เจียอี้มองดูผู้หญิงที่มีสีหน้าเศร้าโศกตรงหน้าแล้วพูดว่า "หากเจ้ากำลังมองหาทางออกเพื่อเอาชีวิตรอด ก็เข้าไปเถอะ แม้ว่าอาจจะใช้ชีวิตลำบากหน่อย แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้อีกเลย"น้ำตาของผู้หญิงคนนั้นก็พรั่งพรูจากก้นดวงตาทันทีราวกับแม่น้ำที่ไหลล้นตลิ่งนางชื่อของเธอคือโม่หลานจวิน เดิมทีนางกับสามีเฉินเซิ่งเปิดร้านย้อมผ้าที่เมืองหลวง มีลูกสาวคนหนึ่ง ไม่เชิงว่าร่ำรวยมาก แต่สามีภรรยาสองคนรักใคร่กัน ไม่ขาดแคลนเงิน ถือว่ามีชีวิตที่ดีเพียงแต่ตอนนางให้กำเนิดลูกสาวคนั้นมีเลือดออกเยอะ หมอบอกว่าสามารถมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว น่าเสียดายที่นางจะไม่สามารถมีบุตรได้อีกนางเสียใจมาก แต่สามีของนางก็คอยปลอบใจนาง โดยบอกว่าการมีลูกสาวหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว และเขามีน้องชายสองคนที่สามารถสืบเชื้อสายตระกูลเฉินได้ในฐานะพี่สะใภ้คนโต ทั้งยังมีเงินด้วย จึงช่วยน้องสามีจัดเรื่องการแต่งงานด้วย พวกเขทั้งสองต่างให้กำเนิดบุตรชาย ในเวลานั้น น้องสามีทั้งสองยังเคารพนางมาก ทุกๆ เรื่องก็จะถามความเห็นของพี่สะใภ้ก่อนหนึ่งปีที่แล้ว สามีและลูกสาวพบกับโจรในระหว่างทางกลับบ้านเกิดเยี่ยมญาติ ตอนไปยังเป็นคนเป็นๆ อย
โม่หลานจวินย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่สามของแถวผิง และโรงงานเย็บปักซู่เจินได้รับคนแรกมาอย่างแท้จริงเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางนั่งข้างเครื่องปักและเริ่มเย็บปักถักร้อย นางก็ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจการเริ่มต้นมันยากลำบากมากจริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็เริ่มแล้ว หวังว่าพวกผู้หญิงที่สิ้นหวังนั้นจะนึกถึงโรงงานเย็บปักซู่เจินก่อนที่พวกนางจะแสวงหาความตายจ้านเส้าฮวนถูกหย่า และได้กลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง หวังชิงหลูรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก แต่เกิมก็ไม่อยากให้นางเข้าไป แต่จ้านเป่ยว่างยืนกรานที่จะรับนางกลับจวน นางโกรธมากจนกลับบ้านพ่อแม่อีกครั้งนางบ่นกับแม่ตนเองว่าบัดนี้จ้านเป่ยว่างไม่มีเงินเดือนอีก จึงทำงานไม่จริงจังด้วย วันๆ ทำตัวเหมือนคนไร้ต่า นางไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าก็ชินแล้ว และปล่อยให้นางร้องไห้แต่นางจีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อได้ งั้นก็หย่ากับเขาสิ หลังหย่าก็อย่ากลับมาบ้านนี้อีก ไปโรงงานเย็บปักซู่เจินเถอะ แต่เกรงว่าโรงงานเย็บปักซู่เจินคงไม่รับเจ้า ที่นางหมินกระโดดลงแม่น้ำ เจ้าได้ออกแรงมาไม่น้อยด้วย"หวังชิงหลูกลัวที่จะได้ยินชื่อของหมินซู่เจ
ต้องขอบคุณซ่งซีซีทำให้หอต้าหลี่เริ่มมีงานยุ่งอีกครั้งซ่งซีซีก็คอยดูแลอย่างเอาใจใส่ ได้ส่วกับข้าวให้กับเซี่ยหลูโม่ด้วยตนเอง ดูแลเขาเป็นอย่างดีมีหลักฐานแล้ว หอต้าหลี่แค่ต้องตรวจสอบทบทวน จากนั้นไปนำคนหลับมาสอบสวนจริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ได้ให้เซี่ยหลูโม่เสียแรงอะไรมากนัก แต่คนเหล่านี้ล้วนมีที่พึ่งพาอยู่เบื้อนหลัง แทนที่จะให้ซีซีไปรุกราน งั้นให้เขาไปทำจะดีกว่าปล่อยให้ตระกูลขุนนางเหล่านี้ไปเกลียดชังเขาเถอะคนที่มีความสุขที่สุดก็คือลู่เจิน ช่วงนี้เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างขยันขันแข็งมากขึ้น เขามั่นใจมากว่าหลังจากการปรับปรุงค่ายลาดตระเวนแล้ว มันจะกลายเป็นหน่วยงานที่ปกป้องความปลอดภัยของเมืองหลวงอย่างแท้จริงอีกครั้งทว่าเขาดีใจเร็วไปหน่อย หลังจากที่หอต้าหลี่เริ่มสอบสวน ก็มีผู้คนทยอยรายงาน โดยบอกว่าหน้าที่ของค่ายลาดตระเวนซ้ำกันกับกองกำลังเมืองหลวง และขอให้ยกเลิกค่ายลาดตระเวนนี่เป็นเรื่องจริงจริง ดังนั้นซ่งซีซีจึงยื่นคำร้องให้แยกหน้าที่ระหว่างค่ายลาดตระเวนและกองกำลังเมืองหลวงมาใหม่จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ได้ตอบตกลงในการประชุม หลังเลิกประชุมก็เรียกซ่งซีซีไปที่ห้องทรงพระอักษร"เมื่อวานข้า
หลังจากที่ยี่ฝางถูกนักการทูตของซีจิงนำตัวไป เขาเกือบจะฝันร้ายทุกคืน ฝันว่าชาวซีจิงสับยี่ฝางเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง และเนื้อบนร่างกายของนางก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ และเลือดเหมือนคลื่นลูกใหญ่ทำให้เขาจมอยู่กับมันแม้ว่าตอนปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างวัน บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงของยี่ฝาง บางครั้งเป็นเสียงขอความช่วยเหลือ บางครั้งก็ด่าว่าเขาใจจืดใจดำ และบางครั้งก็กรีดร้องอย่างน่าสังเวชเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นบ้าเขารู้สึกผิดกับยี่ฝางในใจ แต่ก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง การต่อสู้ระหว่างศีลธรรมกับความปรารถนาส่วนตัวมันก็ทำให้เขาเหนื่อยล้ามากพอและหมดกำลังแล้วเขาก็รู้ดีว่าตำแหน่งที่ว่ารองผู้บัญชาการของตนเองนั้นจริงๆ แล้วมันก็แค่ในนาม ฝ่าบาทไม่ได้ให้เขาทำงานสำคัญอะไร วันๆ ก็แค่เดินเล่นไปทั่ว พอกลับจวนก็อย่ไม่สงบอีก ไม่ใช่หวังชิงหลูก่อวุ่นวาย ก็เป็นจ้านเส้าฮวนที่โน้มน้าวให้เขาไปเรียกร้องความยุติธรรมที่จวนโหวอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบเลย อยากจะหาใครมาคุยเล่นเพื่อระบายความคับข้องใจของตนเอง แต่เขาไม่มีเพื่อนแล้ว ไม่มีใครอยากจะสุงสิงกับเขาจริงๆ แล้ว ซ่งซีซีรู้ว่ายี่ฝางยังไม่ตาย มีข่าวมาจากร้านอวี๋นยี่ว
เซี่ยหลูโม่โกรธเล็กน้อยเพราะจ้านเป่ยว่างไม่รู้ความจริงๆ แต่ไม่ได้หึงซีซีเพิ่งออกมาจากห้องทรงพระอักษร เขาก็หยุดนางเพื่อซักถาม ไม่มีสมองจริงๆ ผู้คนที่เข้าออกห้องทรงพระอักษรมีมากมาย ไม่เพียงแต่ขันทีและนางกำนัลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขุนนางที่กำลังรอเข้าเฝ้าอยู่ซ่งซีซีกล่าวว่า "ข้าไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่เขายังมาถามเกี่ยวกับยี่ฝาง ซึ่งทำให้ข้าประหลาดใจหน่อย""อย่าไปสนใจเลย" เซี่ยหลูโม่กางแขนออกแล้วจับนางไว้ในอ้อมแขนของเขา "ไปรับรุ่ยเอ๋อร์เลย"รถม้าแล่นไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และแสงระเรื่อของพระอาทิตย์ตกก็ส่องผ่านช่องว่างในม่านรถม้า กระทบใบหน้าของพวกเขาสองคนราวกับว่าถูกเคลือบด้วยชั้นทองคำอันอบอุ่นไม่มีผิดเมื่อเขามาถึงสถาบัน จางต้าจ้วงก็หยุดรถม้าเรียบร้อยและเข้าไปในสถาบันเพื่อรับคน หลังจากนั้นไม่นาน เขาจับมือรุ่ยเอ๋อร์ออกมาตอนนี้รุ่ยเอ๋อร์ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เมื่อเขาเพิ่งไปสถาบันแรกๆ ถ้าได้เห็นอาและอาเขยมารับ เขาจะกระโดดออกมา ตอนนี้แม้ว่าเขาจะดูตื่นเต้นด้วย แต่ก็ยังเดินอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งขึ้นรถม้า และคารวะให้อาเขยเสร็จ จากนั้นก็ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านอา "ท่านอา วันนี้อาจารย์ได้
ทันทีที่องค์ชายใหญ่พูดเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปรุ่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างท่านอาขอเขาและบีบมุมเสื้อผ้าด้วยกระดากใจ ตัวเขามีกลิ่น ทุกครั้งที่เขากลับจวนจะต้องแช่ตัวในอ่างน้ำยา ซึ่งเป็นยาที่หมอมหัศจรรย์ดันจ่ายให้ เขาดมจนชินแล้วเลยคิดว่าไม่มีกลิ่นความรู้สึกอับอายเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ตอนที่เขาเป็นขอทาน คำพูดที่เขาได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ "เจ้าตัวเหม็น ออกไป"ซ่งซีซีจับมือเล็กๆ ของเขาแล้วใช้มืออีกข้างลูบแก้มของเขา "อาชอบกลิ่นหอมของยานี้นะ"รุ่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น และพบความหาความหวังจากดวงตาอันอบอุ่นของท่านอา จริงสิ แค่โดนหาว่าไม่กี่คำเอง แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอเขายิ้มให้ท่านอาตรงๆ เขาไม่สนใจคนอื่นจะพูดอะไรทั้งนั้นเมื่อเห็นไทเฮามีสีหน้าไม่พอใจ ฮองเฮาฉีก็รีบลุกขึ้นและดึงองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ จากนั้นดุขึ้นมาว่า "ใครสอนให้เจ้าพูดแบบนี้? ขอโทษกับเสนาบดีกั๋วกงซ่งตัวน้อยเร็วเข้า"องค์ชายใหญ่ยคางขึ้นแล้วพูดว่า "ข้าไม่ต้องการขอโทษคนขอทานหรอก"ทันทีที่เขาพูดจบ องค์ชายใหญ่ก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังลอยอยู่ในกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ที่ก้นก็โดนตบอย่างจังไปสองฉาด เขาเจ็บมากจนร้องไห้ออกมา"กลั้
ทางด้านฮ่องเต้ เมื่อจักรพรรดิ์ซูชิงฟังรายงานของอู๋ต้าปั้นเสร็จ ใบหน้าของเขาโกรธจัดจนไม่น่ามองและสาปแช่ง "ไอ้ชั่ว!"อู๋ต้าปั้นกล่าวว่า "ฝ่าบาท ไทเฮาให้สนมฮุ่ยไทเฟย ท่านอ๋องและพระชายาได้ออกจากวังแล้ว บอกว่าต้องให้เสนาบดีกั๋วกงซ่งตัวน้อยคนเดียวอยู่ต่อเพื่อรับประทานอาหาร รอถึงเวลาปิดประตูค่อยส่งเขาออกไปพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสว่า "เจ้าไปที่ห้องครัว ให้พวกเขาทำอาหารที่ไทเฮาชอบ เดี๋ยวข้าจะไปกินเป็นเพื่อนไทเฮา""เจ้าค่ะ!""ไปส่งข้าวที่ตำหนักฉางชุน ให้จ้านเป่ยว่างพาเจ้าองค์ชายใหญ่ไปคุกเข่าที่วิหารบรรพบุรุษ ให้จ้านเป่ยว่างบอกเขาถึงสงครามทั้งหมดที่ตระกูลซ่งทำ ข้าจะสอบถามเขา"อู๋ต้าปั้นคิดว่ามันดีมาก โดยเฉพาะให้จ้านเป่ยว่างพาไปก็ยิ่งดีหลังจากที่อู๋ต้าปั้นออกไป จักรพรรดิ์ซูชิงมองดูเอกสารราชการบนโต๊ะและหมดอารมณ์ในทันทีในช่วงสองปีที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งรัชทายาทจากขุนนางต่างๆ มีมากมาย นทุกราชวงศ์ต่างๆ ที่ผ่านมา การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาทก็รุนแรงมากตลอด รวมทั้งราชสำนัก วังหลัง ตระกูลชุนนาง กองกำลังต่างๆ แต่ละฝ่ายก็แข่งขันกันแต่สำหรับราชวงศ์นี้อาจกล่าวได้ว่าไม่มี
ดวงตาของจักรพรรดิ์ซูชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "มันเป็นความผิดของลูก"ไทเฮากล่าวต่อ "แต่เดิมข้าอยากจะพูดคุยเรื่องมิตรภาพของเจ้ากับคุณชายซ่งหลายคนนั้น และเล่าอดีตของพวกเจ้า จะได้ทำให้เจ้าลืมตัวตนที่ในฐานะฮ่องเต้ และปฏิบัติต่อรุ่ยเอ๋อร์ในฐานะผู้อาวุโสเท่านั้น แต่ข้าไม่ได้ ต้องการทำเช่นนี้ เพราะถ้าต้องการให้พูดถึงความรู้สึกซ้ำๆ เพื่อนึกถึงมัน งั้นความรู้สึกนั้นมันก็เป็นเท็จ ดังนั้นข้าจึงยื่นคำขาดให้เจ้าโดยตรง ต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างดี และห้ามให้ใครมารังแกเขาเป็นอันขาด"คำพูดของไทเฮาทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงหวนนึกถึงความทรงจำมากมายราวกับว่าเขาเพิ่งจำได้ว่าเขาเคยมีเพื่อนสนิท ในเวลานั้นเขาได้ผูกมิตรกับตระกูลซ่ง ไม่สามารถพูดได้ว่าเขาไร้เดียงสาโดยสิ้นเชิง แต่ก็ปฏิบัติต่อมิตรภาพเหล่านั้นด้วยความจริงใจเมื่อพ่อลูกของตระกูลซ่งเสียชีวิต เขาเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ไม่นาน และเขามักจะเอาเวลาไปคิดหาวิธีการรักษาตำแหน่งของตนเอง อยากเอาชนะใจขุนนางต่างๆ และค่อยสร้างผลงานต่อไปเขาเห็นคุณค่าของความสำเร็จในการยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา ดังนั้นเมื่อเขารู้ว่าพ่อลูกของตระกูลซ่งเสียชีวิตแล้ว ในตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกเศ
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว
ณ ตำหนักเฉียนหยาง อู๋ย่วนเจิ้งและหมอหลวงหลินยืนอยู่ด้านข้างเซี่ยหลูโม่กับอู๋ต้าปั้นก็อยู่ข้างเตียง ต่างเฝ้ารอให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจชีพจร หลังจากตรวจชีพจรแล้วหมอมหัศจรรย์ดันถามถึงบันทึกชีพจรในอดีตและสูตรยาที่ใช้รักษาก่อนหน้านี้ หมอหลวงหลิน นำบันทึกมาให้เขา พลางกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “หมอดัน โปรดตรวจดูเถิด” ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าหมอมหัศจรรย์อีกแล้ว เพราะสำนักหมอหลวงก็เคยผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หมอมหัศจรรย์ดันรับบันทึกมา เปิดดูทีละหน้า ภายในตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดาษที่เขาพลิกเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจ นี่คือความหวังสุดท้าย หากหมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าพระอาการมีเวลาเพียงสามเดือน เช่นนั้นก็เหลือเวลาเพียงสามเดือนจริงๆ จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ดวงตาหดเล็กลง ฝ่าพระหัตถ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ พระองค์กำลังรอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดัน ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว อ่านจนครบทุกหน้า จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “บันทึกชีพจรระบุว่ามีอาการปวดต่อเนื่องกว่าหนึ่งเดือน กลางคืนมิอาจข่มพระเนตร และแทบไม่อาจเสวยได้เลย” นี่เป็นเพียงการกล่าวยืนย
ซ่งซีซีกล่าว “หากหมอมหัศจรรย์ดันยอมเข้าวังมา ก็ย่อมจะทำเต็มกำลังแน่นอนเพคะ” ไทเฮาทรงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำพระเนตรก็ร่วงเงียบๆ “แม้จะทำสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงสามารถยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้จัดการเรื่องรากฐานแผ่นดินให้เรียบร้อย” เห็นพระนางหลั่งน้ำตาซ่งซีซีก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวว่า ไทเฮาเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก หยาดน้ำตาของพระองค์มีค่ามาก ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว นางไม่รู้ว่าควรปลอบพระทัยอย่างไร และก็นึกได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาต้องการตอนนี้ คงไม่ใช่คำปลอบโยน นางจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ เซี่ยหลูโม่เดินทางไปยังร้านขายยาเย่าหวัง และได้พบกับหมอมหัศจรรย์ดัน วันนี้หลังจากมีพระบัญชาเรียกเข้าวัง อาจารย์หยูก็มาที่ร้านขายยาเย่าหวังเพื่อแจ้งข่าว ดังนั้นหมอมหัศจรรย์ดันจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาศิษย์ไปด้วย แต่เดินทางกับเซี่ยหลูโม่เพียงลำพัง ชิงเชวี่ยและหงเชวี่ยอยากตามไปด้วย แต่ถูกเขาดุไล่ให้กลับไป บนรถม้าเซี่ยหลูโม่รับปากกับเขาว่าจะปกป้องท่านให้ปลอด
ซ่งซีซีคุกเข่าอยู่เพียงชั่วครู่ แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปชั่วชีวิต ในที่สุด ก็ได้ยินเสียงถอนพระปัสสาสะเบาๆ ของจักรพรรดิ์ซูชิง ก่อนที่พระองค์จะแย้มพระสรวล “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดถึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจไปเสียแล้ว?” ซ่งซีซีรู้สึกคลายความกังวลลงเล็กน้อย แรกเริ่มนั้น นางทั้งโกรธและรู้สึกอัดอั้น จึงกล่าวคำนั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด แต่หลังจากนั้น สิ่งที่กล่าวไปมีส่วนที่เหมือนเป็นการเดิมพัน นางหวาดกลัวอยู่ในใจ เพราะไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อจักรพรรดิ์ที่ใกล้สิ้นพระชนม์แล้วตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยม จะเป็นเช่นไร เพียงแต่ เมื่อจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถามคำนั้นออกมา ไม่ว่านางจะชี้แจงอย่างไร ก็คงไร้ความหมาย มีเพียงการใช้วิธีดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้เท่านั้น ที่อาจจะได้ผล “ลุกขึ้นเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิง ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก ใบหน้าซูบซีดเหลืองซีดนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ “เจ้านี่นะ ยังเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด ปากเจ้าไม่เคยยอมเสียเปรียบเลย ถามเพียงคำเดียว กลับเล่นงานข้าเสียยกใหญ่ จริงๆ แล้ว ข้าก็จนใจจะทำอย่างไรกับเจ้าได้” พระองค์ทอดพระเนตรมองซ่งซีซีแววพระเนตรล้ำลึก “เจ้าล่ะ ไปถือสากอะไรกับคนใกล้ตาย? ไ
ซ่งซีซีไม่ชอบให้นำบิดาของนางมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นัก เพราะไม่ว่าฮ่องเต้จะตรัสสิ่งใด ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับบิดาของนางเลย ไม่มีความจำเป็นต้องเน้นย้ำถึงความจงรักภักดีของบิดาต่อแผ่นดิน เพื่อนำมาเป็นกรอบบังคับคำตอบที่นางจะกล่าวต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่า นางจะชอบหรือไม่ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ฮ่องเต้จะใส่พระทัย นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฮ่องเต้มีเรื่องใดจะถามก็ตรัสเถิด หม่อมฉันฟังอยู่” ความเจ็บปวดเสียดลึกถึงกระดูก ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงไม่เลือกที่จะลองหยั่งเชิงเหมือนเคย แต่รับสั่งตรงไปตรงมาแทน “เจ้าน่าจะเป็นผู้ที่รู้จักเซี่ยหลูโม่ดีที่สุด เจ้าคิดว่า หากข้าสวรรคต แล้วเขาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จะสังหารฮ่องเต้องค์เยาว์แล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิ์หรือไม่?” ซ่งซีซีใจหายวาบ โทสะพลันแล่นขึ้นมาปรากฏในดวงตาเซี่ยหลูโม่ผ่านพ้นจากความเป็นความตายในหนานเจียงกลับมาอย่างยากลำบาก มิควรถูกกล่าวหาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางรู้สึกเจ็บแทนเขา น้ำเสียงจึงเย็นเยียบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพูดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ฮ่องเต้ ข้ากับเซี่ยหลูโม่เป็นสามีภรรยากันเพียงสามปี จะนับได้อย่างไรว่าเป็นผู้ที่รู้จักเขาดีที่สุด? ผู้ที่รู้