ซ่งซีซีไปที่ร้านจินจิงเพื่อตามหาเถ้าแก่น้อยจินด้วยตนเองเถ้าแก่น้อยจินคนนี้ทั้งฉลาดและบริสุทธิ์ แม้ว่าเขาจะไม่เอาจริงเอาจังกับเงินทุกเบี้ย แต่ก็พยายามหาเงินอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เป็นคนรักชาติด้วย เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไม่เป็น แต่หากเกิดสงครามขึ้นมา เขาก็ยอมบริจาคเงินก้อนใหญ่เขาชื่นชมซ่งซีซีมากและอยากเป็นเพื่อนกับซ่งซีซี แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นซ่งซีซี ในฐานะพ่อค้า มันยิ่งไม่เหมาะที่ไปเยี่ยมถึงที่ บัดนี้ซ่งซีซีมาหาเอง แน่นอนว่าเขาจะต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำร้อน เขาพอจะได้ยินมาบ้าง แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับของขุนนางมากมาย เขาไม่อาจไปตรวจสอบให้ แค่รู้ว่ามีแม่นางโดนเอาเปรียบตอนนี้ซ่งซีซีบอกว่านางต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกว่ายินยอมร่วมมือพลางตบหน้าอก "วางใจได้เลย ใต้เท้าซ่งกลับไปรอข่าวดีของข้าได้เลย"ภายในครึ่งวัน เถ้าแก่น้อยจินก็ไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยบอกว่าลูกค้าผู้มีเกียรติคนหนึ่งได้ทำจี้หยกของครอบครัวหายในบ่อน้ำร้อนอวี้ซานเมื่อหลายวันก่อน และต้องการให้ค่ายลาดตระเวนช่วยค้นหามันให้คน
ในที่สุดคดีนี้ก็สืบไปถึงตระกูลฉีเจ้ากรมฉีไม่รู้เรื่องนี้ในตอนแรก หลังจากได้ยินซ่งซีซีเล่าที่ไปที่มาของเรื่องทั้งหมดให้เขาตามลำพัง เขาก็โกรธมากจนตัวสั่นไปหมดเขาทำผิดพลาดในด้านนี้มาก่อน การมีลูกสาวนอกสมรสก็ถือว่าจุดบกพร่องของเขาแล้ว หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป งั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำ แต่คนอื่นก็คงคิดว่าเขาทำไปแล้วด้วยความโกรธ เจ้ากรมฉีจึงจับองครักษ์คนนั้นไว้องครักษ์คนนั้นชื่อเฉินสาม เขาเป็นบุตรชายของคนใช้ในตระกูลฉี หลังจากเรียนรู้ทักษะการต่อสู้แล้วก็ให้เป็นองครักษ์ในจวน เนื่องจากแม่ของเขาคือหัวหน้าแม่นมในนจวน และรู้เรื่องตระกูลว่านมาสอบถามเรื่องที่เจ้ากรมฉีไปบ่อน้ำร้อนกับผู้ดูแลประตู จากนั้นก็ตามคู่สามีภรรยาเจ้ากรมฉีไปวัด เมื่อเห็นเจ้ากรมฉีไม่ได้ไปบ่อน้ำร้อน เขาจึงคิดจากฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบอีกฝ่ายใช่เขา เขาทำให้ว่านฉินเสียตัวมีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจ้ากรมฉีมีความคิดอยากจะฆ่าเขาจริงๆโดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือซ่งซีซี ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ค้นพบเรื่องบ้านเล็กของเขา แล้วนำลูกสาวไปให้ฮูหยิน เขาเป็นถึงพ่อตาแห่งชาติ เป็นถึงเจ้ากรมขุนนางระดับชั้นสอง อนาคตของขุ
ซ่งซีซีโน้มตัวไปข้างหน้าและถามด้วยน้ำเสียงเอาความว่า "ไม่รู้ว่าเจ้ากรมฉีทนต่อการร้องเรียนได้หรือไม่"สีหน้าของเจ้ากรมฉีเปลี่ยนไปทันที ตอนนี้เขาแค่อยากจะให้ตนเองอยู่เงียบๆ ไม่อยากดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย เพราะลูกสาวตัวน้อยของเขาถูกนำกลับมาและเลี้ยงดูอยู่ข้างกายอนุเฉินยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากญาติมาเกิดเรื่องเข้า งั้นทำให้ขายหน้า แล้วจะไม่เป็นผลดีกับองค์ชายใหญ่จะว่าไป เฉินสามก็แค่คนใช้ในจวน ให้สำคัญเขาเกินไป เขาก็แค่องครักษ์เองหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้ากรมฉีก็ตัดสินใจในทันทีความดุร้ายในดวงตาของเขาทำให้เฉินสามตัวสั่นไปหมด เขาก้มศีรษะและร้องขอความเมตตาตลอด"เจ้าสารเลว กล้าดียังไงมาร้องขอความเมตตา เจ้าทำร้ายผู้หญิงที่บริสุทธิ์ ต่อให้เจ้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย"เฉินสามร้องไห้ว่า "คุณท่าน นางจะถือว่าบริสุทธิ์ได้ยังไง? ตระกูลว่านส่งนางมา เดิมทีพวกเขาอยากจะถวายให้คุณท่าน แต่คุณท่านไม่ถูกใจนาง ข้าน้อยเลยทำผิดพลาดไป แต่นางไม่ได้บริสุทธิ์นะ นางได้กินยากระตุ้นอารมณ์ ข้าน้อยก็แค่ช่วยนาง...ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ร้ายแรงให้ข้าน้อยถึงขึ้นตายนะ"เจ้ากรมฉีเกลียดว่า
ฉีฮูหยินใหญ่ยืนอยู่นอกลานบ้าน เมื่อเห็นซ่งซีซีออกมา นางก็คารวะอีกฝ่าย เมื่อสักครู่นี้นางได้ยินทุกอย่างจากภายนอก"แล้วแม่นางคนนั้นบัดนี้เป็นยังไงบ้าง" ฉีฮูหยินใหญ่ถามพลางนำทางไปส่ง"บัดนี้อาศัยอยู่ในโรงงาน นางยังไม่ได้สิ้นหวังจนฆ่าตัวตาย" ซ่งซีซีถอนหายใจเบาๆ"เป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ!" ฉีฮูหยินใหญ่เงียบอยู่นานแล้วเดินไปส่งที่ประตู "พระชายา หากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยแม่นางคนนั้นได้ โปรดบอกข้าได้เลย"ซ่งซีซีพยักหน้า "ได้ ขอบคุณฮูหยิน"ฉีฮูหยินใหญ่ได้คารวะ และมองนางขี่ม้าออกไปนางยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน จนกระทั่งเฉินเซิ่งพาภรรยาของเขามาและคุกเข่าลงเพื่อขอร้องโดยขอให้ฮูหยินช่วยเฉินสาม จากนั้นนางลดสายตาลงแล้วพูดว่า "ไปขอร้องคุณท่านไป เรื่องนี้ข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้"ภรรยาของเฉินเซิ่งจับชายกระโปรงของฉีฮูหยินใหญ่ แล้วร้องว่า "ฮูหยินโปรดเมตตาให้นะ ข้าน้อยมีบุตรชายเพียงคนเดียว และไม่สามารถไม่มีคนมาสืบทอดสกุลนะ"มีความโกรธซ่อนอยู่ในดวงตาของฉีฮูหยินใหญ่ "เขาก่อกรรมไว้ จะโทษใครได้อีก"หลังจากพูดอย่างนั้น ก็ยื่นมือออกเพื่อดึงชายกระโปรงกลับ จากนั้นหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้อย่างนั้
วันรุ่งขึ้น ทั้งค่ายลาดตระเวนและกองกำลังเมืองหลวงทราบเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่ามีมือสังหารแอบเข้าไปในบ้านของหัวหน้าว่านจากกรมพิธีการ ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส อาเจียนเป็นเลือด และเกือบจะไม่รอดชีวิตหมอบอกว่าอาการบาดเจ็บแบบนี้ หากรักษาได้ก็มีอาการน้ำลายไหลไม่หยุด ต่อไปต้องนอนพักบนเตียง ใช้ชีวิตที่เหลือบนเตียงกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวนจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจับกุมมือสังหารอยู่แล้ว ภายใต้การดูแลขแงฝ่าบาทจะปล่อยให้คนชั่วมาทำร้ายขุนนางได้อย่างไรหลังจากซ่งซีซีได้สอบสวนอย่างรอบคอบ ก็พบพยานโดยบอกว่ามีนักรบกลุ่มหนึ่งมาเมืองหลวงและรู้เข้าว่าว่านกุ้ยได้บังคับให้น้องสาวต้องตาย ดังนั้นพวกเขาจึงแอบเข้าไปทุบตีเขาด้วยความโกรธหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม ก็พบว่าข่าวลือภายนอกที่เกี่ยวกับว่านฉินนั้นล้วนเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง ว่านฉินยังคงบริสุทธิ์ เพียงแต่ว่านกุ้ยเชื่อข่าวลือเข้าไป คิดว่าลูกสาวสูญเสียความบริสุทธิ์เลยไล่นางออกจากบ้าน เด็กหญิงถูกพ่อไม่เชื่อใจ บวกกับโดนใส่ร้าย เลยคิดจะกระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย บัดนี้คนก็ตายไปแล้ว ทางโรงงานช่วยจัดงานศพให้ทันทีที่ผลการสอบสวนออกมา ชาวบ้านต่างด่
เสิ่นว่านจือครุ่นคิดพักหนึ่งและรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่สามารถกลับไปอยู่กับพ่อ งั้นเขียนจดหมายไปขอเงินพ่อ ใช้จ่ายเงินขิงเขาก็ถือว่าได้ทำอะไรให้พ่อแล้ว "ก็ได้ งั้นพวกเจ้านั่งก่อน ข้าไปเขียนจดหมาย"อ๋องเยี่ยนยิ้มและพูดว่า "น้องไม่ต้องรีบร้อน พรุ่งนี้เขียนเสร็จค่อยส่งมาให้ก็ได้ เรายังมีหลายวันถึงออกเดินทาง เจ้าอยู่ที่นี่อยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเจ้านะ"ดวงตาของซ่งซีซีฉายแววไม่พอใจ ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?เสิ่นว่านจือเอียงหัวของนางแล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายโดยไม่รู้ตัว "ก็ได้"ซ่งซีซีกลอกตาใส่นาง เจ้าปัญหาเสิ่นนี่คิดจะเล่นอะไรอีกเสิ่นว่านจือหลบสายตาของซ่งซีซี เนื่องจากไม่ได้สบตา งั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้คำเตือนจากซ่งซีซีเลยเซี่ยหลูโม่มองไปที่อ๋องเยี่ยนเอาแต่จับตาจ้องมองเสิ่นว่านจือ เขาก็รู้สึกน่ารำคาญขึ้นมา ดูท่าว่าไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา คิดจะใช้เสิ่นว่านจือเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์จากตระกูลเสิ่นยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขายังมีความปรารถนาที่น่าเกลียดด้วย ชั่วจริงๆเซี่ยหลูโม่ดูถูกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจเลย ดังนั้นจึงไม่ได้ให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อทานอาหาร กว่าจะได้หยุดงาน ยังต้องมองหน้าพวกเข
ความอดทนที่เสิ่นว่านจือมีต่อนางเสิ่นถึงขีดสุดแล้ว และนางก็ยกแส้ขึ้นมาเพื่อไล่อีกฝ่ายออก นางเสิ่นได้แต่วิ่งหนีกลับก่อนที่อ๋องเยี่ยนจะออกจากเมืองหลวง ซ่งซีซีก็ต้องคอยระวังเอาไว้ เพราะรู้ความคิดสกปรกของอ๋องเยี่ยน ดังนั้นนางจึงส่งหงเซียวไปจับตาดูจวนอ๋องเอาไว้ เพื่อดูว่าเสิ่นว่านจือได้เชื่อฟังคำสั่งของนางหรือไม่ และไปจวนอ๋องเยี่ยนลับหลังหรือไม่หลังจากการจับตาดูมาอย่างต่อเนื่องสองสามวัน เสิ่นว่านจือก็กลับไปที่โรงงานปักเย็บซู่เจินตามปกติ และไม่ได้ไปจวนอ๋องเยี่ยน ซ่งซีซีถึงรู้สึกโล่งใจทั้งโรงงานปักเย็บซู่เจินและสถาบันการศึกษาสตรีค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากทุกคนแต่สถาบันการศึกษาสตรีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดมีคนจำนวนมากเข้ามาตีสนิท พวกนางไม่คิดจะเรียนหนังสือจริงๆ เอาแต่นำขนม งานปัก และของขวัญเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อผู้หญิงจากครอบครัวระดับสูงหญิงสาวจากตระกูลชั้นสูงบางคนก็ทำตัวหยิ่งและรับใช้หญิงสาวที่เป็นลูกสาวของขุนนางระดับเล็ก ไม่นานนักก็ค่อยๆ ก่อตั้งกลุ่มขึ้นบางคนที่อยากเรียนจริงๆ กลับถูกบีบออกยิ่งมีบางคนมาเพื่อเรียนรู้มารยาทจากคุณนายใหญ่เจิ้งกั๋ว หรือเรียนรู้ทักษะที่ดูแลบ้าน
บางครั้งผู้หญิงเป็นคนที่ร้ายกับผู้หญิงมากที่สุด แม้ว่าหยานไท่ฟู่จะเป็นผู้นำของขุนนางฝ่ายบริสุทธิ์ แต่หยานหรูอวี้อายุยังน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของพวกนางก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยหากแค่เป็นเช่นนี้ ซ่งซีซีก็คิดว่ามันจัดการได้ง่าย แต่กลัวว่ามีคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนนี้ จงใจจะเล่นงานสถาบันการศึกษาสตรีเพียงแต่ว่าปัจจุบันคนเหล่านี้มีผู้นำโดยคุณหนูตระกูลฉี และยังไม่พบได้รับคำสั่งจากคนอื่นตระกูลฉีมีจุดอ่อนมากมายในมือนาง ยังกล้ามาเล่นงานสถาบันการศึกษาสตรีหรือซ่งซีซีไปปลอบใจหยานหรูอวี้ก่อน กลัวว่าอารมณ์ของนางจะได้รับผลกระทบหยานหรูอวี้นั่งอยู่ในห้องทำงานด้านใน มองดูกองหนังสือลอกเลียนกองอยู่ตรงหน้า นางอ่านทีละหน้า พลางขมวดคิ้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของซ่งซีซีที่เดินเข้ามาด้วยซ้ำซ่งซีซีเรียกนางเบาๆ นางถึงกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางยังคงบูดบึ้งอยู่ ก่อนที่นางจะคารวะ ริมฝีปากได้ฉีกรอยยิ้มออกมา "เจ้าสำนักมาเมื่อไร ข้าเสียมารยาทไป"ซ่งซีซีจับมือที่นางคำลังไหว้นั้นแล้วโค้งคำนับ "อาจารย์หยานเชิงนั่ง"ทั้งสองนั่งลง ซ่งซีซีสังเกตเห็นสมุดลอกเลียนแบบตรงหน้า นางนึกถึงตอนที่เข้ามาอีกฝ่าได้ขมวดคิ้วอยู่ นา
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป