เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า “อ้อจริงสิ เรื่องที่ฮูหยินจีขอร้องเจ้า ศิษย์พี่ห้าตกลงแล้วหรือยัง”ซ่งซีซีกล่าวว่า “พูดกับเขาไปแล้ว เขาบอกจะลองคิดดู แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“ข้าคิดว่าเจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกเขาได้ ให้เขาได้ชั่งน้ำหนักเอง อันที่จริงเดิมทีเขาซื้อทรัพย์สินที่นางจีปล่อยออกมาเหมือนกัน ซึ่งแสดงว่าเขายังตั้งใจจะช่วยจวนป๋อผิงซีอยู่เหมือนกัน”ซ่งซีซีพยักหน้า ส่ายหัวแล้วแก้ไขให้ถูกต้อง “ไม่ใช่ต้องการช่วยจวนป๋อผิงซี แค่อยากช่วยคนที่ห่วงใย และพวกเด็กกระมัง”ทุกวันนี้ ได้รู้เรื่องหลายอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ซ่งซีซียิ่งรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็มีส่วนร่วมในแผนของหวังจั่นด้วย แต่ก็อาจจะเคยสำนึกผิดบ้าง จึงไปพบศิษย์พี่ห้า และพบว่าศิษย์พี่ห้าถูกเผาตาย นางจึงพาลโกรธหวังจั่น แน่ใจว่าตัวนางเองไม่เต็มใจที่จะแบกรับความผิดนี้นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่นางได้พบกับศิษย์พี่ห้า นางจึงแต่งเรื่องเพื่อขอการให้อภัยจากศิษย์พี่ห้า แต่ไม่สนใจว่าเขาจะมีชีวิตอย่างไร แม้ว่าบอกว่าจะชดเชยให้ศิษย์พี่ห้า แต่ก็ไม่เคยส่งใครไปถามไถ่เลยด้วยซ้ำนางแค่อยากจะรู้สึกสบายใจ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อลูกที่ไม่ได้เติบโตเคียงข
ฝั่งอาจารย์หยูหลังจากการสอบสวนอย่างกว้างขวาง ก็ได้ระบุตัวบุคคลที่น่าสงสัยได้หลายคนแล้ว และได้ส่งคนไปติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตาม ความสงสัยนั้นเป็นค่อนข้างตื้นเขิน เพราะขาดหลักฐานที่สำคัญหลังจากที่อู๋เซี่ยงกลับไปที่เยี่ยนโจว นอกจากอ๋องฮวยแล้ว เขาก็ไม่ได้พบใครเลย และไม่ได้ไปเยี่ยมตระกูลเสิ่นด้วยคนผู้นี้ซุ่มซ่อนแนบเนียนมากจริงๆจากข้อมูลปัจจุบัน ทราบว่าทหารส่วนตัวเคยอยู่ที่อำเภอหยง ต่อมาได้ย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มีสิ่งของหลายอย่างไม่ได้นำไปด้วยทว่า สรุปแล้วย้ายไปอยู่ที่ไหนนั้น ยังไม่สามารถทราบข้อมูลรายละเอียดเดิมทีฝั่งเยี่ยนโจวนั้นเป็นเหมือนทรายที่กระจัดกระจาย แต่หลังจากที่อู๋เซียงกลับไป ขั้วอำนาจก็รวมตัวกันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมักจะเข้าออกจวนอ๋องเยี่ยน จัดงานเลี้ยงกินดื่ม ดูมีความสุขยิ่งนักรายชื่อเหล่านี้ถูกส่งผ่านทางมือของเซี่ยหลูโม่ไปยังจักรพรรดิซูชิงแต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ไร้ผู้นำของที่นั่น ไม่สามารถพูดได้ว่าอ๋องฮวยและอู๋เซี่ยงเป็นผู้นำหลังจากหารือกับเซี่ยหลูโม่แล้ว จักรพรรดิซูชิงก็ตัดสินใจว่าเขาควรรีบปล่อยให้อ๋องเยี่ยนกลับ
เกากงกงคุกเข่าทั้งน้ำตา เรียกว่าองค์หญิง แล้วทรุดกายลงกับพื้นร้องไห้อย่างขมขื่นเซี่ยอวี้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ราวกับไม่รู้สึกรู้สมอะไรแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยิน และมองไม่เห็นเกากงกงร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบจานขนมออกมาจากกล่องอาหาร หลิวอินอยากจะเข้ามาตรวจสอบ แต่เฟินหวานพูดว่า “ท่านอ๋องบอกว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบขนม สามารถกินได้เลย”เกากงกงคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “องค์หญิง ท่านกินสักคำเถิด แค่คำเดียวเท่านั้น นี่เป็นขนมที่สนมหรงไทเฟยให้บ่าวนำมาให้ท่านโดยเฉพาะ เป็นขนมที่ท่านชอบมาก ยังมีขนมเปี๊ยะอีกด้วย ท่านค่อยๆ กินก็ได้”เซี่ยอวี้นได้ยินชื่อสนมหรงไทเฟย จึงเงยหน้าขึ้นมองเขาใบหน้าดำและซูบผอม สกปรกมาก ขอบตาเป็นสีเทาดำทั้งหมด แต่สามารถมองออกว่าขอบตาของนางเป็นสีแดง“วางลง” นางพูด เพราะนางไม่มีฟัน จึงพูดไม่ชัด แต่ทุกคนก็ได้ยิน“ยังมีเสื้อผ้าชุดหนึ่งด้วย บ่าวจะเปลี่ยนให้ท่าน” เกากงกงเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้า ไม่สนใจว่าร่างกายของเซี่ยอวี้นจะสกปรกอย่างไร เขาดึงนางขึ้นมาด้วยมือเดียว ให้นางพักบนตัวของเขา และค่อยๆ พาเดินไปหลิวอินรู้สึกกัง
ในวันเหมายัน ก่อนงานเลี้ยงในวัง บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งภายในและภายนอกก็เข้ามาถวายพระพรในวังด้วยเช่นกันไทเฮามักจะชอบอยู่เงียบๆ แต่ในวันนี้จะรับการคารวะจากทุกคน พูดคุยกับสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลต่างๆในตอนแรกฮองเฮามาอยู่กับนางสักพักหนึ่ง แล้วก็กลับไปรอครอบครัวมาที่ตำหนักฉางชุนโดยไม่รู้เลยว่ารอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นแม่ของตัวเองฉีฮูหยินใหญ่เข้ามาในวัง กลับมีแต่พวกป้าๆ พี่สาวน้องสาวเข้ามาแทนพอถามก็พบว่าที่แม่ไม่มาเพราะไม่สบาย ต้องลมไม่ได้ นอกจากนี้เมื่อเข้าวังก็ต้องไปถวายพระพรไทเฮา ดีไม่ดีจะเอาไข้ไปติดไทเฮา จึงไม่ได้มาซึ่งฉีฮองเฮาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว ครั้งล่าสุดท่านแม่ยังเล่าเรื่องโรงงานปักเย็บกับนางอยู่เลย พอนางปฏิเสธ ก็เห็นความผิดหวังและตกใจบนใบหน้าของแม่ นางรู้ว่าแม่น่าจะกำลังไม่พอใจอยู่นางผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออกมา แค่แอบสั่งให้หลานเจี่ยนไปส่งคำพูดและความกตัญญูให้กับแม่ของนางหลังจากพิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนผ่านไป ฮองเฮาก็ทิ้งลูกพี่ลูกฉีซี่หลี่ไปพูดคุยในตำหนักฉีซี่หลี่คนนี้ เป็นคนที่ก่อเรื่องวุ่นวายในสถาบันการศึกษาสตรีกับจูช่างอวีหลานสาวของแม่ทัพจูและเซี่ยงฮวยอวี้บุตรีคน
ฉีฮองเฮาให้นางพาองค์ชายใหญ่และองค์หญิงออกไปเล่น จากนั้นจึงเรียกนางจิ่งแม่ของฉีซี่หลี่เข้ามาพูดคุยเมื่อนางจิงได้ยินชื่อเจ้าสิบเอ็ดฝาง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฮองเฮา เขาอายุมากกว่าหลี่เอ๋อร์มาก เกรงว่าจะไม่เหมาะสม แต่ว่าเซี่ยงซานหลางจากตระกูลโหวกวางหลิง เยาว์วัยแต่มากความสามารถ อายุน้อยแต่ก็สอบติดขุนนางแล้ว วันหน้าแม้ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ แต่ด้วยความสามารถของเขาและการสนับสนุนจากตระกูลฉี ก็โอกาสที่จะประสบความสำเร็จแน่นอน”เซี่ยงซานหลางรูปงามสง่า ปีนี้อายุได้สิบเก้าปี เมื่อปีกลายก็ชนะการสอบคัดเลือกจวี่จื่อ รอแค่สอบได้เป็นจิ้นซื่อ ก็จะมีอนาคตไร้ขีดจำกัดเมื่อนางจิงพูดแบบนี้ ป้าหลานเจี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะ “ฮูหยิน ท่านคิดว่าตระกูลฉีมีลูกชายที่โดดเด่นไม่มากกระนั้นหรือ”นางจิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ “แน่นอนว่ามีหลายคน ลูกชายของตระกูลฉีเรา ไม่ใช่คนไร้สาระไร้แก่นสาร มีบ้านสามที่ไม่เอาไหนที่สุด แต่ฉีลิ่วก็ได้แต่งกับองค์หญิง”ฮองเฮายิ้มและกล่าวว่า “แต่อาสามไม่ใช่คนไม่เอาไหน อาสามล้มทำให้สมองเลอะเลือน ก่อนหน้าที่เขาจะล้มจนเลอะเลือน ก็เป็นคนเฉลียวฉลาดเช่นกัน ตระกูลฉีของเราไม
ทันทีที่ฮุ่ยไทเฟยเข้ามาในวัง นางก็แทบรอไม่ไหวที่จะไปที่หาเต๋อกุ้ยไทเฟยและฉีกุ้ยไทเฟยเพื่อไปเดินเล่นในสวน ถึงอย่างไรชุดและการแต่งหน้าสีทับทิมก็ขับสีผิวมากจริงๆ ต้องให้ทุกคนได้เห็น ทางที่ดีคือดูให้ชัดเจนเป็นพิเศษเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซีถวายพระพรไทเฮาอยู่ในตำหนัก และอยู่สนทนากับไทเฮา สตรีชั้นสูงทั้งภายในและภายนอกก็รวมตัวกันถวายพระพรไทเฮาบังเอิญว่าลู่ซูเหรินมารดาของเจ้าสิบเอ็ดฝางก็เข้ามาถวายพระพรฮองเฮาในวังเช่นกัน ไทเฮาก็ถามถามถึงการแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางต่อหน้าสตรีชั้นสูงจำนวนมากหัวใจของลู่ซูเหรินเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าไทเฮา แค่แสร้งทำเป็นมีความสุขและพูดว่า “ทูลไทเฮา เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเพคะ”ไทเฮาก็ถอนหายใจ “ลำบากเขาแล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกลากเข้าไปพัวพัน ตระกูลฝางของเจ้ามีเมตตา กรุณามากที่สุดแล้ว แต่กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายอลหม่าน”จากนั้นลู่ซูเหรินก็รู้ว่าทำไมจู่ๆ ไทเฮาจึงถามคำถามนี้ ที่แท้นางกำลังพยายามชี้แจงแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง และชี้แจงแทนตระกูลฝางฟังนางรู้สึกประทับใจจนน้ำตาคลอเบ้า พูดเสียงสั่นเครือว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่มีบุญวาสนาพ
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน หรงไทเฟยผู้ชราก็ส่งคนไปเชิญซ่งซีซีให้หาเป็นการส่วนตัวซ่งซีซีถามไทเฮา เมื่อได้รับอนุญาตจากไทเฮา นางจึงออกไปหรงไทเฟยผู้ชราเป็นพระสนมของจักรพรรดิเหวิน เดิมทีควรติดตามลูกชายออกไปเพลิดเพลินกับความสุข แต่ตอนนี้กลับพักอยู่ตามลำพังในตำหนักอันห่างไกลในพระราชวังเมื่อซ่งซีซีติดตามเกากงกงเข้าไปในตำหนักหนิงโซ่ว นางรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่เย็นชาอ้างว้างอย่างมาก ไม่มีบรรยากาศงานเทศกาลเลย ดูเหมือนไม่เพียงแต่ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงตำหนักไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่รวมกับถูกแยกกันคนละโลกหลังจากเข้าฤดูหนาว อาการของหรงไทเฟยผู้ชราแย่ลง เซี่ยหรูหลิงลูกชายของอ๋องเยี่ยนรั้งอยู่ในเมืองหลวง วันนี้เข้าวังมาอยู่กับเสด็จย่าของเขาด้วยเมื่อเห็นซ่งซีซีมาถึง เขาก็ยืนขึ้นและทักทายว่า “พระชายามาแล้ว”ซ่งซีซีเหลือบมองเขานิ่งๆ แล้วพูดว่า “คุณชายใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย”“ใช่ มาอยู่กับเสด็จย่า” เมื่ออยู่ต่อหน้าซ่งซีซี เซี่ยหรูหลิงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้น ดังนั้นจึงไม่กล้ามองนางเลยซ่งซีซีไม่สนใจเขา ก้าวไปถวายพระพรหรงไทเฟยผู้ชราหรงไทเฟยผู้ชรากำลังเอนกายอยู่บนเตียง โดยมีหมอนผ้านุ่มๆ สอ
“หรูหลิง คุกเข่าลง!” จู่ๆ หรงไทเฟยผู้ชราก็ขึ้นเสียง พูดกับเซี่ยหรูหลิงว่า “เจ้าอกตัญญู ขอให้นางอภัยให้เจ้า ในเมื่อนางเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า และเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า หากนางบอกว่าให้อภัยเจ้า เจ้าถึงจะมีคำอธิบายให้วิญญาณแม่ของเจ้าในสวรรค์ได้”เซี่ยหรูหลิงกำลังจะคุกเข่าลง ซ่งซีซีกลับจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าลองคุกเข่าให้ข้าดูสิ? “คำพูดนั้นเยือกเย็นมาก จนเซี่ยหรูหลิงที่กำลังงอเข่าก็ยืดเข่าขึ้นด้วยความตกใจซ่งซีซียืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าไทเฟยไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”หลังจากพูดจบนางก็เดินออกไป เสียงของไทเฟยชราดังจากด้านหลังอย่างเร่งรีบ “พระชายา ขอร้องล่ะ ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ช่วยปกป้องลูกหลานชายหญิงของข้าด้วย”ซ่งซีซียืนนิ่ง จู่ๆ ก็หันกลับมามองนางแล้วพูดอย่างเย็นชา “ไทเฟยช่างมีจิตใจเมตตากรุณาจริงๆ น่าเสียดายที่ป้าของข้าไม่เคยได้รับความเมตตาจากไทเฟย ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องการความสงสารและการปกป้องจากใครอีก”ไทเฮาตะโกนด้วยเสียงร่ำไห้ “พระชายา เห็นแก่ที่ครั้งหนึ่งได้เป็นญาติกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า จะไม่สนใจพวกเขาไม่ได้”“พวกเขาดูแลตัวเองได้ ยังต้องใ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม
อาจารย์ฉีมอบหมายให้ซ่งซีซีตามหาบุคคลหนึ่งชื่อชิวเหมิงบรรพบุรุษของตระกูลชิวเคยร่วมรบสร้างแคว้นกับจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางตลอดกาลในฐานติ้งปังโหว แต่ต่อมาชิวเหมิงกลับล่วงเกินจักรพรรดิ์องค์ก่อน และถูกลดตำแหน่งลงเป็นผิงอันป๋อเขาจึงย้ายออกจากเมืองหลวงไปปลีกวิเวกที่แถบเจียงหนาน และดูเหมือนว่าคนในเมืองหลวงที่จำเขาได้คงเหลือน้อยเต็มที"เขาไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต และห้างชิวเจียก็เป็นของเขา"ซ่งซีซีประหลาดใจ "เขาคือเจ้าของเบื้องหลังของห้างชิวเจียอย่างนั้นหรือ?"ห้างชิวเจียในแถบเจียงหนานถือเป็นกิจการใหญ่โต แม้ทรัพย์สินจะไม่เทียบเท่าตระกูลเสิ่น แต่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางในแคว้นซางมีคนแซ่ชิวอยู่ไม่น้อย ประกอบกับชิวเหมิงที่ซ่อนตัวและไม่พบปะใครเลย ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของห้างชิวเจียแต่ห้างชิวเจียมีอายุเกินร้อยปี เป็นป้ายเก่าแก่ ก่อนที่ชิวเหมิงจะออกจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยมีข่าวว่าครอบครัวเขาทำธุรกิจหงเซียวรีบอธิบาย "เดิมทีห้างชิวเจียไม่ได้เป็นของชิวเหมิง แต่ภายหลังเมื่อเขาไปถึงเจียงหนาน ห้างชิวเจียประส
ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจินชางหมิงถูกส่งมาถึงมืออาจารย์หยูจินชางหมิง เป็นชาวเยี่ยนโจว อายุ 47 ปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉตอนอายุ 13 ปี และจวี่เหรินตอนอายุ 18 ปี ในตอนนั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเยี่ยนโจวแต่หลังสอบจวี่เหรินได้ เขาถูกชะลอไม่ให้เดินทางไปสอบในเมืองหลวงเพราะมารดาป่วย เขาจึงหางานทำในสำนักอำเภอที่เยี่ยนโจว และได้ตำแหน่งเลขานุการเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งเยี่ยนโจวและกรมโยธาธิการต่างให้คะแนนว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์และลงมือทำจริงในการประเมินผลสามปีครั้งของกรมการปกครอง เขาได้คะแนนดีเยี่ยมว่ากันว่าการเป็นหัวหน้ากรมแม่น้ำเพียงอย่างเดียวเป็นการฝังพรสวรรค์ของเขา บ้างก็ว่าเขาไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดี มิฉะนั้นเขาคงได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นรองเสนาบดีกรมโยธาธิการแล้วแคว้นต้าซางมีข้าราชการแบบเขาอยู่มากมาย ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ทำงานทุกอย่างราบรื่น ไม่มีความทะเยอทะยานมาก และทำงานเงียบๆ อย่างมีประสิทธิภาพเขาไม่ได้โดดเด่น ไม่มีเรื่องให้พูดถึง มีภรรยาหลวงหนึ่งคน ภรรยาน้อยหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน และคนรับใช้สามคน บ้านที่เขาอยู่เดิมเป็นบ้านเช่า เพิ