ซ่งซีซีเห็นว่าพวกนางแต่งกายหรูหรา ผู้หญิงที่กำลังพูดนั้นสวมเสื้อคลุมตัวกลางผ้าไหมชั้นดีสีชมพูอ่อนและกระโปรงจีบสีฟ้า ดูทั้งน่ารักและหรูหรา ที่คออมีสร้อยหยก และมีถุงเล็กๆ ห้อยอยู่ที่เอวของนาง ถุงนั้นได้ปักคำว่า "ฉี" และพอมองดูก็รู้ตัวตนของนางในทันทีเสื้อผ้าและเครื่องประดับของคนอื่นๆ นั้นก็มีราคาแพงมากเช่นกัน ดูท่าว่าก็คงเป็นเจ้าปัญหาพวกนั้นพวกเขาหัวเราะ แต่ซ่งซีซียังคงนิ่ง มีสีหน้าเป็นมิตร จากนั้นพูดเบาๆ ว่า "ดูสิ พวกเจ้ากำลังอยู่ในวัยที่ชอบหัวเราะ งั้นก็ยืนอยู่ที่นี่ให้หัวเราะสักหนึ่งชั่วยามค่อยออกไป"หลังจากพูดจบ นางก็ปรบมือ จากนั้นเห็นเฟินหวาน ซึ่งเป็นเพื่อนของหงเซียวเดินออกมาจากมุมห้อง ทไท่าไหว้ก่อนจะพูดว่า "พระชายาเจ้าค่ะ"หงเซียว ชิงเหลิง เฟิยอวิ๋นและเฟินหวานต่างก็เป็นคนที่ศิษย์พี่ผิงสั่งให้อยู่ต่อในเมืองหลวง หงเซียวมีหน้าที่รับผิดชอบในการสืบสวน จริงๆ แล้วเฟินหวานมักจะทำงานกับนาง แต่ส่วนมากไม่ต้องให้นางลงมือเองวันนี้เป็นครั้งแรกนางสัญญาว่าจะให้หยานหรูอวี้จัดการเอง แต่บัดนี้ได้จับได้ว่านางล่วงเกินถึงหน้าตนเอง งั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่ๆซ่งซีซีพูดอย่างใจเย็น "เฟินหวาน เฝ้า
ใบหน้าของพวกฉีซี่หลี่แข็งทื่อด้วยเสียงหัวเราะ พวกนางจะถูกรังแกแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตอนนี้ ถูกเฟินหวานบังคับให้หัวเราะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ถือเป็นความคับข้องใจและความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับพวกนาง จากนั้นก็ไปฟ้องกั๋วไท่ฮูหยิน(ตำแหน่งยศของผู้หญิง)กั๋วไท่ฮูหยินมักจะเป็นคนใจดี ในตอนแรก นางสอนเรื่องมารยาท ดื่มชา ดูแลบัญชี จัดการคนใช้ ฯลฯ ในตอนนี้ยังไม่ได้สอนความรู้อื่นใดเลย เพราะได้คำนึงถึงฐานะของพวกนาง ไม่ว่าต่อไปจะแต่งงานกับผู้คนที่มีฐานะสูงกว่าหรือต่ำกว่า ล้วนต้องดูแลบ้านเรื่องมารยาท พวกนางเคยเรียนมาแล้ว แค่สอนเล็กๆ น้อยๆ เพิ่ม จะทำให้พวกนางไม่เสียมารยาทหรือทำตัวไม่งามเวลาจัดงานเลี้ยงหรือต้อนรับแขกในส่วนการดูแลบัญชี นี่เป็นความสามารถของผู้หญิงในการดูแลบ้าน และยังเป็นความรู้ประเภทหนึ่งอีกด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงในโลกนี้ก็ยังคงต้องดูแลฝ่ายใน เรื่องพื้นฐานแบบนี้จึงต้องเรียน พอเรียนเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อนค่อยเรียนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่สายไปผู้หญิงมักจะต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่าผู้ชาย ถึงมีโอกาสให้พวกเขายอมฟังเสียงของผู้หญิงบ้าง แต่ยังไม่มีสิทธิ์มาขอร้องให้เท่าเทียมกันว
ก่อนที่อ๋องเยี่ยนจะออกจากเมืองหลวง เขาได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อกล่าวคำอำลากับพระสนมหรง พระสนมหรงกล่าวทั้งน้ำตาว่า "หากเจ้ากตัญญู ก็ไปขอให้ฝ่าบาทอนุญาติให้ข้าไปกับเจ้าไปที่เยี่ยนโจวเถอะ จะได้ไม่ต้องให้แมลูกจากกัน ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงได้เจอหน้าอีก"อ๋องเยี่ยนคุกเข่าลงกับพื้น เสียงของเขาสะอื้นสะอื้น "ลูกก็ไม่อยากทิ้งเสด็จแม่ด้วย แต่เยี่ยนโจวนั้นเทียบกับวังมิได้ และร่างกายของท่านก็ทนต่อความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมิได้"พระสนมหรงปาดน้ำตาแล้วพูดว่า "ปกติมีน้องของเจ้าเข้ามาดูแลข้า บัดนี้น้องสาวของเจ้าได้เข้าไปในสำนักกิจการราชวงศ์ และเจ้าก็จะกลับเยี่ยนโจว เสด็จแม่จะมีความหวังอะไรอีก อีกอย่างเสด็จแม่ก็หายดีแล้ว ไม่กลัวการเดินทางนี้หรอก หากเจ้าไม่ไปขอร้อง งั้นเสด็จแม่จะไปขอเอง ฝ่าบาทมีเมตตา จะอนุญาตให้เราอยู่ด้วยกันแน่ๆ""เสด็จแม่ เราแม่ลูกจะต้องได้กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน โปรดรอลูกสักพัก"ไทเฟยหรงจับมือเขาไว้ หลังจากป่วยมานาน นางก็บางเหมือนกิ่งไม้ที่ตายแล้ว แต่กลับกำมือแน่นมาก "ลูกเอ๋ย บ้านเมืองตอนนี้สงบสุขแล้ว ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขตหนานเจียงได้รับการยึดกลับมา สงคร
อ๋องเยี่ยนรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็หลุดหลิดด้วย "ทำไมเสด็จแม่ถึงพูดแบบนี้ ลูกไม่สามารถอยู่ห่างไกลดูแลท่านไม่ได้ แน่นอนว่าจะหวังว่าไทเฮาใจดีและดูแลท่านอย่างดี แบบนี้ลูกก็ไม่ต้องเป็นห่วง""เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว เจ้าไปเถอะ เดินทางปลอดภัยด้วย" ไทเฟยหรงโบกมือ บุตรชายที่ตนเองเลี้ยงกับมือ นางจะไม่รู้นิสัยใจคอของเขาได้อย่างไร จะมองสีหน้าจองเขาไม่ออกได้อย่างไร"ลูกอกตัญญู เดือนกรกฎาคมร้อนมากจริงๆ เลยไม่สามารถพาท่านไปด้วย หากลูกพาท่านไป แล้วฝ่าบาทจะคิดอย่างไร ต่อให้ลูกจะบริสุทธิ์ ฝ่าบาทก็จะเกิดความสงสัย กลัวว่าลูกจะต้องถูกหาว่าด้วย"ไทเฟยหรงพยักหน้าและไม่พูดอะไรมากความ "เข้าใจแล้ว จงไปเถอะ"อ๋องเยี่ยนคำนับ จากนั้นก็ให้นางเสิ่น ชายารองจิน และลูกสี่คนเข้ามาและกล่าวคำอำลาไม่ว่าจะเป็นลูกสะใภ้หรือหลานตนเอง ไทเฟยหรงก็ไม่ได้แสดงความรักต่อพวกเขามากนัก มีสีหน้าเฉยเมยหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ไทเฟยหรงก็ไอสองสามครั้งขันทีเกาซึ่งอยู่ข้างๆ นางรู้ว่าไทเฟยกำลังเสียใจอยู่ เขาจึงชักชวนสองสามคำว่า "อากาศมันร้อนมากจริงๆ ให้ท่านเดินทางไปด้วยก็ไม่สะดวก ไม่ดีต่อสุขภาพของท่านนะ ท่านอ๋องก็ห่วงใยท่านนะ ท่าน
อ๋องเยี่ยนพาครอบครัวไปเยี่ยมไทเฮาเพื่อกล่าวคำอำลา จักรพรรดิ์ซูชิงก็อยู่ที่นั่นด้วยอาหลานสองคนต่างมีความคิดของตนเอง ไทเฮาทำตัวไม่รู้อะไร และคุยเล่นกับพวกเขา เล่าเรื่องในอดีตไทเฮาอุทานว่า ตอนที่อดีตฮ่องเต้มีชีวิตอยู่นั้น มักจะพูดถึงเรื่องพี่น้องกับอ๋องเยี่ยน"มีอยู่หนึ่งปี พวเจ้าพี่น้องทั้งหลายติดตามอดีตฮ่องเต้ไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เจ้ายังเด็กและมีพลัง และยืนกรานที่จะขี่ม้าที่แข็งแรงสูงพอๆ กับเจ้า แต่ไม่คาดคิดว่าม้าตัวนั้นเป็นบ้าขึ้นมา เกือบทำให้เจ้าต้องล้มกับพื้น เขาขี่มาเข้ามา แล้วใช้แสม้ามัดเจ้าไว้ แต่สุดท้ายพวกเจ้าสองคนก็ถูกโยนออกไปพร้อมกัน โชคดีที่อดีตฮ่องเต้ช่วยเหลือเจ้า เจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป แต่หลังของเขาเองกลับมีเลือดไหลเยอะ โดนหินทำให้บาดเจ็บมีแผลหลายที่ด้วย""พระองค์ตรัสว่าในบรรดาน้องชายทั้งหลายนั้น พระองค์เอ็นดูเจ้ามากที่สุด เจ้าฉลาดรู้ความ เป็นเด็กดีว่าง่ายสอนง่าย มีของดีอะไรก็มักจะแบ่งแยกให้เจ้าชุดหนึ่ง ตอนที่พระราชทานที่ดิน พระองค์เลยพระองค์เยี่ยนโจวแก่เจ้า คิดว่าอยากจะให้เจ้ามีชีวิตที่ดี และอยู่อย่างสงบสุข"ไทเฮากล่าวด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงนางก็รู้ว่า
ก่อนออกจากเมืองหลวง นางเสิ่นไปที่จวนอ๋องตามหาเสิ่นว่านจือด้วยตนเอง และให้นางมอบจดหมายที่จะส่งให้ตระกูลเสิ่นเนื่องจากเสิ่นว่านจือได้รับคำเตือนจากซ่งซีซี นางจึงไม่มีอะไรจะพูดกับนางเสิ่น และจะไม่ให้จดหมายด้วย ดังนั้นจึงให้นางกลับไปเลยนางเสิ่นหาเรื่องหาตนเองอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้นางกลับไม่ได้โกรธ แต่น้ำตาคลอเบ้า "น้อง ข้ารู้ว่าเจ้าดูถูกข้า แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวจริงๆ เราซื้อของมากมายในเมืองหลวง บัดนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว หากโรงงานปักเย็บซู่เจินต้องการมัน ข้าจะเอาของทั้งหมดไปให้กับเจ้า"เสิ่นว่านจือกอดอกด้วยความสงสัยเล็กน้อย "เจ้าใจดีจริงๆ เหรอ?"นางเสิ่นรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย "ข้าก็เป็นผู้หญิง แน่นอนว่าข้าอยากทำอะไรให้ผู้หญิงด้วย อีกอย่างข้าวของเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเราแล้ว มีข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้า ดอกไม้และของต่างๆ มากมาย จะให้มันำพวกมันทั้งหมดกลับไปที่เยี่ยนโจวก็ไม่ได้หรอก หากเจ้าไม่เชื่อ ไปจับตาดูเองข้าจะจัดคนไปส่งให้"ถ้านางไม่โกรธ เสิ่นว่านจือก็ต้องคิดว่านางมีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน และตอนนี้นางเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจดีจริงๆ แค่อยากจะซื้อนางเป็นพวกเท่านั้นเพียงแต่ว่าของเ
ต้องใช้รถห้าคันในการจัดส่ง ส่วนดอกไม้และต้นไม้ก็ถูกขนด้วยเกวียน คนของทั้งจวนอ๋องก็ช่วยกันจัดการเมื่อจากไปนั้น อ๋องเยี่ยนก็เดินออกมา เขาทักทายกับเสิ่นว่านจือ ด้วยเสน่ห์แบบผู้ชายและดูน่าสงสารมาก "หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อ โรงงาน มีเส้นไหมหลายสีในจวน สามารถเย็บปักถักร้อยดีๆ หากเจ้าสนใจ คุณหนูเสิ่นเข้าไปดูข้างในได้นะ"เสิ่นว่านจือตื่นตัวขึ้นมา "ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูหรอก แค่ขนมันออกมาพร้อมกันก็ได้แล้ว"อ๋องเยี่ยนไม่ได้บังคับ เขาเพียงสั่งคนใช้ว่า "นำเส้นไหมทั้งหมดออกมาใส่รถ หากยังไม่เพียงพอก็ส่งคนไปจ้างรถด้วย"พวกคนรับใช้ก็เข้าไปขนทันทีอ๋องเยี่ยนมองไปที่เสิ่นว่านจือ และเห็นนางสวมเสื้อคลุมตัวกลางสีชมพูอ่อนและกระโปรงจีบสีเขียวอ่อนในวันนี้ ทำให้นางดูสดชื่นและน่ารัก เขาก็ทำหน้าอ่อนโยนลง "จือจือคงหิวน้ำแล้วนะ ให้ข้าจัดน้ำและขนมให้ไหม"ด้วยคำว่าจือจือ ทำให้เสิ่นว่านจืออยากอาเจียนเลย มันไม่ง่ายที่จะกลั้นมันไว้"ข้าไม่หิวน้ำหรือหิวข้าว" เสิ่นว่านจือปฏิเสธและพูดอย่างสุภาพว่า "ขอบคุณน้ำใจของท่านอ๋อง"ดวงตาของอ๋องเยี่ยนจับจ้องใบหน้าของนางอยู่นาน "ก็ได้ ข้าไม่บังคับเลย พวกเจ้าขนของไ
ซ่งซีซีรู้ว่าทั้งครอบครัวอ๋องเยี่ยนจะออกจากเมืองหลวงในวันนี้ ดังนั้นนางจึงออกคำสั่งเป็นพิเศษให้ค่ายลาดตระเวนจับตาดูพวกเขาเอาไว้ และรให้พวกเขาออกจากเมืองค่อยรายงานอีกทีลู่เจินพาผู้คนไปจัดการเอง มองดูรถม้าหลายคันของจวนอ๋องเยี่ยนขับออกจากประตูเมืองอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากสถานะของอ๋องเยี่ยน เขาจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเวลาออกจากเมืองหลวง แต่อ๋องเยี่ยนยังคงเปิดม่านรถให้พร้อมพยักหน้าทักทายเล็กน้อย เซียวเฉิน ผู้เฝ้าประตูเมืองก็ยกมือเพื่อทักทายให้หากไม่มีคำสั่งให้สอบสวน ย่อมไม่กล้าสอบสวน และท่านอ๋องแค่ออกป้ายให้เมื่อออกจากเมือง โดยไม่ต้องให้เห็นหน้าก็สามารถให้ผ่านได้หลังจากที่ลู่เจินมองเห็นพวกเขาจากนั้น เขาก็กลับไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อรายงานให้ซ่งซีซีซ่งซีซี รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจากไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ค่ายลาดตระเวนกำลังอยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถภาพทางกาย หลังจากจัดการคนกลุ่มหนึ่งออกไปแล้ว ค่ายลาดตระเวนยังไม่ถือว่ามีแต่ทหารแข็งแกร่ง อย่างน้อยมันไม่มากพอที่พวกเขาเป็นคนจากกองทัพซวนเจียหลังจากปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปหลายปี คนที่ทำตัวไม่ดีนั้นทำเอาคนที่มีวินัยเสียคนไปเลย แต่และ
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา