข้ามาตรวจสอบ แต่เฟินหวานพูดว่า “ท่านอ๋องบอกว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบขนม สามารถกินได้เลย”เกากงกงคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “องค์หญิง ท่านกินสักคำเถิด แค่คำเดียวเท่านั้น นี่เป็นขนมที่สนมหรงไทเฟยให้บ่าวนำมาให้ท่านโดยเฉพาะ เป็นขนมที่ท่านชอบมาก ยังมีขนมเปี๊ยะอีกด้วย ท่านค่อยๆ กินก็ได้”เซี่ยอวี้นได้ยินชื่อสนมหรงไทเฟย จึงเงยหน้าขึ้นมองเขาใบหน้าดำและซูบผอม สกปรกมาก ขอบตาเป็นสีเทาดำทั้งหมด แต่สามารถมองออกว่าขอบตาของนางเป็นสีแดง“วางลง” นางพูด เพราะนางไม่มีฟัน จึงพูดไม่ชัด แต่ทุกคนก็ได้ยิน“ยังมีเสื้อผ้าชุดหนึ่งด้วย บ่าวจะเปลี่ยนให้ท่าน” เกากงกงเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้า ไม่สนใจว่าร่างกายของเซี่ยอวี้นจะสกปรกอย่างไร เขาดึงนางขึ้นมาด้วยมือเดียว ให้นางพักบนตัวของเขา และค่อยๆ พาเดินไปหลิวอินรู้สึกกัง
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้