“ไม่เอาน่าลูกรัก อย่าขัดใจแม่แบบนี้สิ แต่งตอนนี้ หรือว่าแต่งตอนไหนมันก็ต้องแต่งเหมือนกันนั่นแหละลูก เชื่อแม่เถอะ แต่งๆ ไปซะ แม่จะได้สบายใจ”
“คุณแม่สบายใจ แต่ผมทุกข์ใจนะครับ”
“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทุกข์ใจเลยนี่พ่ออเล็ก หนูเจนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ลูกน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยรู้ไหม”
“แต่ผมไม่ได้รักเธอครับ”
“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละน่า เชื่อแม่เถอะนะ”
อเล็กซิสกระแทกลมออกจากปากแรงๆ อย่างหงุดหงิด มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากหลายครั้ง
“โอเค ผมแต่งเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าคนดีของคุณแม่ไม่ได้ซิงเหมือนราคาคุย ผมจะหย่าทันที”
เจสสิก้าหัวเราะร่วน “แหม เอาเรื่องนี้มาต่อรองกับแม่เชียวนะพ่ออเล็ก ไหนว่าไม่สนใจพรหมจรรย์ของผู้หญิงไงล่ะลูก”
“ผมไม่ได้ไยดีเยื่อนรกพวกนั้นหรอกครับ แต่คุณแม่คุยเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องเจนเรียบร้อยอย่างนั้นเรียบร้อยอย่างนี้ แถมยังอ่อนต่อโลกอีก ก็คอยดูกันสิว่าจะซิงอย่างที่คุณแม่โม้เอาไว้หรือเปล่า”
“ลูกไม่มีวันได้หย่าจากหนูเจนหรอกจ้ะลูกรัก เพราะหนูเจนของแม่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำค้างกลางหาวเสียอีก”
เจสสิก้าหัวเราะชอบใจ ส่วนอเล็กซิสนั่งหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด แต่อีกคนที่แอบฟังอยู่ด้านนอกกลับกำลังเต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“ถ้าพี่อเล็กรู้ว่าเราไม่ซิง พี่อเล็กก็จะหย่ากับเรา นี่จะทำยังไงดีนะ บ้าชะมัด!”
เจนจิรากำมือแน่น หน้าตาเคร่งเครียด ก่อนจะรีบวิ่งไปปรึกษาปิยนุชด้วยความร้อนใจ
“คุณแม่”
ปิยนุชที่ปลีกตัวออกมาเข้าห้องน้ำเห็นลูกสาววิ่งกระหืดกระหอบมาหาก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้
“หน้าตาตื่นมาเชียว มีอะไรเหรอน้องเจน”
“คุณแม่... แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว...”
“แย่อะไรเหรอ มีเรื่องอะไร หรือว่านังเตยมันแอบเข้าใกล้พ่ออเล็กอีกใช่ไหม”
“เรื่องนั้นมันเรื่องเล็กค่ะคุณแม่ แต่เรื่องที่ใหญ่โตและเราต้องหาทางออกมันคือเรื่องนี้ค่ะ” เจนจิราหน้าตาเครียดจัด
“เรื่องอะไรเหรอน้องเจน”
“ก็เรื่องที่เจนไม่ซิงยังไงล่ะคะ”
“อ้าว แล้วมันใหญ่ตรงไหน น้องเจนก็ไม่ซิงมาตั้งแต่ประถมแล้วไม่ใช่เหรอ”
เจนจิรามองหน้ามารดา ก่อนจะเล่าทุกอย่างที่ได้ยินให้ท่านฟัง ซึ่งพอปิยนุชได้ยินแล้วก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“คุณแม่ต้องช่วยเจนนะคะ เจนไม่ต้องการหย่ากับพี่อเล็ก เจนรักพี่อเล็กค่ะ”
“ใจเย็นๆ น้องเจน...”
“เจนจะใจเย็นได้ยังไงกันล่ะคะ ในเมื่อหายนะกำลังใกล้เข้ามาหาเจนแล้วน่ะ” เจนจิราโวยวายไร้สติ
“มันต้องมีทางออก เชื่อแม่นะ แม่จะพยายามคิด ส่วนตอนนี้เราต้องสงบสติอารมณ์ และเข้าไปหาคุณป้ากับพ่ออเล็กก่อน แล้วอย่าแสดงพิรุธให้สองคนนั้นเห็นล่ะ เข้าใจไหมน้องเจน”
“ค่ะ คุณแม่”
ปิยนุชกุมมือลูกสาวเอาไว้ ก่อนจะพาเดินกลับไปยังห้องโถงอีกครั้ง
“คุณจะต้องช่วยฉันคิดหาทางออกนะคะคุณเกรียง”
ปิยนุชพูดเสียงดังขึ้นทันที เมื่อเห็นเกรียงไกรเดินออกมาจากห้องน้ำ
เกรียงไกรกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
ปิยนุชเห็นหน้าสามีก็อดที่จะตวาดลั่นไม่ได้ “ทำไมคุณต้องทำหน้ายุ่งด้วย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับน้องเจนเลยนะคะ หรือว่าคุณไม่รักลูก”
เกรียงไกรใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาทรุดตัวนั่งบนเตียง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ที่ไม่เคยสลัดออกได้เลย คงเป็นเพราะสุดายังไม่อโหสิกรรมให้เขานั่นเอง
“แล้วผมจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อคุณเลี้ยงน้องเจนให้ทำตัวแบบนั้นเอง”
“นี่คุณโทษฉันเหรอคะคุณเกรียง!”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ คุณตามใจน้องเจน จนน้องเจนเสียคน มีผัวตั้งแต่ประจำเดือนยังไม่มาด้วยซ้ำ ดังนั้นคุณอย่ามาบังคับให้ผมช่วยเหลืออะไรเลย เพราะผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
ปิยนุชกระโดดลงไปยืนบนพื้น เท้าสะเอว และจ้องหน้าสามีด้วยท่าทางไม่ต่างจากนางยักษ์ขมูขี
“ก็ใครจะไปบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนลูกรักของคุณกันล่ะ”
“อย่าเอาเตยหอมมาเกี่ยวข้อง”
“แตะต้องไม่ได้เลยนะ อีลูกเมียคนใช้เนี่ย” ปิยนุชโวยวาย และก็แค้นเคืองเตยหอมมากขึ้น
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยหยิบยื่นความเป็นพ่อให้กับเตยหอมเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้” เกรียงไกรรู้สึกผิดบาปยิ่งนัก “ผมทำตามใจคุณทุกอย่าง แล้วคุณจะยังต้องการให้ผมทำอะไรอีก หรือว่านี่ยังไม่พอใจคุณ หึ... คุณนุช!”
“นี่คุณอย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ คุณเกรียง!”
เกรียงไกรหันหน้าหนีอย่างรำคาญ นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันนะ
“อย่าหันหน้าหนีฉันเด็ดขาด คุณต้องฟังฉันพูดให้จบ หันมาเดี๋ยวนี้คุณเกรียงไกร!”
ปิยนุชกระชากหน้าของเกรียงไกรให้หันกลับมาหา ก่อนจะตวาดลั่นอย่างไร้ความเคารพ
“คุณจะต้องช่วยฉันคิดว่าจะทำยังไงดี น้องเจนถึงจะไม่ถูกคุณอเล็กเท”
“ผมคิดไม่ออก”
“แต่คุณต้องช่วยฉันคิด ไม่อย่างนั้นเราเห็นดีกันแน่”
เกรียงไกรอยากหนีไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้นัก เพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีแต่ความทุกข์ใจ ไม่มีความสุขเลย แถมยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเตยหอมเหลือเกิน
เขารับปากกับสุดาเอาไว้ว่าจะดูแลเตยหอมให้ดี แต่เขากลับปล่อยให้ปิยนุชกับเจนจิรากดขี่ข่มเหงเตยหอมราวกับทาสในเรือนเบี้ย แถมยังไม่เคยหยิบยื่นน้ำใจให้แม้แต่ครั้งเดียว
เขานี่มันเป็นพ่อที่เลวจริงๆ
ดวงตาของเกรียงไกรแดงก่ำเต็มไปด้วยความละอายใจ เขาเดินหนีไปหยุดนิ่งที่หน้าต่างห้อง ดันบานหน้าต่างให้เปิดออก และจ้องมองออกไป
ปิยนุชเดินตามมาหยุดด้านหลัง และก็ยังไม่คิดจะหยุดระรานเลยแม้แต่น้อย
“ที่เงียบอยู่นี่ กำลังหาทางช่วยน้องเจนอยู่ใช่ไหมคุณเกรียง”
“ผมคิดไม่ออก ผมไม่รู้จะไปทำยังไงให้น้องเจนกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์ได้”
“แต่เราต้องทำ และต้องทำให้ได้ด้วย เพื่อความสุขของน้องเจน”
“ก็ใครใช้ให้คุณไปคุยโวเอาไว้แบบนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่มันใช่เรื่องจริงแม้แต่เสี้ยวเดียว”
“ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น น้องเจนจะดูดี ดูงามพร้อมในสายตาของเจสสิก้าไหมล่ะ” ปิยนุชยังเถียงไม่ยอมแพ้ ขณะเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“ฉันจะต้องทำยังไงนะ จะต้องหาวิธียังไงดี”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับเสียงของเตยหอมที่ดังกังวาน
“เอ่อ... คุณท่านค่ะ เตยมาขออนุญาตออกไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลนะคะ”
เกรียงไกรหันขวับมองไปที่ประตูห้อง และรีบเดินไปดึงบานประตูเปิดออก ปิยนุชมองสองพ่อลูกคุยกัน และความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมาในสมอง
“ทำไมต้องออกไปดึกๆ ดื่นๆ ด้วยล่ะ” เกรียงไกรถามลูกสาว น้ำเสียงมีความเป็นห่วง จนเตยหอมอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“พอดีเพื่อนเตย... เอ่อ... ประสบอุบัติเหตุน่ะค่ะ เตยเพิ่งรู้ข่าวเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“แล้วเพื่อนเป็นอะไรเยอะหรือเปล่าล่ะ”
“เตยยังไม่ทราบเลยค่ะ”
“งั้นให้นายกอบขับรถไปส่งก็แล้วกัน”
แววตาของเกรียงไกรที่มองมานั้นต่างไปจากทุกครั้งจนเตยหอมน้ำตาคลอ เพราะพ่อไม่เคยมองหล่อนด้วยสายตาเป็นห่วงแบบนี้มาก่อนเลย
“ขอบคุณค่ะ แต่... เตยไม่อยากรบกวน...”
“ไม่รบกวนหรอก ค่ำๆ มืดๆ ออกไปคนเดียวมันไม่ปลอดภัย แล้วก็รีบกลับด้วยล่ะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”
พ่อเป็นห่วงหล่อน...
“ขอบคุณมากค่ะ” หล่อนยกมือไหว้ น้ำใสๆ ที่เอ่อล้นอยู่ขอบตาไหลออกมาอาบแก้ม
เกรียงไกรยกมือขึ้น ตั้งใจจะลูบศีรษะของเตยหอม แต่ปิยนุชก้าวเข้ามาหยุดใกล้ๆ เสียก่อน
“ให้นายกอบไปส่งน่ะดีแล้ว”
ไม่ใช่แค่เตยหอมคนเดียวหรอกที่รู้สึกแปลกใจกับความใจดีของปิยนุช แต่เกรียงไกรเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาหันมองหน้าภรรยา และก็พบความเจ้าเล่ห์ร้ายเกลื่อนดวงตา เขาใจคอไม่ดีเลย เพราะเป็นห่วงเตยหอม
“แต่เตยไม่อยากรบกวนค่ะคุณผู้หญิง”
“อย่ามาเรื่องมาก ให้นายกอบไปส่ง หรือไม่ก็ไม่ต้องออกไปเลย เลือกเอา”
เตยหอมไม่มีทางเลือก จำต้องตอบรับด้วยการยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณคุณผู้หญิงค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
เกรียงไกรมองตามร่างของลูกสาวที่ตัวเองไม่เคยให้ความรักไปจนลับสายตา ก่อนจะดึงบานประตูห้องปิดลง และเอ่ยถามปิยนุชอย่างรู้ทัน
“คุณกำลังคิดจะทำอะไร คุณนุช”
“ทำไมถามฉันแบบนี้ละคะ”
ปิยนุชยิ้มพึงพอใจ เดินกลับไปนั่งบนขอบเตียง เกรียงไกรเดินตามมาหยุดตรงหน้า
“คุณไม่ใช่คนใจดีแบบเมื่อกี้นี้หรอก”
ปิยนุชหัวเราะร่วน “แหม ไม่เสียแรงที่อยู่กันมาไม่รู้กี่สิบปีนะคะเนี่ย”
“บอกผมมา คุณกำลังจะทำอะไร”
“ฉันก็แค่คิดหาทางออกให้กับเรื่องของน้องเจนได้แล้วก็เท่านั้นเองค่ะ”
เกรียงไกรใจคอไม่ดีเลย เขาภาวนาให้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเตยหอม
“อย่าเอาเตยหอมเข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด”
“แหม ตายจริง คุณพูดนี่เหมือนมานั่งอยู่ในใจของฉันเลยนะคะ”
“คุณนุช!”
ปิยนุชจ้องหน้าสามีและยิ้มเลือดเย็น “นังเตยมันคือหมากสำคัญของแผนนี้ค่ะ”
เจริญวัฒนากุล หนึ่งในตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองไทย ประมุขประจำบ้านก็คือ นายเกรียงไกร เจริญวัฒนากุล นายห้างร้านทองชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบแทบทุกจังหวัดของเมืองไทย ส่วนภรรยาของเขาก็คือ นางปิยนุช เจริญวัฒนากุล หรือที่คนในบ้านเรียกติดปากว่า ซ้อนุช ปิยนุชเป็นหญิงวัยสี่สิบแปดกะรัต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะชีวิตสุขสบายมีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด ส่วนนิสัยใจคอนั้นเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว และไม่มีน้ำใจ แถมยังขี้หึงเป็นที่หนึ่ง ทำให้ปิยนุชกับเกรียงไกรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ของเกรียงไกร...เมื่อสิบแปดปีก่อน ปิยนุชจับได้คาหนังคาเขาว่าเกรียงไกรแอบเข้าห้องของสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดชื่อสุดา หล่อนขับไล่สุดาออกจากบ้านในคืนวันนั้นทันที ทั้งๆ ที่สุดาบอกความจริงกับหล่อนว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองถูกเกรียงไกรข่มเหงไม่ได้สมยอม แต่ปิยนุชไม่ยอมฟัง เพราะหลงเชื่อสามีของตัวเอง ที่บอกว่าสุดาเป็นคนยั่วยวนเพราะใฝ่สูงและตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ปิยนุชก็ไม่เคยรับคนใช้หน้าตาดีอีกเลย อ้วน ดำ เตี้ย สูงวัย เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำงานในคฤหาสน์เจริญวัฒนากุล ซึ่งก็ได้สร้างความขั
“เอ่อ...” หล่อนลังเลอยู่สักพักก็จำต้องก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของอเล็กซิสอย่างไม่มีทางเลือก “ขะ... ขอบคุณมากนะคะที่มีน้ำใจกับเตย”“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ก็บอกว่าผ่านทางนั้นพอดีไง”เขาระบายยิ้ม ก่อนจะหักพวงมาลัยพารถคันงามขึ้นไปวิ่งบนถนนอีกครั้งอเล็กซิสลอบมองเตยหอม ก็พบว่าหล่อนนั่งตัวลีบแทบจะชิดประตูรถจนน่าสงสาร หล่อนคงจะประหม่า“อยู่ปีไหนแล้วล่ะเธอน่ะ”“เอ่อ ปีสองแล้วค่ะ”“แล้วเธอเรียนคณะอะไรหรือ”“เอ่อ... เตยเรียนการโรงแรมค่ะ” หล่อนตอบโดยที่ตัวเองยังคงก้มหน้างุดอยู่ตลอดเวลา“เฮ้ย จริงอ่ะ บ้านฉันก็ทำธุรกิจโรงแรม ถ้าเรียนจบแล้วก็มาฝึกงานได้นะ ฉันยินดีรับ”“ขะ... ขอบคุณค่ะ”“เธอนี่ขอบคุณบ่อยจัง มันติดปากมากหรือไงไอ้คำนี่นะ”หล่อนเผลอเงยหน้าและหันไปมองเขา ก็พบว่าเขาหันมามองพอดี ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ทอดมองมาทำให้หัวใจสาวเต้นแรงมาก จนแทบจะกระดอนออกมาจากทรวงอก“เอ่อ...”อเล็กซิสหัวเราะขบขัน ส่ายหน้าไปมา เขาคงจะเอือมระอาในความน่าเบื่อหน่ายของหล่อนนั่นแหละ“ทำไมไม่ไปเรียนพร้อมกับเจนจิราล่ะ อยู่มอเดียวกันไม่ใช่หรือ”“เอ่อ...” หล่อนคงต้องโกหกออกไป เพราะหากพูดความจริงเจนจิราจะต้องดูแย่ในสายตาของอเล็ก
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณพ่อ”ฟาเบียนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่ มองลูกชายที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาทักทาย“สวัสดีไอ้ลูกรัก ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าตาแช่มชื่นนักล่ะ”ผู้เป็นลูกชายเดินผิวปากเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่างกระจก“คงเพราะผมได้กินอาหารเช้าตรงเวลามั้งครับ”ฟาเบียนหัวเราะชอบใจ “นี่แกไปเอามุกตลกฝืดๆ แบบนี้มาจากที่ไหนวะ”“มันไม่ใช่มุกนะครับคุณพ่อ แต่มันคือเรื่องจริง เมื่อตอนเจ็ดโมงผมจอดรถข้างทาง และรับประทานอาหารเช้าครับ” “ผีเข้าแกหรือไงวะ ปกติเห็นดื่มแต่กาแฟดำ” ผู้เป็นลูกชายไหวไหล่น้อยๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มละไม “ก็มันอยากขึ้นมากะทันหันนี่ครับ” คนเป็นพ่อหัวเราะร่วนอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “เมื่อเช้าแม่แกคุยอะไรด้วยหรือเปล่า” “เปล่านี่ครับ มีอะไรหรือครับพ่อ” “ก็เรื่องแต่งงานกับหนูเจนจิราไง” สีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอเล็กซิสจางหายไป และก็มีความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ “ไหนว่ารอยายนั่นเรียนจบก่อนไงครับ” “ก็รอตามนั้นนั่นแหละ แต่เรื่องที่แม่จะคุยกับแกน่ะ น่าจะเป็นเรื่องสินสอดมากกว่า” “อย่ามาปรึกษาผมเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่มีความเห็น สำ
หลังจากอึดอัดจนแทบอาเจียนกับท่วงท่าทอดสะพานเสริมใยเหล็กของเจนจิรากลางโต๊ะอาหารค่ำอยู่นานจนแทบอาเจียน อเล็กซิสก็ปลีกตัวออกมายืนสูบบุหรี่อยู่นอกตึกใหญ่ควันบุหรี่สีตะกั่วลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาคมกริบจับจ้องมองแผ่นฟ้ากว้าง กระทั่งหางตารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนจึงหันไปมองเขาขยี้ก้นบุหรี่กับถ้วยแก้ว ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเงาตะคุ่มที่พบเห็น“ทำอะไรน่ะ”“อ๊ะ...”เขาคว้าแขนเจ้าของเงาตะคุ่มเอาไว้ และก็พบว่ามันเรียวเล็กเกินกว่าจะเป็นเรียวแขนของบุรุษ“เตยหอม...”แม้จะมองไม่ชัดนัก แต่แววตาตื่นตระหนกแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหล่อน“เอ่อ... ปล่อยเตยก่อนค่ะ”เขายอมปล่อยแขนเรียวออกจากอุ้งมือ แต่ก็ยังไม่ยอมขยับออกห่าง“มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ เดี๋ยวงูเงี้ยวก็ฉกเอาหรอก”“เอ่อ... เตยทำต่างหูหล่นน่ะค่ะ พยายามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอเลยค่ะ”ดวงตาของอเล็กซิสละจากดวงหน้าของเตยหอม มามองที่ติ่งหูเล็กเพื่อจะมองต่างหู แต่เส้นผมสีดำขลับบดบังเอาไว้ทำให้เขาต้องยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมนุ่มนั้นจนพ้นทาง และจ้องมองต่างหูที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวแม้จะมีแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟของตัวตึกสาดส่องกระทบลงมา แต่เขาก็