พ่อบ้านเฟินยังคงเงียบ โดยคาดเดาว่านางรู้มากน้อยแค่ไหน โดยกลัวว่านางกำลังหลอกลวงตนเองอยู่เสิ่นว่านจือพูดเสียงดังว่า "ไม่เห็นจะยากเลย นำตังเขาไปสำนักรัฐเลย ต่อให้เป็นคนตาย ต่อมันเป็นเรื่องที่คนๆ นั้นทำเองก็ต้องให้คำชี้แจงให้""ไม่!" พ่อบ้านเฟินคุกเข่าลงเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ มีสีหน้าหวาดกลัว "นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับฮูหยินรอง ฮูหยินรองจากไปแล้ว ไม่สามารถทำให้ดวงวิญญาณของนางไม่สงบสุข หวังว่าพระชายาเมตตาให้ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของข้าน้อย ส่งคนไปทำลายชื่อเสียงของโรงงานก็เป็นฝีมือข้าน้อยขอรับ"ซ่งซีซีมองเขาอย่างเย็นชา "คุณหนูเสิ่นยังไม่ได้เอ่ยถึงนางซูด้วยซ้ำ เจ้ากลับหุนหันพลันแล่นที่เอ่ยถึงนาง แจ้งความเถอะ"พ่อบ้านเฟินเอาหน้าผากแตะพื้นไม่หยุด เขาตระหนกแล้วจริงๆ "ไม่ได้เด็ดขาดขอรับ พระชายาจะให้ข้าน้อยทำอะไร ข้าน้อยก็จะทำตาม ต่อให้ให้ข้าน้อยตายข้าน้อยก็ยอมเลยขอรับ"ไม่ได้นำตัวไปส่งที่สำนักรัฐ แต่ได้รู้ความจริงจากหงเชวี่ยและพ่อบ้านเฟินมาเกือบทั้งหมดแล้ว ที่เหลือเล็กน้อยนั้นไม่รู้ว่าแม่ลูกโหวผิงหยางจะรู้แผนการของนางซูหรือไม่ จะได้ช่วยปกปิดด้วยหรือไม่นางซูวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้อยู่เบื้องหลังจริ
ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือพาพ่อบ้านเฟินไปที่จวนโหวผิงหยางตั้งแต่นางซูจากไปแล้ว สุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าก็แย่ลงยิ่งขึ้น หลังจากจัดการงานศพเสร็จ นางก็ล้มป่วยเลยเมื่อซ่งซีซีมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งกินยาเสร็จและนั่งพิงบนเตียง จ้านเส้าฮวนกำลังดูแลนางอยู่ นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองซ่งซีซี แต่ในใจก็เหมือนกำลังมีพายุพัดอยู่เพราะซ่งซีซีมาเยี่ยมถึงที่ได้บอกว่ามาเพื่อเรื่องของเจียอี้ อีกทั้งยังพาพ่อบ้านเฟินมาด้วยคนที่จ้านเส้าฮวนเกลียดมากที่สุดก็คือซ่งซีซี และนางจะไม่มีวันให้อภัยนางได้เลยในชีวิตนี้แต่ไม่ว่านางจะเกลียดมากแค่ไหน แต่ก็กลัวซ่งซีซีอยู่ในใจ ด้วยสถานะปัจจุบันของซ่งซีซี หากนางต้องการกำจัดอนุคนหนึ่งจากจวนโหวผิงหยาง มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่าเคยปฏิเสธจดหมายขอพบของซ่งซีซีมาก่อน ส่วนคราวนี้ทางจวนโหวเพิ่งจัดงานศพเสร็จนางก็มาหา ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าเพราะเรื่องของเจียอี้ส่งผลกระทบต่อโรงงานเย็บปักซู่เจิน และเรื่องนี้ต้องการให้จัดการดังนั้นเมื่อซ่งซีซีเข้ามา นางรับผ้าเช็ดหน้าที่จ้านเส้าฮวนยื่นให้เพื่อเช็ดยาที่เหลือตรงมุมปาก และพูดอย่างอ่อนแรงว่า "พระชายามาที่นี่เพราะเรื่องข
จวนโหวผิงหยางใช้เวลาหนึ่งคืนเพื่อสำรวจทุกอย่างให้ชัดเจนหลังจากสอบสวนชัดเจนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามหาโหวผิงหยางมา และบอกแผนการของตนเองว่า "หย่ากับจ้านเส้าฮวน และรับเจียอี้กลับมา ในขณะเดียวกันก็ตามหานักเล่าเรื่องพวกนั้นมาบอกความจริงให้พวกเขารู้และให้พวกเขาออกไปชี้แจง"จริงๆ แล้ว ในใจของโหวผิงหยางก็ไม่ชอบเจียอี้มาก เขาไม่อยากไปรับเจียอี้กลับ และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน"ลูกไม่เห็นด้วย ไหนๆ ก็ผิดแล้วควรเล่นไปตามน้ำ ปกติลูกมักจะถูกนินทาเนื่องจากเรื่องของกู้ชิงเล่อ กว่าจะไล่นางออกไปแล้วได้สงบสักที คนนอกจะลือกันอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนโหวของเรานี่ มันมีแต่ด่าทอกู้ชิงเล่อ หากเราไปชี้แจง ไม่เพียงแต่ทำให้ทางจวนโหวสูญเสียชื่อเสียง ยังทำให้ชื่อเสียงของอาหลูเสียหาย ถึงยังไงนางเป็นหลานของท่านแม่ เป็นแม่ของหลานท่าน ท่านแม่ทำเช่นนี้ก็ใจร้ายไปหน่อย ไม่ว่ายังไงลูกจะไม่ไปรับนางเลย หย่าก็คือหย่าแล้ว"ฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางมองดูเขาและรู้สึกอึดอัดใจมากอีกทั้งก็รู้สึกเศร้าอย่างยิ่งเช่นกันเขามีหัวตัวหนึ่งและตาคู่หนึ่ง แค่ดูเป็นมนุษย์เฉยๆ เท่านั้น เขาไม่ได้ใช้สมองคิดและไม่ลืมตาด
ข่าวลือก็ยุติลงหลังจากนั้นไม่กี่วันความคิดของคนเราก็แปลกด้วย หลังจากประสบกับข่าวลือและการโจมตีด้วยวาจาไม่รู้จบ บางคนก็เริ่มพิจารณาความหมายของโรงงานเย็บปักซู่เจินอย่างจริงจังอาจเป็นเพราะบทความของนักวิชาการเหล่านั้นได้ผล ผู้เรียนบางคนก็อ่านใจความในแง่ดีอย่างกับนักเล่าเรื่องของร้านชาว่า จะว่าไปโรงงานเย็บปักซู่เจินนั้นก็แค่ให้ทางออกทางหนึ่งแก่เหล่าผู้หญิงที่ถูกหย่า และไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่ผิดคุณธรรมอะไรสักหน่อย หรือว่าพวกสุภาพบุรุษไม่มีความเมตตากรุณาเช่นนี้เหรอ?แต่คนที่คิดเช่นนี้ก็มีแค่ส่วนน้อย คนส่วนมากยังคงไม่เห็นด้วยกับมัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านหรือดูหมิ่นมันมากเหมือนแต่ก่อน และสามารถตั้งสติมาวิเคราะห์อย่างใจเย็นในเวลานี้ เซี่ยหลาน ท่านหญิงหยงอันเข้าสู่โรงงานเย็บปักซู่เจิน นางประกาศว่าตนเองจะออกจากจวนอ๋องฮวย ตัดขาดความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกับอ๋องฮวย จากนี้ไปโรงงานก็จะเป็นบ้านของนางการตัดสินใจนี้ นาง นางไม่ได้คิดขึ้นมาอย่างกะทันหันตอนที่ไม่มีใครยอมเข้าพักโรงงาน นางก็อยากไปแล้ว ได้ปรึกษากับศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวมาหลายครั้ง พวกนางคัดค้าน โดยคิดว่ามันดูจงใจไปหน่อย ช่วยโร
ใบหน้าของเจียอี้ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา มีสีหน้าหงุดหงิด "โอ้ย ข้าพูดกับเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าจู้จี้ อย่าจู้จี้อย่ามาพูดไม่หยุด เจ้าทำตัวเช่นนี้มันน่ารังเรียจนะ หากข้าเป็นนายหญิง ข้าไม่เอาคนใช้อย่างเจ้าหรอก"ป้าซุนโต้แย้งกลับว่า "งั้นเจ้าก็กลับไปเป็นนายหญิงของเจ้าแล้วหาคนใช้ที่เอาใจเอาใจคอยรับใช้เจ้าสิ"เจียอี้สบถขึ้นมา "แน่นอนว่าข้าจะกลับ มีชีวิตดีๆ ไม่ใช้ อยู่ที่นี่ต่อมาให้คนใช้อย่างเจ้ารังแกหรือไง""ไปๆๆ ไม่ต้องเก็บเสื้อผ้าข้าวของอะไร กลับไปมีแต่ใช้ของดีๆ" ป้าซุนกล่าวเจียอี้เงยหน้าขึ้นทันที "ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดจะแตะต้องเสื้อผ้าของข้า ในเมื่อมอบให้ข้าแล้ว งั้นก็เป็นของข้าแล้ว"ป้าซุนทั้งยิ้มและดุว่า "เจ้านี่ใจแคบจริงๆ เสื้อผ้าพวกนั้นเอากลับไปก็ใส่ไม่ได้ จะเอาไปทำไม เสื้อผ้าที่คนใช้ของทางจวนโหวก็ไม่ยอมใส่ด้วยซ้ำ"เจียอี้กล่าวว่า "ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่ ข้าก็จะเอากลับไป""ก็ได้ๆๆ งั้นข้าไปจัดเก็บให้ รีบกลับไปเถอะ" ป้าซุนหันหลังกลับ"หยุดนะ" เจียอี้กระโดดขึ้น ทำหน้าตาเหมือนเสือโคร่ง "อย่าแตะต้องสิ่งของของข้า ข้าจะจัดเก็บเอง"นางพูดอย่างนั้น จากนั้นก็วิ่งกลับไปห้องของตนเ
เจียอี้มองดูผู้หญิงที่มีสีหน้าเศร้าโศกตรงหน้าแล้วพูดว่า "หากเจ้ากำลังมองหาทางออกเพื่อเอาชีวิตรอด ก็เข้าไปเถอะ แม้ว่าอาจจะใช้ชีวิตลำบากหน่อย แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้อีกเลย"น้ำตาของผู้หญิงคนนั้นก็พรั่งพรูจากก้นดวงตาทันทีราวกับแม่น้ำที่ไหลล้นตลิ่งนางชื่อของเธอคือโม่หลานจวิน เดิมทีนางกับสามีเฉินเซิ่งเปิดร้านย้อมผ้าที่เมืองหลวง มีลูกสาวคนหนึ่ง ไม่เชิงว่าร่ำรวยมาก แต่สามีภรรยาสองคนรักใคร่กัน ไม่ขาดแคลนเงิน ถือว่ามีชีวิตที่ดีเพียงแต่ตอนนางให้กำเนิดลูกสาวคนั้นมีเลือดออกเยอะ หมอบอกว่าสามารถมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว น่าเสียดายที่นางจะไม่สามารถมีบุตรได้อีกนางเสียใจมาก แต่สามีของนางก็คอยปลอบใจนาง โดยบอกว่าการมีลูกสาวหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว และเขามีน้องชายสองคนที่สามารถสืบเชื้อสายตระกูลเฉินได้ในฐานะพี่สะใภ้คนโต ทั้งยังมีเงินด้วย จึงช่วยน้องสามีจัดเรื่องการแต่งงานด้วย พวกเขทั้งสองต่างให้กำเนิดบุตรชาย ในเวลานั้น น้องสามีทั้งสองยังเคารพนางมาก ทุกๆ เรื่องก็จะถามความเห็นของพี่สะใภ้ก่อนหนึ่งปีที่แล้ว สามีและลูกสาวพบกับโจรในระหว่างทางกลับบ้านเกิดเยี่ยมญาติ ตอนไปยังเป็นคนเป็นๆ อย
โม่หลานจวินย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่สามของแถวผิง และโรงงานเย็บปักซู่เจินได้รับคนแรกมาอย่างแท้จริงเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางนั่งข้างเครื่องปักและเริ่มเย็บปักถักร้อย นางก็ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจการเริ่มต้นมันยากลำบากมากจริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็เริ่มแล้ว หวังว่าพวกผู้หญิงที่สิ้นหวังนั้นจะนึกถึงโรงงานเย็บปักซู่เจินก่อนที่พวกนางจะแสวงหาความตายจ้านเส้าฮวนถูกหย่า และได้กลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง หวังชิงหลูรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก แต่เกิมก็ไม่อยากให้นางเข้าไป แต่จ้านเป่ยว่างยืนกรานที่จะรับนางกลับจวน นางโกรธมากจนกลับบ้านพ่อแม่อีกครั้งนางบ่นกับแม่ตนเองว่าบัดนี้จ้านเป่ยว่างไม่มีเงินเดือนอีก จึงทำงานไม่จริงจังด้วย วันๆ ทำตัวเหมือนคนไร้ต่า นางไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าก็ชินแล้ว และปล่อยให้นางร้องไห้แต่นางจีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อได้ งั้นก็หย่ากับเขาสิ หลังหย่าก็อย่ากลับมาบ้านนี้อีก ไปโรงงานเย็บปักซู่เจินเถอะ แต่เกรงว่าโรงงานเย็บปักซู่เจินคงไม่รับเจ้า ที่นางหมินกระโดดลงแม่น้ำ เจ้าได้ออกแรงมาไม่น้อยด้วย"หวังชิงหลูกลัวที่จะได้ยินชื่อของหมินซู่เจ
ต้องขอบคุณซ่งซีซีทำให้หอต้าหลี่เริ่มมีงานยุ่งอีกครั้งซ่งซีซีก็คอยดูแลอย่างเอาใจใส่ ได้ส่วกับข้าวให้กับเซี่ยหลูโม่ด้วยตนเอง ดูแลเขาเป็นอย่างดีมีหลักฐานแล้ว หอต้าหลี่แค่ต้องตรวจสอบทบทวน จากนั้นไปนำคนหลับมาสอบสวนจริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ได้ให้เซี่ยหลูโม่เสียแรงอะไรมากนัก แต่คนเหล่านี้ล้วนมีที่พึ่งพาอยู่เบื้อนหลัง แทนที่จะให้ซีซีไปรุกราน งั้นให้เขาไปทำจะดีกว่าปล่อยให้ตระกูลขุนนางเหล่านี้ไปเกลียดชังเขาเถอะคนที่มีความสุขที่สุดก็คือลู่เจิน ช่วงนี้เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างขยันขันแข็งมากขึ้น เขามั่นใจมากว่าหลังจากการปรับปรุงค่ายลาดตระเวนแล้ว มันจะกลายเป็นหน่วยงานที่ปกป้องความปลอดภัยของเมืองหลวงอย่างแท้จริงอีกครั้งทว่าเขาดีใจเร็วไปหน่อย หลังจากที่หอต้าหลี่เริ่มสอบสวน ก็มีผู้คนทยอยรายงาน โดยบอกว่าหน้าที่ของค่ายลาดตระเวนซ้ำกันกับกองกำลังเมืองหลวง และขอให้ยกเลิกค่ายลาดตระเวนนี่เป็นเรื่องจริงจริง ดังนั้นซ่งซีซีจึงยื่นคำร้องให้แยกหน้าที่ระหว่างค่ายลาดตระเวนและกองกำลังเมืองหลวงมาใหม่จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ได้ตอบตกลงในการประชุม หลังเลิกประชุมก็เรียกซ่งซีซีไปที่ห้องทรงพระอักษร"เมื่อวานข้า
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา