“สวัสดีตอนเช้าครับคุณพ่อ”
ฟาเบียนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่ มองลูกชายที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาทักทาย
“สวัสดีไอ้ลูกรัก ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าตาแช่มชื่นนักล่ะ”
ผู้เป็นลูกชายเดินผิวปากเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่างกระจก
“คงเพราะผมได้กินอาหารเช้าตรงเวลามั้งครับ”
ฟาเบียนหัวเราะชอบใจ “นี่แกไปเอามุกตลกฝืดๆ แบบนี้มาจากที่ไหนวะ”
“มันไม่ใช่มุกนะครับคุณพ่อ แต่มันคือเรื่องจริง เมื่อตอนเจ็ดโมงผมจอดรถข้างทาง และรับประทานอาหารเช้าครับ”
“ผีเข้าแกหรือไงวะ ปกติเห็นดื่มแต่กาแฟดำ”
ผู้เป็นลูกชายไหวไหล่น้อยๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มละไม “ก็มันอยากขึ้นมากะทันหันนี่ครับ”
คนเป็นพ่อหัวเราะร่วนอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “เมื่อเช้าแม่แกคุยอะไรด้วยหรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ มีอะไรหรือครับพ่อ”
“ก็เรื่องแต่งงานกับหนูเจนจิราไง”
สีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอเล็กซิสจางหายไป และก็มีความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่
“ไหนว่ารอยายนั่นเรียนจบก่อนไงครับ”
“ก็รอตามนั้นนั่นแหละ แต่เรื่องที่แม่จะคุยกับแกน่ะ น่าจะเป็นเรื่องสินสอดมากกว่า”
“อย่ามาปรึกษาผมเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่มีความเห็น สำหรับผม แค่แต่งงานตามหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อกับแม่พอครับ”
อเล็กซิสผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ก่อนจะเอ่ยกับบิดา
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
“ตามสบายเถอะ แล้วเย็นนี้อย่าลืมว่าแกมีนัดรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวหนูเจนล่ะ”
“ครับ”
ฟาเบียนมองตามร่างสูงใหญ่ของลูกชายเพียงคนเดียวไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรอเล็กซิสได้ เมื่อเมียรักดันไปให้คำสัญญากับเพื่อนซี้ของตนเองเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
“นังเจน... ทางนี้”
เจนจิราที่เพิ่งก้าวลงจากรถสปอร์ตสีแดงเพลิง หันไปตามเสียงเรียกก็เห็นปัทมายืนกวักมือเรียกอยู่
“นี่แกไม่เข้าเรียนหรือไงนังยุ้ย”
“แหม ก็เหมือนแกนั่นแหละยะ ที่โดดเรียนไปครึ่งค่อนวันน่ะ ว่าแต่ถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดไปกี่ยกล่ะ” ปัทมาถามอย่างรู้ทัน
เจนจิรายิ้มรับหน้าตาเบิกบาน “เท่าที่นับนะ สามหรือสี่รอบนี่แหละ จะบอกอะไรให้นะแก พี่อ๊อดใหญ่มาก แถมเอวดุฉิบหาย ฉันนี่ร่อนตามแทบไม่ทันเลย แต่ฟินว่ะ”
“แกก็มัวแต่ร่อนรับจ็อบพิเศษอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจ็อบหลักก็ถูกขโมยไปจนได้หรอก”
“แกหมายถึงอะไรวะนังยุ้ย”
“ก็พ่อคู่หมั้นสุดหล่อของแกไงล่ะ”
คำพูดของปัทมาทำให้เจนจิราสนใจขึ้นมาทันที “แกหมายถึงพี่อเล็กเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่แกรู้ไหมว่าเมื่อเช้าฉันเจอพี่อเล็กของแกด้วยล่ะ”
“เจอที่ไหนวะ”
“ที่ร้านอาหารตอนเช้า กับที่มอนี่”
คิ้วโก่งที่ผ่านการเขียนทับมาอย่างดีของเจนจิราเลิกสูงด้วยความประหลาดใจ
“พี่อเล็กมาทำอะไรแถวนี้วะ”
“ก็มาส่งขี้ข้าของแกไงนังเจน”
เจนจิรายังไม่ค่อยเข้าใจนัก “แกหมายความว่ายังไงวะนังยุ้ย พูดให้เคลียร์ๆ สิวะ”
“เมื่อเช้าฉันเห็นพี่อเล็กของแกพานังเตยไปกินข้าวเช้า แถมยังขับมาส่งมันที่นี่อีก”
“ฮะ?!”
“ไม่ฮะหรอก มันเรื่องจริง ฉันเห็นกับตาเลยล่ะ” ปัทมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก
เจนจิรากำมือแน่น กัดฟันจนแทบจะหักคาปาก
“อีเตยยยย...”
“นั่นแกจะไปไหนวะ นังเจน” ปัทมารีบเดินตามเจนจิรามาติดๆ เมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินเร็วๆ
“ฉันก็จะไปชำระความกับน้องเตยไงล่ะ”
ปัทมาหัวเราะสะใจ และรีบสนับสนุน “ดีเลย ตบมันให้ตายคามือเลยนะ เห็นเงียบๆ เรียบร้อยแบบนั้น แม่งแรดฉิบหาย”
“แกไม่ต้องกังวลหรอกนังยุ้ย เพราะถ้าวันนี้เลือดนังเตยมันไม่กบปาก อย่ามาเรียกฉันว่าเจนจิราเลย”
เพล้งงงง!
จานอาหารที่เตยหอมกำลังกินอยู่ถูกกระชากเหวี่ยงทิ้งลงไปกับพื้น
“คุณเจน...!”
“อีแมวขโมย!”
เส้นผมของเตยหอมถูกกระชากด้วยอุ้งมือของเจนจิราเต็มแรง หล่อนเจ็บระบมคล้ายกับหนังศีรษะแทบจะฉีกขาด ก่อนที่ใบหน้าจะถูกฟาดไม่ยั้ง
เพียะๆๆๆ
ใบหน้าของเตยหอมถูกกระแทกด้วยฝ่ามือของเจนจิราจนสะบัดหลายครั้ง เลือดสีแดงสดไหลออกมาซึมที่มุมปาก รัชนกพยายามเข้าห้ามปราม แต่เจนจิราไม่สนใจ จับศีรษะของเตยหอมขยี้กับจานอาหารของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จนเปื้อนเปรอะ
“หยุดนะ อย่าทำอะไรเตยนะ...”
“มึงหุบปากไปเลยอีนก ก่อนที่จะถูกตบอีกคน”
ปัทมาชี้หน้าด่ารัชนก และกันไม่ให้เข้าไปช่วยเตยหอมที่กำลังถูกเจนจิรายำ
เวลาผ่านไปหลายนาที เตยหอมก็ยับเยินอยู่แทบเท้าของเจนจิราทั้งน้ำตา ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้คน แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย
“จำเอาไว้นะมึงอีเตย มึงเป็นขี้ข้ากู ดังนั้นอย่าสะเออะมายุ่งกับผู้ชายของกู!”
เจนจิรากระทำย่ำยีทั้งจิตใจและร่างกายของเตยหอมจนพอใจแล้วก็พากันเดินออกไปพร้อมกับปัทมา
“เตย... เป็นยังไงบ้าง... มาฉันช่วย...”
รัชนกช่วยพยุงเตยหอมที่สภาพสะบักสะบอมขึ้นจากพื้น และรีบพาไปล้างเนื้อล้างตัวในห้องน้ำ
“ทำไมเธอยอมให้มันตบแบบนั้นล่ะ สู้มันสิ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย” รัชนกพูดอย่างแค้นแทน
“ฉัน... เป็นคนใช้ของคุณเจน... หน้าที่คือรับใช้คุณเจน ห้ามขัดใจเด็ดขาด”
“แต่เธอก็เป็นคนเหมือนกันนะเตย”
“ความเป็นคนของฉัน มันหมดสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่แม่พาฉันมาฝากเอาไว้ที่บ้านหลังนั้นแล้วล่ะ”
“โธ่ เตย...” รัชนกมองเพื่อนรักอย่างแสนจะเวทนา
ตกเย็นเจนจิราก็เดินหน้ายุ่งกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะถูกเกรียงไกรเรียกเข้าไปพบ
“นังเตยมันมาฟ้องพ่ออีกใช่ไหมคะ”
“เด็กเตยไม่ได้ฟ้องอะไรพ่อหรอก พ่อถามยังไม่ยอมบอกเลยว่าหน้าตาไปโดนอะไรมา”
“แล้วพ่อเรียกเจนเข้ามาหาทำไมคะ”
“ถึงเด็กเตยไม่ได้ฟ้อง แต่น้องเจนคิดว่าพ่อจะไม่รู้เลยเหรอว่าเด็กเตยไปถูกใครตบมา”
เจนจิราจ้องหน้าบิดาอย่างไม่พอใจ “นี่พ่อคิดจะปกป้องมันเหรอคะ”
“พ่อไม่ได้จะปกป้องใคร พ่อแค่ไม่อยากให้น้องเจนเอาแต่ใจมากเกินไปนัก เพราะถ้าน้องเจนยังเป็นแบบนี้ไม่เลิก แต่งงานแต่งการไปก็คงอยู่กันไม่ยืด”
“นี่พ่อแช่งเจนเหรอคะ!”
“น้องเจน... พ่อหวังดีกับลูกนะ”
เจนจิราจ้องหน้าเกรียงไกรอย่างไม่เคารพ เพราะปิยนุชกรอกหูกรอกหัวมาตั้งแต่เด็กว่าเกรียงไกรแอบมีเมียน้อย และก็อาจจะรักลูกเมียน้อยมากกว่าหล่อน
“ถ้าพ่อรักเจนจริงๆ นังเตยก็คงไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้หรอกค่ะ”
“น้องเจน...”
เจนจิราลุกขึ้นยืน “แล้วพ่อก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงอะไรเจนหรอกนะคะ เพราะเจนน่ะมีเสน่ห์พอที่จะทำให้พี่อเล็กหลงหัวปักหัวปำ ขอตัวค่ะ เจนจะไปหาแม่”
เกรียงไกรมองลูกสาวสุดที่รักที่เพิ่งเดินกระแทกเท้าออกไปด้วยความเสียใจ
“นี่มันคงเป็นเวรเป็นกรรมของฉันสินะ”
แล้วภาพน้ำตานองหน้าของสุดาก็ผุดขึ้นมาในสมอง ตอกย้ำให้ชายสูงวัยยิ่งเจ็บปวดทรมาน
“น้องเจน... กลับมาแล้วเหรอลูก” ปิยนุชที่นั่งเช็ดถูเครื่องประดับอยู่ในห้องรับแขกเอ่ยทักทายลูกสาว
เจนจิราเดินเข้ามาหามารดา ก่อนจะฟ้อง “พ่อเรียกเจนเข้าไปตำหนิค่ะ เรื่องที่ทำร้ายนังเตยที่มอ”
ปิยนุชละมือจากการทำความสะอาดเพชรเม็ดงาม ขึ้นมองหน้าลูกสาว ก่อนจะให้ท้าย
“อย่าไปสนใจพ่อเขาเลย น้องเจนอยากทำอะไรก็ทำเลยนะลูก แม่อยู่ข้างลูกเสมอ”
“ก็มีแต่คุณแม่คนเดียวนี่แหละค่ะที่รักเจนจริงๆ”
“ถูกต้องแล้วล่ะน้องเจน มีแม่คนเดียวเท่านั้นแหละที่รักและหวังดีกับน้องเจน”
“เจนทราบค่ะ”
“น้องเจนขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ แล้วก็แต่งตัวสวยๆ ด้วยล่ะ วันนี้พี่อเล็กจะมากินมื้อค่ำที่นี่”
“จริงเหรอคะคุณแม่”
เจนจิรายิ้มกว้างอย่างดีใจ เนื้อสาวเต้นระริกด้วยความแรดร่าน เพราะอเล็กซิสน่ากินเหลือเกิน
“จริงสิ แม่จะไปโกหกน้องเจนทำไมล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ”
เจนจิรากำลังจะเดินออกไป แต่ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันกลับมาหามารดาอีกครั้ง
“คุณแม่ เจนมีเรื่องจะฟ้อง”
“มีอะไรเหรอน้องเจน”
“ก็เมื่อเช้าน่ะค่ะ นังเตยมันแรดนั่งรถไปกับพี่อเล็กค่ะ เพื่อนๆ ของเจนเห็นกันตั้งหลายคน”
“อ้าว ก็แม่เห็นมันออกไปกับน้องเจนตอนเช้าไม่ใช่หรอกเหรอ”
“ก็พอดีเจนไล่มันลงข้างทางน่ะค่ะ แต่มันก็ดันขึ้นรถมากับพี่อเล็กได้ยังไงก็ไม่รู้”
“พ่ออเล็กคงขับผ่านมาพอดีหรือเปล่า ก็เลยมีน้ำใจพามันมาด้วยน่ะ”
“ก็อาจจะเป็นอย่างที่คุณแม่พูดนั่นแหละค่ะ แต่ยังไงซะ เจนก็ไม่ไว้ใจนังเตย เจนเห็นมันมองพี่อเล็กตาเป็นมัน”
“พ่ออเล็กไม่มีทางตาต่ำไปเอามันหรอก เชื่อแม่สิน้องเจน”
“ว่าได้เหรอคะ ขนาดคุณพ่อยังตาต่ำไปคว้าแม่นังเตยมาทำเมียได้เลย เจนไม่มีทางยอมให้อดีตมันซ้ำรอยหรอกค่ะ”
เมื่อถูกลูกสาวย้อนแย้งด้วยความจริงที่ชวนเจ็บปวด ปิยนุชก็ยิ่งคั่งแค้น
“เดี๋ยวแม่จะเรียกนังเตยมาเฆี่ยนให้หลังขาดเลย ให้สาสมกับที่มันบังอาจมายุ่งกับคู่หมั้นของน้องเจน”
“ทำมันไปก็ตายเปล่าค่ะคุณแม่” เจนจิรายิ้มเยาะ ดวงตาเป็นประกายร้ายกาจ
“แล้วน้องเจนจะให้แม่ทำยังไง”
“เจนต้องการเลื่อนการแต่งงานระหว่างเจนกับพี่อเล็กให้เข้ามาเร็วที่สุดค่ะ”
“แต่น้องเจนยังเรียนไม่จบเลยนะลูก แม่ว่ารอให้เรียนจบก่อนไม่ดีเหรอ”
เจนจิราส่ายหน้าดิก สายตามุ่งมั่น “ไม่รอค่ะ เจนอยากมีผัวแล้ว”
ปิยนุชฟังคำพูดของลูกสาวแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก นี่หล่อนเลี้ยงลูกมาแบบผิดๆ ใช่ไหมเนี่ย
“น้องเจนก็มีอยู่ตลอดไม่ขาดมือไม่ใช่เหรอลูก เรื่องพี่อเล็กเอาไว้ก่อนดีกว่า”
“เจนต้องการแต่งงานกับพี่อเล็กเร็วๆ ค่ะ และคุณแม่ก็ต้องช่วยเจนด้วย ไม่อย่างนั้นเจนจะไม่ไปเรียนหนังสือแล้ว” เจนจิรายื่นคำขาดอย่างเด็กเอาแต่ใจ
“น้องเจน...”
“คุณแม่รับปากเจนสิคะว่าจะไปเร่งคุณป้าเจสให้เจน รับปากเจนสิคะ”
ปิยนุชถอนใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับความเอาแต่ใจของลูกสาวบังเกิดเกล้า
“แม่รับปากก็ได้ แม่จะพูดให้ แต่ถ้าคุณป้าเจสไม่ยอม แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงนะน้องเจน”
“ถ้าคุณแม่ออกปาก ยังไงป้าเจสก็ต้องยอมค่ะ” เจนจิราเต็มไปด้วยความหวัง ก่อนจะรีบก้มลงหอมแก้มมารดาอย่างประจบประแจง “เจนขอตัวไปอาบน้ำให้ตัวหอมๆ ก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก”
ปิยนุชมองตามร่างของลูกสาวไปด้วยความไม่สบายใจเลย นับวันเจนจิราก็ยิ่งเอาแต่ใจ
หลังจากอึดอัดจนแทบอาเจียนกับท่วงท่าทอดสะพานเสริมใยเหล็กของเจนจิรากลางโต๊ะอาหารค่ำอยู่นานจนแทบอาเจียน อเล็กซิสก็ปลีกตัวออกมายืนสูบบุหรี่อยู่นอกตึกใหญ่ควันบุหรี่สีตะกั่วลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาคมกริบจับจ้องมองแผ่นฟ้ากว้าง กระทั่งหางตารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนจึงหันไปมองเขาขยี้ก้นบุหรี่กับถ้วยแก้ว ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเงาตะคุ่มที่พบเห็น“ทำอะไรน่ะ”“อ๊ะ...”เขาคว้าแขนเจ้าของเงาตะคุ่มเอาไว้ และก็พบว่ามันเรียวเล็กเกินกว่าจะเป็นเรียวแขนของบุรุษ“เตยหอม...”แม้จะมองไม่ชัดนัก แต่แววตาตื่นตระหนกแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหล่อน“เอ่อ... ปล่อยเตยก่อนค่ะ”เขายอมปล่อยแขนเรียวออกจากอุ้งมือ แต่ก็ยังไม่ยอมขยับออกห่าง“มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ เดี๋ยวงูเงี้ยวก็ฉกเอาหรอก”“เอ่อ... เตยทำต่างหูหล่นน่ะค่ะ พยายามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอเลยค่ะ”ดวงตาของอเล็กซิสละจากดวงหน้าของเตยหอม มามองที่ติ่งหูเล็กเพื่อจะมองต่างหู แต่เส้นผมสีดำขลับบดบังเอาไว้ทำให้เขาต้องยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมนุ่มนั้นจนพ้นทาง และจ้องมองต่างหูที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวแม้จะมีแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟของตัวตึกสาดส่องกระทบลงมา แต่เขาก็
“ไม่เอาน่าลูกรัก อย่าขัดใจแม่แบบนี้สิ แต่งตอนนี้ หรือว่าแต่งตอนไหนมันก็ต้องแต่งเหมือนกันนั่นแหละลูก เชื่อแม่เถอะ แต่งๆ ไปซะ แม่จะได้สบายใจ”“คุณแม่สบายใจ แต่ผมทุกข์ใจนะครับ”“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทุกข์ใจเลยนี่พ่ออเล็ก หนูเจนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ลูกน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยรู้ไหม”“แต่ผมไม่ได้รักเธอครับ”“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละน่า เชื่อแม่เถอะนะ”อเล็กซิสกระแทกลมออกจากปากแรงๆ อย่างหงุดหงิด มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากหลายครั้ง“โอเค ผมแต่งเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าคนดีของคุณแม่ไม่ได้ซิงเหมือนราคาคุย ผมจะหย่าทันที”เจสสิก้าหัวเราะร่วน “แหม เอาเรื่องนี้มาต่อรองกับแม่เชียวนะพ่ออเล็ก ไหนว่าไม่สนใจพรหมจรรย์ของผู้หญิงไงล่ะลูก”“ผมไม่ได้ไยดีเยื่อนรกพวกนั้นหรอกครับ แต่คุณแม่คุยเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องเจนเรียบร้อยอย่างนั้นเรียบร้อยอย่างนี้ แถมยังอ่อนต่อโลกอีก ก็คอยดูกันสิว่าจะซิงอย่างที่คุณแม่โม้เอาไว้หรือเปล่า”“ลูกไม่มีวันได้หย่าจากหนูเจนหรอกจ้ะลูกรัก เพราะหนูเจนของแม่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำค้างกลางหาวเสียอีก”เจสสิก้าหัวเราะชอบใจ ส่วนอเล็กซิสนั่งหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด แต่อี
เจริญวัฒนากุล หนึ่งในตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองไทย ประมุขประจำบ้านก็คือ นายเกรียงไกร เจริญวัฒนากุล นายห้างร้านทองชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบแทบทุกจังหวัดของเมืองไทย ส่วนภรรยาของเขาก็คือ นางปิยนุช เจริญวัฒนากุล หรือที่คนในบ้านเรียกติดปากว่า ซ้อนุช ปิยนุชเป็นหญิงวัยสี่สิบแปดกะรัต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะชีวิตสุขสบายมีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด ส่วนนิสัยใจคอนั้นเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว และไม่มีน้ำใจ แถมยังขี้หึงเป็นที่หนึ่ง ทำให้ปิยนุชกับเกรียงไกรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ของเกรียงไกร...เมื่อสิบแปดปีก่อน ปิยนุชจับได้คาหนังคาเขาว่าเกรียงไกรแอบเข้าห้องของสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดชื่อสุดา หล่อนขับไล่สุดาออกจากบ้านในคืนวันนั้นทันที ทั้งๆ ที่สุดาบอกความจริงกับหล่อนว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองถูกเกรียงไกรข่มเหงไม่ได้สมยอม แต่ปิยนุชไม่ยอมฟัง เพราะหลงเชื่อสามีของตัวเอง ที่บอกว่าสุดาเป็นคนยั่วยวนเพราะใฝ่สูงและตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ปิยนุชก็ไม่เคยรับคนใช้หน้าตาดีอีกเลย อ้วน ดำ เตี้ย สูงวัย เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำงานในคฤหาสน์เจริญวัฒนากุล ซึ่งก็ได้สร้างความขั
“เอ่อ...” หล่อนลังเลอยู่สักพักก็จำต้องก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของอเล็กซิสอย่างไม่มีทางเลือก “ขะ... ขอบคุณมากนะคะที่มีน้ำใจกับเตย”“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ก็บอกว่าผ่านทางนั้นพอดีไง”เขาระบายยิ้ม ก่อนจะหักพวงมาลัยพารถคันงามขึ้นไปวิ่งบนถนนอีกครั้งอเล็กซิสลอบมองเตยหอม ก็พบว่าหล่อนนั่งตัวลีบแทบจะชิดประตูรถจนน่าสงสาร หล่อนคงจะประหม่า“อยู่ปีไหนแล้วล่ะเธอน่ะ”“เอ่อ ปีสองแล้วค่ะ”“แล้วเธอเรียนคณะอะไรหรือ”“เอ่อ... เตยเรียนการโรงแรมค่ะ” หล่อนตอบโดยที่ตัวเองยังคงก้มหน้างุดอยู่ตลอดเวลา“เฮ้ย จริงอ่ะ บ้านฉันก็ทำธุรกิจโรงแรม ถ้าเรียนจบแล้วก็มาฝึกงานได้นะ ฉันยินดีรับ”“ขะ... ขอบคุณค่ะ”“เธอนี่ขอบคุณบ่อยจัง มันติดปากมากหรือไงไอ้คำนี่นะ”หล่อนเผลอเงยหน้าและหันไปมองเขา ก็พบว่าเขาหันมามองพอดี ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ทอดมองมาทำให้หัวใจสาวเต้นแรงมาก จนแทบจะกระดอนออกมาจากทรวงอก“เอ่อ...”อเล็กซิสหัวเราะขบขัน ส่ายหน้าไปมา เขาคงจะเอือมระอาในความน่าเบื่อหน่ายของหล่อนนั่นแหละ“ทำไมไม่ไปเรียนพร้อมกับเจนจิราล่ะ อยู่มอเดียวกันไม่ใช่หรือ”“เอ่อ...” หล่อนคงต้องโกหกออกไป เพราะหากพูดความจริงเจนจิราจะต้องดูแย่ในสายตาของอเล็ก