ลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดัน มีชื่อเสียงในแวดวงการแพทย์จึงรู่ข่างต่างๆ นานาเร็วกว่าเนื่องจากเหตุดารณ์ของเจียอี้และเรื่องของโรงงานกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้า จึงมีหมอมากมายพูดคุยเรื่องนี้อยู่ ทั้งยังมีคนตั้งคำถามว่ากินยาระบายหนึ่งชามก็ทำให้แท้งได้อย่างไรจากนั้นมีคนหนึ่งก็พึมพำว่า "เอาแต่กินแกงหญ้าฝรั่นผสมโสมซานชีมาตลอด จะไม่แท้งได้อย่างไร อาจไม่รอดชีวิตก็ว่าได้"ประโยคนี้ถูกส่งต่อไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ถึงหูของหงเชวี่ย มันเกี่ยวข้องกับโรงงานแน่นอนว่าหงเชวี่ยต้องตรวจสอบดู จากนั้นถึงรู้ว่าคนที่พูดคำพูดนี้คือลูกศิษย์ของหมอหลิวที่จ่ายยาให้หมอหลิวถือว่าเป็นหมอประจำจวนของจวนโหวผิงหยางแล้ว แต่เขายังคงมีโรงหมอเล็กๆ เป็นของตัวเองและเลี้ยงศิษย์สองสามคนเอาไว้หงเชวี่ยตรวจสอบและถามถามเพิ่มเติม หลังจากสอบสวนหลายครั้งแล้วถึงพบว่าหมอหลิวได้รับคำสั่งจากบางคน และยาที่จัดส่งไปจวนโหวนั้นได้ใส่โสมซานชีและหญ้าฝรั่นไปบ้าง ผสมกับยาอื่นๆ ใช้ลำไยและพุทราแดงเพื่อกลบรสชาติณ ตึกว่างจิงชายวัยกลางคนที่มีผมหนาเล็กน้อยบนขมับของเขากำลังพูดคุยกับ หัวหน้าลู่ เกี่ยวกับ จวนโหว คำพูดของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ถ้าไม่ใช
พ่อบ้านเฟินยังคงเงียบ โดยคาดเดาว่านางรู้มากน้อยแค่ไหน โดยกลัวว่านางกำลังหลอกลวงตนเองอยู่เสิ่นว่านจือพูดเสียงดังว่า "ไม่เห็นจะยากเลย นำตังเขาไปสำนักรัฐเลย ต่อให้เป็นคนตาย ต่อมันเป็นเรื่องที่คนๆ นั้นทำเองก็ต้องให้คำชี้แจงให้""ไม่!" พ่อบ้านเฟินคุกเข่าลงเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ มีสีหน้าหวาดกลัว "นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับฮูหยินรอง ฮูหยินรองจากไปแล้ว ไม่สามารถทำให้ดวงวิญญาณของนางไม่สงบสุข หวังว่าพระชายาเมตตาให้ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของข้าน้อย ส่งคนไปทำลายชื่อเสียงของโรงงานก็เป็นฝีมือข้าน้อยขอรับ"ซ่งซีซีมองเขาอย่างเย็นชา "คุณหนูเสิ่นยังไม่ได้เอ่ยถึงนางซูด้วยซ้ำ เจ้ากลับหุนหันพลันแล่นที่เอ่ยถึงนาง แจ้งความเถอะ"พ่อบ้านเฟินเอาหน้าผากแตะพื้นไม่หยุด เขาตระหนกแล้วจริงๆ "ไม่ได้เด็ดขาดขอรับ พระชายาจะให้ข้าน้อยทำอะไร ข้าน้อยก็จะทำตาม ต่อให้ให้ข้าน้อยตายข้าน้อยก็ยอมเลยขอรับ"ไม่ได้นำตัวไปส่งที่สำนักรัฐ แต่ได้รู้ความจริงจากหงเชวี่ยและพ่อบ้านเฟินมาเกือบทั้งหมดแล้ว ที่เหลือเล็กน้อยนั้นไม่รู้ว่าแม่ลูกโหวผิงหยางจะรู้แผนการของนางซูหรือไม่ จะได้ช่วยปกปิดด้วยหรือไม่นางซูวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้อยู่เบื้องหลังจริ
ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือพาพ่อบ้านเฟินไปที่จวนโหวผิงหยางตั้งแต่นางซูจากไปแล้ว สุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าก็แย่ลงยิ่งขึ้น หลังจากจัดการงานศพเสร็จ นางก็ล้มป่วยเลยเมื่อซ่งซีซีมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งกินยาเสร็จและนั่งพิงบนเตียง จ้านเส้าฮวนกำลังดูแลนางอยู่ นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองซ่งซีซี แต่ในใจก็เหมือนกำลังมีพายุพัดอยู่เพราะซ่งซีซีมาเยี่ยมถึงที่ได้บอกว่ามาเพื่อเรื่องของเจียอี้ อีกทั้งยังพาพ่อบ้านเฟินมาด้วยคนที่จ้านเส้าฮวนเกลียดมากที่สุดก็คือซ่งซีซี และนางจะไม่มีวันให้อภัยนางได้เลยในชีวิตนี้แต่ไม่ว่านางจะเกลียดมากแค่ไหน แต่ก็กลัวซ่งซีซีอยู่ในใจ ด้วยสถานะปัจจุบันของซ่งซีซี หากนางต้องการกำจัดอนุคนหนึ่งจากจวนโหวผิงหยาง มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่าเคยปฏิเสธจดหมายขอพบของซ่งซีซีมาก่อน ส่วนคราวนี้ทางจวนโหวเพิ่งจัดงานศพเสร็จนางก็มาหา ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าเพราะเรื่องของเจียอี้ส่งผลกระทบต่อโรงงานเย็บปักซู่เจิน และเรื่องนี้ต้องการให้จัดการดังนั้นเมื่อซ่งซีซีเข้ามา นางรับผ้าเช็ดหน้าที่จ้านเส้าฮวนยื่นให้เพื่อเช็ดยาที่เหลือตรงมุมปาก และพูดอย่างอ่อนแรงว่า "พระชายามาที่นี่เพราะเรื่องข
จวนโหวผิงหยางใช้เวลาหนึ่งคืนเพื่อสำรวจทุกอย่างให้ชัดเจนหลังจากสอบสวนชัดเจนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามหาโหวผิงหยางมา และบอกแผนการของตนเองว่า "หย่ากับจ้านเส้าฮวน และรับเจียอี้กลับมา ในขณะเดียวกันก็ตามหานักเล่าเรื่องพวกนั้นมาบอกความจริงให้พวกเขารู้และให้พวกเขาออกไปชี้แจง"จริงๆ แล้ว ในใจของโหวผิงหยางก็ไม่ชอบเจียอี้มาก เขาไม่อยากไปรับเจียอี้กลับ และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน"ลูกไม่เห็นด้วย ไหนๆ ก็ผิดแล้วควรเล่นไปตามน้ำ ปกติลูกมักจะถูกนินทาเนื่องจากเรื่องของกู้ชิงเล่อ กว่าจะไล่นางออกไปแล้วได้สงบสักที คนนอกจะลือกันอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนโหวของเรานี่ มันมีแต่ด่าทอกู้ชิงเล่อ หากเราไปชี้แจง ไม่เพียงแต่ทำให้ทางจวนโหวสูญเสียชื่อเสียง ยังทำให้ชื่อเสียงของอาหลูเสียหาย ถึงยังไงนางเป็นหลานของท่านแม่ เป็นแม่ของหลานท่าน ท่านแม่ทำเช่นนี้ก็ใจร้ายไปหน่อย ไม่ว่ายังไงลูกจะไม่ไปรับนางเลย หย่าก็คือหย่าแล้ว"ฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางมองดูเขาและรู้สึกอึดอัดใจมากอีกทั้งก็รู้สึกเศร้าอย่างยิ่งเช่นกันเขามีหัวตัวหนึ่งและตาคู่หนึ่ง แค่ดูเป็นมนุษย์เฉยๆ เท่านั้น เขาไม่ได้ใช้สมองคิดและไม่ลืมตาด
ข่าวลือก็ยุติลงหลังจากนั้นไม่กี่วันความคิดของคนเราก็แปลกด้วย หลังจากประสบกับข่าวลือและการโจมตีด้วยวาจาไม่รู้จบ บางคนก็เริ่มพิจารณาความหมายของโรงงานเย็บปักซู่เจินอย่างจริงจังอาจเป็นเพราะบทความของนักวิชาการเหล่านั้นได้ผล ผู้เรียนบางคนก็อ่านใจความในแง่ดีอย่างกับนักเล่าเรื่องของร้านชาว่า จะว่าไปโรงงานเย็บปักซู่เจินนั้นก็แค่ให้ทางออกทางหนึ่งแก่เหล่าผู้หญิงที่ถูกหย่า และไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่ผิดคุณธรรมอะไรสักหน่อย หรือว่าพวกสุภาพบุรุษไม่มีความเมตตากรุณาเช่นนี้เหรอ?แต่คนที่คิดเช่นนี้ก็มีแค่ส่วนน้อย คนส่วนมากยังคงไม่เห็นด้วยกับมัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านหรือดูหมิ่นมันมากเหมือนแต่ก่อน และสามารถตั้งสติมาวิเคราะห์อย่างใจเย็นในเวลานี้ เซี่ยหลาน ท่านหญิงหยงอันเข้าสู่โรงงานเย็บปักซู่เจิน นางประกาศว่าตนเองจะออกจากจวนอ๋องฮวย ตัดขาดความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกับอ๋องฮวย จากนี้ไปโรงงานก็จะเป็นบ้านของนางการตัดสินใจนี้ นาง นางไม่ได้คิดขึ้นมาอย่างกะทันหันตอนที่ไม่มีใครยอมเข้าพักโรงงาน นางก็อยากไปแล้ว ได้ปรึกษากับศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวมาหลายครั้ง พวกนางคัดค้าน โดยคิดว่ามันดูจงใจไปหน่อย ช่วยโร
ใบหน้าของเจียอี้ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา มีสีหน้าหงุดหงิด "โอ้ย ข้าพูดกับเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าจู้จี้ อย่าจู้จี้อย่ามาพูดไม่หยุด เจ้าทำตัวเช่นนี้มันน่ารังเรียจนะ หากข้าเป็นนายหญิง ข้าไม่เอาคนใช้อย่างเจ้าหรอก"ป้าซุนโต้แย้งกลับว่า "งั้นเจ้าก็กลับไปเป็นนายหญิงของเจ้าแล้วหาคนใช้ที่เอาใจเอาใจคอยรับใช้เจ้าสิ"เจียอี้สบถขึ้นมา "แน่นอนว่าข้าจะกลับ มีชีวิตดีๆ ไม่ใช้ อยู่ที่นี่ต่อมาให้คนใช้อย่างเจ้ารังแกหรือไง""ไปๆๆ ไม่ต้องเก็บเสื้อผ้าข้าวของอะไร กลับไปมีแต่ใช้ของดีๆ" ป้าซุนกล่าวเจียอี้เงยหน้าขึ้นทันที "ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดจะแตะต้องเสื้อผ้าของข้า ในเมื่อมอบให้ข้าแล้ว งั้นก็เป็นของข้าแล้ว"ป้าซุนทั้งยิ้มและดุว่า "เจ้านี่ใจแคบจริงๆ เสื้อผ้าพวกนั้นเอากลับไปก็ใส่ไม่ได้ จะเอาไปทำไม เสื้อผ้าที่คนใช้ของทางจวนโหวก็ไม่ยอมใส่ด้วยซ้ำ"เจียอี้กล่าวว่า "ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่ ข้าก็จะเอากลับไป""ก็ได้ๆๆ งั้นข้าไปจัดเก็บให้ รีบกลับไปเถอะ" ป้าซุนหันหลังกลับ"หยุดนะ" เจียอี้กระโดดขึ้น ทำหน้าตาเหมือนเสือโคร่ง "อย่าแตะต้องสิ่งของของข้า ข้าจะจัดเก็บเอง"นางพูดอย่างนั้น จากนั้นก็วิ่งกลับไปห้องของตนเ
เจียอี้มองดูผู้หญิงที่มีสีหน้าเศร้าโศกตรงหน้าแล้วพูดว่า "หากเจ้ากำลังมองหาทางออกเพื่อเอาชีวิตรอด ก็เข้าไปเถอะ แม้ว่าอาจจะใช้ชีวิตลำบากหน่อย แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้อีกเลย"น้ำตาของผู้หญิงคนนั้นก็พรั่งพรูจากก้นดวงตาทันทีราวกับแม่น้ำที่ไหลล้นตลิ่งนางชื่อของเธอคือโม่หลานจวิน เดิมทีนางกับสามีเฉินเซิ่งเปิดร้านย้อมผ้าที่เมืองหลวง มีลูกสาวคนหนึ่ง ไม่เชิงว่าร่ำรวยมาก แต่สามีภรรยาสองคนรักใคร่กัน ไม่ขาดแคลนเงิน ถือว่ามีชีวิตที่ดีเพียงแต่ตอนนางให้กำเนิดลูกสาวคนั้นมีเลือดออกเยอะ หมอบอกว่าสามารถมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว น่าเสียดายที่นางจะไม่สามารถมีบุตรได้อีกนางเสียใจมาก แต่สามีของนางก็คอยปลอบใจนาง โดยบอกว่าการมีลูกสาวหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว และเขามีน้องชายสองคนที่สามารถสืบเชื้อสายตระกูลเฉินได้ในฐานะพี่สะใภ้คนโต ทั้งยังมีเงินด้วย จึงช่วยน้องสามีจัดเรื่องการแต่งงานด้วย พวกเขทั้งสองต่างให้กำเนิดบุตรชาย ในเวลานั้น น้องสามีทั้งสองยังเคารพนางมาก ทุกๆ เรื่องก็จะถามความเห็นของพี่สะใภ้ก่อนหนึ่งปีที่แล้ว สามีและลูกสาวพบกับโจรในระหว่างทางกลับบ้านเกิดเยี่ยมญาติ ตอนไปยังเป็นคนเป็นๆ อย
โม่หลานจวินย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่สามของแถวผิง และโรงงานเย็บปักซู่เจินได้รับคนแรกมาอย่างแท้จริงเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางนั่งข้างเครื่องปักและเริ่มเย็บปักถักร้อย นางก็ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจการเริ่มต้นมันยากลำบากมากจริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็เริ่มแล้ว หวังว่าพวกผู้หญิงที่สิ้นหวังนั้นจะนึกถึงโรงงานเย็บปักซู่เจินก่อนที่พวกนางจะแสวงหาความตายจ้านเส้าฮวนถูกหย่า และได้กลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง หวังชิงหลูรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก แต่เกิมก็ไม่อยากให้นางเข้าไป แต่จ้านเป่ยว่างยืนกรานที่จะรับนางกลับจวน นางโกรธมากจนกลับบ้านพ่อแม่อีกครั้งนางบ่นกับแม่ตนเองว่าบัดนี้จ้านเป่ยว่างไม่มีเงินเดือนอีก จึงทำงานไม่จริงจังด้วย วันๆ ทำตัวเหมือนคนไร้ต่า นางไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าก็ชินแล้ว และปล่อยให้นางร้องไห้แต่นางจีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อได้ งั้นก็หย่ากับเขาสิ หลังหย่าก็อย่ากลับมาบ้านนี้อีก ไปโรงงานเย็บปักซู่เจินเถอะ แต่เกรงว่าโรงงานเย็บปักซู่เจินคงไม่รับเจ้า ที่นางหมินกระโดดลงแม่น้ำ เจ้าได้ออกแรงมาไม่น้อยด้วย"หวังชิงหลูกลัวที่จะได้ยินชื่อของหมินซู่เจ