หวังชิงหลูผิดหวังจนหัวใจด้านชา นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีจุดจบแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าการหย่าเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าไม่ถึงขั้นสุด ๆ จริง นางก็ไม่อยากไปจากที่นี่ ดังนั้น นางเลยไปหาจ้านจี้ ท่านพ่อสามีกับจ้านเป่ยชิง ท่านลุง ให้พวกเขาไปช่วยพูด ยิ่งไปกว่านั้นยังขอร้องไปถึงฮูหยินผู้เฒ่ารองฮูหยินผู้เฒ่ารองไม่เคยสนใจเรื่องของพวกเขา การตายของนางหมิน ก็ทำให้นางเสียใจมากดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำพูดของหวังชิงหลู ก็เห็นด้วยกับนางมาก "กลับไปเข้าร่วมกองทัพใหม่ก็เป็นเรื่องดี ข้าสนับสนุนเขา"หวังชิงหลูรู้ว่าไม่สามารถคาดหวังกับฮูหยินผู้เฒ่ารองได้ แต่คิดว่านางก็เป็นผู้อาวุโส ถ้านางออกหน้าไปโน้มน้าว บางทีจ้านเป่ยว่างอาจจะฟังเพียงแต่เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ หวังชิงหลูก็ปัดแก้วตกพื้นทันที "ในเมื่อไม่ช่วย ก็ไม่ต้องพูดซ้ำเติมแบบนี้"พูดจบก็ลุกออกไปทันทีจ้านจี้กับจ้านเป่ยชิงก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไร ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับการที่จ้านเป่ยว่างไปเป็นทหารเล็ก ๆ แต่เป็นเพราะขอความช่วยเหลือกับฮูหยินป๋อผิงซีไม่เป็นผล แม้หลังจากแต่งงานแล้ว ทั้งสองตระกูลได้ช่วยเหลือกัน แบบนี้ก็สามารถเสริมสร้างอำนาจให้ยิ่งใหญ
ต่อมาก็หลี่ฮูหยินพูดขึ้น บอกว่าไม่ต้องตามหาแล้ว ในเมื่อพวกเขาบอกว่าตระกูลว่านไม่มีว่านฉิน ถ้าอย่างนั้นว่านฉินก็เป็นคนใหม่ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลว่านอีกแม้ซ่งซีซีกับเสิ่นว่านจือจะรู้สึกว่าตระกูลว่านใจดำ แต่สิ่งที่หลี่ฮูหยินพูดก็มีเหตุผล ตามาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ทุบตีพวกเขาระบายความโกรธก็ไม่มีความหมายอะไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่ได้ปล่อยให้ว่านฉินมีชีวิตต่อไป ล้มเลิกความคิดฆ่าตัวตาย บอกชื่อคนชั่วคนนั้นออกมา นี่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเดิมทีนางจีรับปากว่าจะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเย็บปัก แต่ตอนนี้ก็มาได้ถูกเวลาแล้วนางยกโจ๊กข้าวฟ่างถ้วยหนึ่งเข้ามา มองดูเด็กสาวไร้ชีวิตชีวาที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง นางดูซีดเซียว และสวยงาม ความซีดเซียวก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้างดงามของนางได้นางจีเข้าไปไม่พูดอะไร เพียงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดแก้มและมือ จากนั้นลูบผมของนางแต่เป็นว่านฉินที่ขยับตัวออกไป และขดตัวไว้ "สกปรก! "นางพูดคำหนึ่ง นี่เป็นคำแรกที่นางพูดหลังจากมาที่โรงงานเย็บปักซู่เจินนางรังเกียจที่นางสกปรกนางจีจับมือของนางไว้ พูดขึ้นเบา ๆ ว่า "เด็กดี เจ้าไม่สกปรกเลย"ว่านฉินไม่
เสิ่นว่านจือไปจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้ซีซีก็มีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำ นั่นก็คือสถาบันการศึกษาสตรีกำลังจะเปิดสอนแล้วซ่งซีซีได้หาอาจารย์มาได้ห้าคนแล้ว หยานหรูอวี้ หลานสาวของไทฟู่ ซวี่ฮูหยิน พี่สะใภ้ขององค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง เสิ่นชิงเหอ ฮูหยินใหญเจิ้งกั๋ว และแม่นางตระกูลอู๋ หสายร่วมเรียนขององค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงแม่นางอู๋คนนี้ตอนนี้อายุสามสิบแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเพื่อนที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ในปีที่พวกเขากำลังเตรียมการแต่งงานก็เสียชีวิตในสนามรบ แม่นางอู๋ก็ไม่เคยพูดเรื่องการแต่งงานอีกเลย และไม่มีความคิดจะแต่งงานอีกศิษย์พี่เสิ่นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว แต่เขาเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในแคว้นซาง บุคลิกสง่างาม มีคุณธรรมสูงส่ง มีเขามาเป็นอาจารย์ของสถาบันการศึกษาสตรีก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรกลับกัน ด้วยชื่อเสียงของเขา ก็สามารถดึงดูดนักเรียนได้มากขึ้นฮูหยินใหญ่เจิ้งกั๋วถอนตัวจากวงสังคมมาเป็นเวลานานแล้ว ตอนนางยังเป็นสาวก็เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมาก ครั้งหนึ่งเคยเดินทางติดตามสามีไปทั่วทั้งแคว้นซาง รวมถึงตำรา "ภูเขาและแม่น้ำ" เล่มนี้ ปัจจุบันแผนที่แคว้นซางก็เป็นใต้เท้าเจิ้งสามีของนางเ
เซี่ยหลูโม่ได้ยินข่าวลือนี้จากเจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ ตอนนั้นเขาหารือเรื่องงานกับทุกคน เวลาพักชั่วคราว เขาก็เข้าไปดื่มชากับเฉินยีอยู่ข้างใน แล้วคนที่เหลือก็คุยเล่นกันอยู่ข้างนอก จึงได้พูดถึงเรื่องนี้หัวหน้าว่านดำรงตำแหน่งนั้นมาห้าปีแล้ว และเขาต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และได้ข่าวว่าใต้เท้าฉี เจ้ากรมขุนนางเคยมีบ้านเล็กมาก่อน บัดนี้ถูกส่งตัวไปยังสำนักแม่ชีแล้ว และบ้านเล็กนั้นมีลูกสาวคนหนึ่งด้วยดังนั้นทำให้หัวหน้าว่านคิดว่าเจ้ากรมฉีเป็นคนหื่นกาม เลยคิดจะส่งว่านฉิน ลูกสาวตนเองไปเป็นอนุภรรยาให้เขา แต่กลับถูกเจ้ากรมฉีปฏิเสธหัวหน้าว่านเป็นคนชอบคิดต่างๆ นานาอยู่แล้ว โดยคิดว่าฉีฮูหยินใหญ่ขี้อิจฉาและไม่ยอมให้รับอนุภรรยา ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะมอบลูกสาวให้กับเจ้ากรมฉีเล่นสนุกก่อน รอให้พวกเขามีอะไรกัน อย่างลับๆ ไปเลยเขาพยายามอย่างหนักถึงได้ข่าวว่าทุกครั้งที่หยุดงาน เจ้ากรมฉีจะพาฮูหยินของตนเองไปทำบุญหรือไม่ก็เดินเล่นข้างนอก ดังนั้นเขาจึงติดสินบนผู้ดูแลประตูล่วงหน้าถึงรู้ว่าหลังจากที่พวกเขาทำบุญเสร็จก็จะไปบ่อน้ำร้อน เขาเลยแอบส่งลูกสาวไปที่นั่นแต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด แม้ว่าเจ้
เสิ่นว่านจือรู้สึกใจหายเลย "แล้วควรทำอย่างไรดีเล่า จะปล่อยให้เขาทำร้ายลูกสาวของเขาต่อไปหรือ? เพื่ออนาคตของตนเอง จะให้ทุกคนต้องเสียสละเช่นนี้ ทำลูกสาวเหมือนสิ่งของแล้วมอบให้ทั้งอย่างนั้น ทำไมเขาต้องให้ว่านฉินฆ่าตัวตาย ตามความคิดเจ้าเล่ห์ของเขา ไม่ใช่ว่าควรจะให้ว่านฉินทำต่อไป... ถุ๊ย ข้าพูดไม่ออกเลย"เซี่ยหลูโม่หยิบตะเกียบขึ้นมา กินไปสองคำแล้ววางมันลง เขาไม่อยากอาหารจริงๆ "เพราะไม่รู้ว่าคนๆ นั้นคืนใคร และเรื่องก็ถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว เขาเลยกลัวว่าจะเกิดปัญหาทีหลัง เลยให้ว่านฉินไปตาย และไม่ยอมรับว่าตนเองมีลูกสาวคนนี้ จะได้ไม่ถูกคนอื่นมาจับผิด คาดว่าจะตัดชื่อของนางออกจากรายชื่อครอบครัว"ดวงตาของเสิ่นว่านจือเหมือนจะกำลังลุกเป็นไฟ "ทำอะไรไม่ได้แล้วหรือ ปล่อยให้เขาทำร้ายลูกสาวของตนเองเช่นนนี้ เกิดเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ในแวดวงขุนนาง ฝ่าบาทก็ ไม่สนใจหรือ และเสนาบดีมู่ก็ไม่สนหรือ?""มันตรวจสอบได้ ทางหอต้าหลี่ก็ตรวจสอบเขาได้" เซี่ยหลูโม่เหลือบมองที่ซ่งซีซี "แต่ถ้าไม่ต้องการที่จะดึงว่านฉินเข้าไปเกี่ยวข้อง งั้นก็ต้องลงมือจากก้านอื่นของเขา เป็นแค่หัวหน้างานเล็กๆ จากกรมพิธีการ ตำแหน่งเล็ก เขา
ซ่งซีซีไปที่ร้านจินจิงเพื่อตามหาเถ้าแก่น้อยจินด้วยตนเองเถ้าแก่น้อยจินคนนี้ทั้งฉลาดและบริสุทธิ์ แม้ว่าเขาจะไม่เอาจริงเอาจังกับเงินทุกเบี้ย แต่ก็พยายามหาเงินอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เป็นคนรักชาติด้วย เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไม่เป็น แต่หากเกิดสงครามขึ้นมา เขาก็ยอมบริจาคเงินก้อนใหญ่เขาชื่นชมซ่งซีซีมากและอยากเป็นเพื่อนกับซ่งซีซี แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นซ่งซีซี ในฐานะพ่อค้า มันยิ่งไม่เหมาะที่ไปเยี่ยมถึงที่ บัดนี้ซ่งซีซีมาหาเอง แน่นอนว่าเขาจะต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำร้อน เขาพอจะได้ยินมาบ้าง แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับของขุนนางมากมาย เขาไม่อาจไปตรวจสอบให้ แค่รู้ว่ามีแม่นางโดนเอาเปรียบตอนนี้ซ่งซีซีบอกว่านางต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกว่ายินยอมร่วมมือพลางตบหน้าอก "วางใจได้เลย ใต้เท้าซ่งกลับไปรอข่าวดีของข้าได้เลย"ภายในครึ่งวัน เถ้าแก่น้อยจินก็ไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยบอกว่าลูกค้าผู้มีเกียรติคนหนึ่งได้ทำจี้หยกของครอบครัวหายในบ่อน้ำร้อนอวี้ซานเมื่อหลายวันก่อน และต้องการให้ค่ายลาดตระเวนช่วยค้นหามันให้คน
ในที่สุดคดีนี้ก็สืบไปถึงตระกูลฉีเจ้ากรมฉีไม่รู้เรื่องนี้ในตอนแรก หลังจากได้ยินซ่งซีซีเล่าที่ไปที่มาของเรื่องทั้งหมดให้เขาตามลำพัง เขาก็โกรธมากจนตัวสั่นไปหมดเขาทำผิดพลาดในด้านนี้มาก่อน การมีลูกสาวนอกสมรสก็ถือว่าจุดบกพร่องของเขาแล้ว หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป งั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำ แต่คนอื่นก็คงคิดว่าเขาทำไปแล้วด้วยความโกรธ เจ้ากรมฉีจึงจับองครักษ์คนนั้นไว้องครักษ์คนนั้นชื่อเฉินสาม เขาเป็นบุตรชายของคนใช้ในตระกูลฉี หลังจากเรียนรู้ทักษะการต่อสู้แล้วก็ให้เป็นองครักษ์ในจวน เนื่องจากแม่ของเขาคือหัวหน้าแม่นมในนจวน และรู้เรื่องตระกูลว่านมาสอบถามเรื่องที่เจ้ากรมฉีไปบ่อน้ำร้อนกับผู้ดูแลประตู จากนั้นก็ตามคู่สามีภรรยาเจ้ากรมฉีไปวัด เมื่อเห็นเจ้ากรมฉีไม่ได้ไปบ่อน้ำร้อน เขาจึงคิดจากฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบอีกฝ่ายใช่เขา เขาทำให้ว่านฉินเสียตัวมีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจ้ากรมฉีมีความคิดอยากจะฆ่าเขาจริงๆโดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือซ่งซีซี ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ค้นพบเรื่องบ้านเล็กของเขา แล้วนำลูกสาวไปให้ฮูหยิน เขาเป็นถึงพ่อตาแห่งชาติ เป็นถึงเจ้ากรมขุนนางระดับชั้นสอง อนาคตของขุ
ซ่งซีซีโน้มตัวไปข้างหน้าและถามด้วยน้ำเสียงเอาความว่า "ไม่รู้ว่าเจ้ากรมฉีทนต่อการร้องเรียนได้หรือไม่"สีหน้าของเจ้ากรมฉีเปลี่ยนไปทันที ตอนนี้เขาแค่อยากจะให้ตนเองอยู่เงียบๆ ไม่อยากดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย เพราะลูกสาวตัวน้อยของเขาถูกนำกลับมาและเลี้ยงดูอยู่ข้างกายอนุเฉินยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากญาติมาเกิดเรื่องเข้า งั้นทำให้ขายหน้า แล้วจะไม่เป็นผลดีกับองค์ชายใหญ่จะว่าไป เฉินสามก็แค่คนใช้ในจวน ให้สำคัญเขาเกินไป เขาก็แค่องครักษ์เองหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้ากรมฉีก็ตัดสินใจในทันทีความดุร้ายในดวงตาของเขาทำให้เฉินสามตัวสั่นไปหมด เขาก้มศีรษะและร้องขอความเมตตาตลอด"เจ้าสารเลว กล้าดียังไงมาร้องขอความเมตตา เจ้าทำร้ายผู้หญิงที่บริสุทธิ์ ต่อให้เจ้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย"เฉินสามร้องไห้ว่า "คุณท่าน นางจะถือว่าบริสุทธิ์ได้ยังไง? ตระกูลว่านส่งนางมา เดิมทีพวกเขาอยากจะถวายให้คุณท่าน แต่คุณท่านไม่ถูกใจนาง ข้าน้อยเลยทำผิดพลาดไป แต่นางไม่ได้บริสุทธิ์นะ นางได้กินยากระตุ้นอารมณ์ ข้าน้อยก็แค่ช่วยนาง...ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ร้ายแรงให้ข้าน้อยถึงขึ้นตายนะ"เจ้ากรมฉีเกลียดว่า
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา