ความอดทนที่เสิ่นว่านจือมีต่อนางเสิ่นถึงขีดสุดแล้ว และนางก็ยกแส้ขึ้นมาเพื่อไล่อีกฝ่ายออก นางเสิ่นได้แต่วิ่งหนีกลับก่อนที่อ๋องเยี่ยนจะออกจากเมืองหลวง ซ่งซีซีก็ต้องคอยระวังเอาไว้ เพราะรู้ความคิดสกปรกของอ๋องเยี่ยน ดังนั้นนางจึงส่งหงเซียวไปจับตาดูจวนอ๋องเอาไว้ เพื่อดูว่าเสิ่นว่านจือได้เชื่อฟังคำสั่งของนางหรือไม่ และไปจวนอ๋องเยี่ยนลับหลังหรือไม่หลังจากการจับตาดูมาอย่างต่อเนื่องสองสามวัน เสิ่นว่านจือก็กลับไปที่โรงงานปักเย็บซู่เจินตามปกติ และไม่ได้ไปจวนอ๋องเยี่ยน ซ่งซีซีถึงรู้สึกโล่งใจทั้งโรงงานปักเย็บซู่เจินและสถาบันการศึกษาสตรีค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากทุกคนแต่สถาบันการศึกษาสตรีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดมีคนจำนวนมากเข้ามาตีสนิท พวกนางไม่คิดจะเรียนหนังสือจริงๆ เอาแต่นำขนม งานปัก และของขวัญเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อผู้หญิงจากครอบครัวระดับสูงหญิงสาวจากตระกูลชั้นสูงบางคนก็ทำตัวหยิ่งและรับใช้หญิงสาวที่เป็นลูกสาวของขุนนางระดับเล็ก ไม่นานนักก็ค่อยๆ ก่อตั้งกลุ่มขึ้นบางคนที่อยากเรียนจริงๆ กลับถูกบีบออกยิ่งมีบางคนมาเพื่อเรียนรู้มารยาทจากคุณนายใหญ่เจิ้งกั๋ว หรือเรียนรู้ทักษะที่ดูแลบ้าน
บางครั้งผู้หญิงเป็นคนที่ร้ายกับผู้หญิงมากที่สุด แม้ว่าหยานไท่ฟู่จะเป็นผู้นำของขุนนางฝ่ายบริสุทธิ์ แต่หยานหรูอวี้อายุยังน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของพวกนางก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยหากแค่เป็นเช่นนี้ ซ่งซีซีก็คิดว่ามันจัดการได้ง่าย แต่กลัวว่ามีคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนนี้ จงใจจะเล่นงานสถาบันการศึกษาสตรีเพียงแต่ว่าปัจจุบันคนเหล่านี้มีผู้นำโดยคุณหนูตระกูลฉี และยังไม่พบได้รับคำสั่งจากคนอื่นตระกูลฉีมีจุดอ่อนมากมายในมือนาง ยังกล้ามาเล่นงานสถาบันการศึกษาสตรีหรือซ่งซีซีไปปลอบใจหยานหรูอวี้ก่อน กลัวว่าอารมณ์ของนางจะได้รับผลกระทบหยานหรูอวี้นั่งอยู่ในห้องทำงานด้านใน มองดูกองหนังสือลอกเลียนกองอยู่ตรงหน้า นางอ่านทีละหน้า พลางขมวดคิ้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของซ่งซีซีที่เดินเข้ามาด้วยซ้ำซ่งซีซีเรียกนางเบาๆ นางถึงกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางยังคงบูดบึ้งอยู่ ก่อนที่นางจะคารวะ ริมฝีปากได้ฉีกรอยยิ้มออกมา "เจ้าสำนักมาเมื่อไร ข้าเสียมารยาทไป"ซ่งซีซีจับมือที่นางคำลังไหว้นั้นแล้วโค้งคำนับ "อาจารย์หยานเชิงนั่ง"ทั้งสองนั่งลง ซ่งซีซีสังเกตเห็นสมุดลอกเลียนแบบตรงหน้า นางนึกถึงตอนที่เข้ามาอีกฝ่าได้ขมวดคิ้วอยู่ นา
ซ่งซีซีพยักหน้า จากนั้นอ่านดูสมุดลอกเลียนแบบของคนอื่น ให้พวกนางลอกเลียนแบบ โดยหวังว่าพวกนางจะมีลายมือที่สวยและตรวจดูพื้นฐานก่อนหนังสือลอกเลียนแบบหลายเล่มค่อนข้างดี และมีบางเล่มมีลายมือแบบสวยดี เขียนอย่างจริงจังมากนางวางมันลงและพูดว่า "ที่เจ้าไม่พอใจเพราะเรื่องนี้หรือ งั้นที่พวกนางลือเจ้า... กับเจ้าสิบเอ็ดฝางนั้น เจ้าไม่ได้เก็บมันใส่ใจสินะ"หยานหรูอวี้กล่าวว่า "มันปากของพวกนาง จะชอบว่าอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้ส่งผลต่อการกิน การอยู่ของข้า หรือทำให้ข้าบาดเจ็บแต่อย่างใด เหตุใดข้าต้องไปใส่ใจเล่า"นางพูดและยิ้ม "แต่พวกนางรู้วิธีใช้เรื่องจากสมัยก่อนเพื่อประชดข้าก็ถือว่ามีความสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่เอาแต่ด่าว่าข้าหน้าเงิน น่าเกลียด"หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ซ่งซีซีก็ชื่นชมนางจากใจจริงๆ ต้องมีความมั่นใจที่แข็งแกร่งเช่นไรถึงจะมองข้ามข่าวลือพวกั้นไปจู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว "แต่ไม่รู้ว่าจะสร้างปัญหาให้กับแม่ทัพฝางหรือไม่"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่หรอก โดยทั่วไปแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ชายมากนัก"หลังจากหยุดชั่วคราว เมื่อเห็นว่าหยานหรูอวี้ได้แต่ทำตัวไม่สนใจ นางก็พูดตรงๆ ว่า "บวกกับเรื่องที่พวกเ
ซ่งซีซีเห็นว่าพวกนางแต่งกายหรูหรา ผู้หญิงที่กำลังพูดนั้นสวมเสื้อคลุมตัวกลางผ้าไหมชั้นดีสีชมพูอ่อนและกระโปรงจีบสีฟ้า ดูทั้งน่ารักและหรูหรา ที่คออมีสร้อยหยก และมีถุงเล็กๆ ห้อยอยู่ที่เอวของนาง ถุงนั้นได้ปักคำว่า "ฉี" และพอมองดูก็รู้ตัวตนของนางในทันทีเสื้อผ้าและเครื่องประดับของคนอื่นๆ นั้นก็มีราคาแพงมากเช่นกัน ดูท่าว่าก็คงเป็นเจ้าปัญหาพวกนั้นพวกเขาหัวเราะ แต่ซ่งซีซียังคงนิ่ง มีสีหน้าเป็นมิตร จากนั้นพูดเบาๆ ว่า "ดูสิ พวกเจ้ากำลังอยู่ในวัยที่ชอบหัวเราะ งั้นก็ยืนอยู่ที่นี่ให้หัวเราะสักหนึ่งชั่วยามค่อยออกไป"หลังจากพูดจบ นางก็ปรบมือ จากนั้นเห็นเฟินหวาน ซึ่งเป็นเพื่อนของหงเซียวเดินออกมาจากมุมห้อง ทไท่าไหว้ก่อนจะพูดว่า "พระชายาเจ้าค่ะ"หงเซียว ชิงเหลิง เฟิยอวิ๋นและเฟินหวานต่างก็เป็นคนที่ศิษย์พี่ผิงสั่งให้อยู่ต่อในเมืองหลวง หงเซียวมีหน้าที่รับผิดชอบในการสืบสวน จริงๆ แล้วเฟินหวานมักจะทำงานกับนาง แต่ส่วนมากไม่ต้องให้นางลงมือเองวันนี้เป็นครั้งแรกนางสัญญาว่าจะให้หยานหรูอวี้จัดการเอง แต่บัดนี้ได้จับได้ว่านางล่วงเกินถึงหน้าตนเอง งั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่ๆซ่งซีซีพูดอย่างใจเย็น "เฟินหวาน เฝ้า
ใบหน้าของพวกฉีซี่หลี่แข็งทื่อด้วยเสียงหัวเราะ พวกนางจะถูกรังแกแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตอนนี้ ถูกเฟินหวานบังคับให้หัวเราะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ถือเป็นความคับข้องใจและความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับพวกนาง จากนั้นก็ไปฟ้องกั๋วไท่ฮูหยิน(ตำแหน่งยศของผู้หญิง)กั๋วไท่ฮูหยินมักจะเป็นคนใจดี ในตอนแรก นางสอนเรื่องมารยาท ดื่มชา ดูแลบัญชี จัดการคนใช้ ฯลฯ ในตอนนี้ยังไม่ได้สอนความรู้อื่นใดเลย เพราะได้คำนึงถึงฐานะของพวกนาง ไม่ว่าต่อไปจะแต่งงานกับผู้คนที่มีฐานะสูงกว่าหรือต่ำกว่า ล้วนต้องดูแลบ้านเรื่องมารยาท พวกนางเคยเรียนมาแล้ว แค่สอนเล็กๆ น้อยๆ เพิ่ม จะทำให้พวกนางไม่เสียมารยาทหรือทำตัวไม่งามเวลาจัดงานเลี้ยงหรือต้อนรับแขกในส่วนการดูแลบัญชี นี่เป็นความสามารถของผู้หญิงในการดูแลบ้าน และยังเป็นความรู้ประเภทหนึ่งอีกด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงในโลกนี้ก็ยังคงต้องดูแลฝ่ายใน เรื่องพื้นฐานแบบนี้จึงต้องเรียน พอเรียนเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อนค่อยเรียนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่สายไปผู้หญิงมักจะต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่าผู้ชาย ถึงมีโอกาสให้พวกเขายอมฟังเสียงของผู้หญิงบ้าง แต่ยังไม่มีสิทธิ์มาขอร้องให้เท่าเทียมกันว
ก่อนที่อ๋องเยี่ยนจะออกจากเมืองหลวง เขาได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อกล่าวคำอำลากับพระสนมหรง พระสนมหรงกล่าวทั้งน้ำตาว่า "หากเจ้ากตัญญู ก็ไปขอให้ฝ่าบาทอนุญาติให้ข้าไปกับเจ้าไปที่เยี่ยนโจวเถอะ จะได้ไม่ต้องให้แมลูกจากกัน ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงได้เจอหน้าอีก"อ๋องเยี่ยนคุกเข่าลงกับพื้น เสียงของเขาสะอื้นสะอื้น "ลูกก็ไม่อยากทิ้งเสด็จแม่ด้วย แต่เยี่ยนโจวนั้นเทียบกับวังมิได้ และร่างกายของท่านก็ทนต่อความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมิได้"พระสนมหรงปาดน้ำตาแล้วพูดว่า "ปกติมีน้องของเจ้าเข้ามาดูแลข้า บัดนี้น้องสาวของเจ้าได้เข้าไปในสำนักกิจการราชวงศ์ และเจ้าก็จะกลับเยี่ยนโจว เสด็จแม่จะมีความหวังอะไรอีก อีกอย่างเสด็จแม่ก็หายดีแล้ว ไม่กลัวการเดินทางนี้หรอก หากเจ้าไม่ไปขอร้อง งั้นเสด็จแม่จะไปขอเอง ฝ่าบาทมีเมตตา จะอนุญาตให้เราอยู่ด้วยกันแน่ๆ""เสด็จแม่ เราแม่ลูกจะต้องได้กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน โปรดรอลูกสักพัก"ไทเฟยหรงจับมือเขาไว้ หลังจากป่วยมานาน นางก็บางเหมือนกิ่งไม้ที่ตายแล้ว แต่กลับกำมือแน่นมาก "ลูกเอ๋ย บ้านเมืองตอนนี้สงบสุขแล้ว ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขตหนานเจียงได้รับการยึดกลับมา สงคร
อ๋องเยี่ยนรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็หลุดหลิดด้วย "ทำไมเสด็จแม่ถึงพูดแบบนี้ ลูกไม่สามารถอยู่ห่างไกลดูแลท่านไม่ได้ แน่นอนว่าจะหวังว่าไทเฮาใจดีและดูแลท่านอย่างดี แบบนี้ลูกก็ไม่ต้องเป็นห่วง""เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว เจ้าไปเถอะ เดินทางปลอดภัยด้วย" ไทเฟยหรงโบกมือ บุตรชายที่ตนเองเลี้ยงกับมือ นางจะไม่รู้นิสัยใจคอของเขาได้อย่างไร จะมองสีหน้าจองเขาไม่ออกได้อย่างไร"ลูกอกตัญญู เดือนกรกฎาคมร้อนมากจริงๆ เลยไม่สามารถพาท่านไปด้วย หากลูกพาท่านไป แล้วฝ่าบาทจะคิดอย่างไร ต่อให้ลูกจะบริสุทธิ์ ฝ่าบาทก็จะเกิดความสงสัย กลัวว่าลูกจะต้องถูกหาว่าด้วย"ไทเฟยหรงพยักหน้าและไม่พูดอะไรมากความ "เข้าใจแล้ว จงไปเถอะ"อ๋องเยี่ยนคำนับ จากนั้นก็ให้นางเสิ่น ชายารองจิน และลูกสี่คนเข้ามาและกล่าวคำอำลาไม่ว่าจะเป็นลูกสะใภ้หรือหลานตนเอง ไทเฟยหรงก็ไม่ได้แสดงความรักต่อพวกเขามากนัก มีสีหน้าเฉยเมยหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ไทเฟยหรงก็ไอสองสามครั้งขันทีเกาซึ่งอยู่ข้างๆ นางรู้ว่าไทเฟยกำลังเสียใจอยู่ เขาจึงชักชวนสองสามคำว่า "อากาศมันร้อนมากจริงๆ ให้ท่านเดินทางไปด้วยก็ไม่สะดวก ไม่ดีต่อสุขภาพของท่านนะ ท่านอ๋องก็ห่วงใยท่านนะ ท่าน
อ๋องเยี่ยนพาครอบครัวไปเยี่ยมไทเฮาเพื่อกล่าวคำอำลา จักรพรรดิ์ซูชิงก็อยู่ที่นั่นด้วยอาหลานสองคนต่างมีความคิดของตนเอง ไทเฮาทำตัวไม่รู้อะไร และคุยเล่นกับพวกเขา เล่าเรื่องในอดีตไทเฮาอุทานว่า ตอนที่อดีตฮ่องเต้มีชีวิตอยู่นั้น มักจะพูดถึงเรื่องพี่น้องกับอ๋องเยี่ยน"มีอยู่หนึ่งปี พวเจ้าพี่น้องทั้งหลายติดตามอดีตฮ่องเต้ไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เจ้ายังเด็กและมีพลัง และยืนกรานที่จะขี่ม้าที่แข็งแรงสูงพอๆ กับเจ้า แต่ไม่คาดคิดว่าม้าตัวนั้นเป็นบ้าขึ้นมา เกือบทำให้เจ้าต้องล้มกับพื้น เขาขี่มาเข้ามา แล้วใช้แสม้ามัดเจ้าไว้ แต่สุดท้ายพวกเจ้าสองคนก็ถูกโยนออกไปพร้อมกัน โชคดีที่อดีตฮ่องเต้ช่วยเหลือเจ้า เจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป แต่หลังของเขาเองกลับมีเลือดไหลเยอะ โดนหินทำให้บาดเจ็บมีแผลหลายที่ด้วย""พระองค์ตรัสว่าในบรรดาน้องชายทั้งหลายนั้น พระองค์เอ็นดูเจ้ามากที่สุด เจ้าฉลาดรู้ความ เป็นเด็กดีว่าง่ายสอนง่าย มีของดีอะไรก็มักจะแบ่งแยกให้เจ้าชุดหนึ่ง ตอนที่พระราชทานที่ดิน พระองค์เลยพระองค์เยี่ยนโจวแก่เจ้า คิดว่าอยากจะให้เจ้ามีชีวิตที่ดี และอยู่อย่างสงบสุข"ไทเฮากล่าวด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงนางก็รู้ว่า