หลังจากอึดอัดจนแทบอาเจียนกับท่วงท่าทอดสะพานเสริมใยเหล็กของเจนจิรากลางโต๊ะอาหารค่ำอยู่นานจนแทบอาเจียน อเล็กซิสก็ปลีกตัวออกมายืนสูบบุหรี่อยู่นอกตึกใหญ่
ควันบุหรี่สีตะกั่วลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาคมกริบจับจ้องมองแผ่นฟ้ากว้าง กระทั่งหางตารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนจึงหันไปมอง
เขาขยี้ก้นบุหรี่กับถ้วยแก้ว ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเงาตะคุ่มที่พบเห็น
“ทำอะไรน่ะ”
“อ๊ะ...”
เขาคว้าแขนเจ้าของเงาตะคุ่มเอาไว้ และก็พบว่ามันเรียวเล็กเกินกว่าจะเป็นเรียวแขนของบุรุษ
“เตยหอม...”
แม้จะมองไม่ชัดนัก แต่แววตาตื่นตระหนกแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหล่อน
“เอ่อ... ปล่อยเตยก่อนค่ะ”
เขายอมปล่อยแขนเรียวออกจากอุ้งมือ แต่ก็ยังไม่ยอมขยับออกห่าง
“มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ เดี๋ยวงูเงี้ยวก็ฉกเอาหรอก”
“เอ่อ... เตยทำต่างหูหล่นน่ะค่ะ พยายามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอเลยค่ะ”
ดวงตาของอเล็กซิสละจากดวงหน้าของเตยหอม มามองที่ติ่งหูเล็กเพื่อจะมองต่างหู แต่เส้นผมสีดำขลับบดบังเอาไว้ทำให้เขาต้องยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมนุ่มนั้นจนพ้นทาง และจ้องมองต่างหูที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว
แม้จะมีแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟของตัวตึกสาดส่องกระทบลงมา แต่เขาก็ต้องเพ่งอยู่นานกว่าจะเดารูปร่างของต่างหูเล็กนั้นได้
ต่างหูที่เห็นมันเป็นรูปหัวใจยาวตุ้งติ้ง แต่มองไม่ออกว่ามันทำมาจากอะไร
“เอ่อ...”
หลังจากยืนนิ่งงันอยู่นาน เตยหอมก็เอียงหน้าหนีสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่ พร้อมกับก้าวถอยหลัง
อเล็กซิสเองก็เลื่อนมือลงไปลูบต้นขาของตัวเอง เพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า
“ฉันก็แค่อยากจะเห็นต่างหูของเธอน่ะว่ามันเป็นแบบไหน จะได้ช่วยหาถูก”
“เอ่อ... ค่ะ...”
“ว่าแต่มันทำจากอะไรหรือ ดูสวยสะท้อนแสงไฟดี”
“มันจากทองคำขาวค่ะ”
“แฟนซื้อให้หรือถึงดูเธอหวงนักหนา”
เตยหอมยิ้มเศร้าหมอง น้ำใสๆ เอ่อล้นขอบตา เมื่อนึกถึงเจ้าของต่างหูคู่นี้
“มันคือของขวัญชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่แม่ของเตยเก็บเงินซื้อให้ค่ะ”
อเล็กซิสอยากจะเอามือตะบันหน้าตัวเองนัก ที่ใส่ความเด็กดีอย่างเตยหอมแบบเมื่อกี้นี้
“ฉันจะช่วยเธอหานะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เตยหาเองได้ค่ะ”
เขาไม่ควรจะมาอยู่ใกล้หล่อนแบบนี้ เพราะมันจะเป็นอันตรายสำหรับตัวหล่อนเอง
“ให้ฉันช่วยแหละดีแล้ว จะได้หาเจอไวๆ ไง”
“แต่เตย...”
“อย่าพูดมากน่ะ มาช่วยกันหาเถอะ จะได้เจอไวๆ ไงล่ะ”
แล้วคนพูดก็ย่อตัวลง และคลานหาตามซอกของก้อนอิฐ รวมถึงกระถางต้นไม้ข้างๆ ด้วย
“ว่าแต่เธอแน่ใจนะว่าทำหายแถวนี้”
“ค่ะ”
หล่อนรู้ดีว่าควรจะอยู่ให้ห่างเขา แต่หัวใจกลับรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้เห็นเขาแบบนี้
เตยหอมย่อตัวลง และก็ตั้งหน้าตั้งตาหาต่างหูข้างที่หล่นหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่กี่นาที คนตัวโตก็อุทานขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เจอแล้ว เตยหอม”
“จริงเหรอคะ”
หล่อนดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ รีบลุกขึ้น และเดินไปคุกเข่าลงข้างๆ เขา
“จริงสิ นี่ไงล่ะ”
เขาชูต่างหูที่หล่อนทำหล่นหายตรงหน้า หล่อนฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต
“ขอบคุณมากนะคะคุณอเล็ก” หล่อนยกมือขึ้นประกบกันแล้วไหว้ขอบคุณ
“อืม บอกแล้วไงว่าถ้าให้ฉันช่วยหาน่ะ ยังไงก็ต้องหาเจอ มาฉันใส่ให้”
“ไม่... ไม่เป็นไรค่ะ เตยใส่เองได้ค่ะ” เตยหอมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน แต่เขาไม่ยอม
“มืดๆ แบบนี้ เธอจะใส่เองได้ยังไงกันล่ะ เดี๋ยวก็หล่นหายอีกหรอก มานี่ หันข้างมา”
“แต่ว่า... เตย...”
“กลัวอะไรฉันนักหนา ฉันไม่กินหรอกน่ะ”
แล้วเขาก็เอามือประคองใบหน้าของหล่อนเอาไว้ โชคดีมากที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นความบวมช้ำบนใบหน้าของหล่อน
“อยู่เฉยๆ สิ...”
หล่อนกลั้นใจอยู่นิ่งๆ แต่หัวใจสั่นไม่หยุดเลย ยิ่งเขาขยับหน้าหล่อๆ เข้ามาใกล้จนเกินกว่าเหตุแบบนี้ หล่อนก็ยิ่งแทบจะเป็นลมเป็นแล้ง
“ยังหารูไม่เจอเลย นิ่งๆ นะ”
“เอ่อ... เตยใส่เองดีกว่าค่ะ”
“อย่าดื้อน่า นี่ไงเจอรูแล้ว”
นี่เขาจำเป็นต้องก้มหน้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้มนวลของหล่อนด้วยเหรอ
เขาจะรู้ไหมนะว่าหล่อนกำลังสั่นสะท้านไปทั้งจิตวิญญาณเพราะการใกล้ชิดกัน
“ใส่ยากจริง แป๊บนะ”
“เอ่อ... พอแล้วล่ะค่ะ เตยใส่ต่อเอง...” หล่อนยกมือขึ้นจะช่วยเขาใส่ต่างหู แต่เขาปัดมือของหล่อนทิ้ง และเอาปลายจมูกโด่งมาชนแก้มนวลซ้ำ
“อุ๊ยยย...”
“โทษที มืดน่ะ ไม่ทันระวัง”
เขาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ตรงกันข้ามกับหล่อนที่แทบเป็นลมอยู่แล้ว
“โอเค... เสร็จแล้ว...”
หล่อนรีบถลันตัวลุกขึ้นยืนทันควัน และถอยหลังออกห่าง ซึ่งเขาที่หยัดกายยืนขึ้นในเวลาพร้อมๆ กันก็คว้าแขนเรียวเอาไว้ ซึ่งแรงกระชากของเขาทำให้กายสาวเซถลาเข้าไปปะทะแผ่นอกกว้างอย่างไม่มีทางเลือก
“นี่ยังไม่ขอบคุณฉันเลยนะ”
“เอ่อ...”
หล่อนถูกเขารวบร่างเอาไว้แนบอก ใบหน้าหล่อจัดโน้มต่ำลงมาใกล้ ใกล้มากจนหล่อนใจคอไม่ดี
“คุณ... อเล็ก...”
เขาฉีกยิ้มน่ามอง ปากร้อนจัดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“มาทำอะไรกันมืดๆ ตรงนี้คะ”
เสียงไม่พอใจของเจนจิราดังขึ้น และมันก็ทำให้หล่อนตื่นจากฝันหวานทันควัน
“คุณเจน...”
หล่อนรีบถอยหลังออกห่างจากร่างของอเล็กซิส หน้าตาซีดเผือด เพราะหวาดกลัว แม้จะรู้ดีว่าเจนจิราไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชต่อหน้าอเล็กซิสก็ตาม
“น้องเจนออกมาทำไมครับ”
“แล้วพี่อเล็กล่ะคะ ออกมาทำอะไรตรงนี้”
เจนจิราเดินเข้ามาสอดแขนเล็กของตัวเองรัดลำแขนกำยำของอเล็กซิสเอาไว้ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
เตยหอมก้มหน้ากล่าวลา ก่อนจะรีบปลีกตัวเดินจากไป โดยมีสายตาอาฆาตของเจนจิราตามติดไปไม่ต่างจากเงา
“พี่ออกมาสูบบุหรี่น่ะ แล้วก็เจอเตยหอมเข้าพอดี”
“แม่นี่ชอบออกมาอ่อยลูกชายคนสวนค่ะ”
เจนจิรารีบใส่ร้ายเตยหอม ก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่ออเล็กซิสดึงแขนออกไปจากการเกาะกุมของหล่อน
“เตยหอมทำต่างหูหล่นหายน่ะ เธอก็เลยออกมาหา”
“เหรอคะ” หล่อนอดกระแทกเสียงไม่ได้
“ครับ”
อเล็กซิสก้าวเดินกลับเข้ามาภายในตัวคฤหาสน์ โดยมีเจนจิราเดินตามมาติดๆ
“ผู้ใหญ่กำลังคุยกันเรื่องงานแต่งงานของเราสองคนค่ะ”
“ครับ”
“เจนดีใจนะคะที่เราสองคนจะได้แต่งงานกันในเร็วๆ นี้”
คนที่ก้าวเอาก้าวเอาไม่ยอมรอ ชะงักเท้ากึกทันควัน และหันกลับไปมองคนพูด
“น้องเจนหมายความว่ายังไงครับ”
เจนจิรายิ้มหวาน เดินเข้ามาเกาะแขนของอเล็กซิส “ก็ผู้ใหญ่กำลังจะเลื่อนงานแต่งของเราสองคนให้เร็วขึ้นไงล่ะคะ”
“จะเร็วขึ้นได้ยังไงกันครับ ก็ในเมื่อน้องเจนยังเรียนไม่จบเลย อีกตั้งสองสามปีไม่ใช่เหรอครับ”
“แหม ไม่รู้อีกกี่ปีต่างหากค่ะ เจนสอบไม่ค่อยผ่าน เจนคิดว่า เจนจะลาออก แล้วมาเป็นแม่บ้านให้พี่อเล็กแทนค่ะ”
“อย่าดีกว่าครับ ยังไงการศึกษาก็สำคัญกับคนเรามากกว่าการแต่งงาน”
“แต่สำหรับเจน มีผัวสำคัญกว่าค่ะ”
อเล็กซิสมองผู้หญิงที่พยายามเอานมถูไถแขนตนเองด้วยความอัศจรรย์ใจ
แม่ของเขาย้ำนักย้ำหนาว่าเจนจิราเป็นผู้หญิงเรียบร้อย นิสัยดี แถมยังประพฤติตัวดีไม่มีด่างพร้อย แต่จากที่เห็นเจ้าหล่อนแสดงกับเขามาหลายครั้ง หล่อนน่าจะเสียซิงไปตั้งแต่อายุสิบสองแล้วมั้ง
“เอ่อ... เจนหมายถึง... เจนอยากดูแลพี่อเล็กในฐานะภรรยาน่ะค่ะ” เจนจิรารีบแก้ตัวเมื่อเห็นอเล็กซิสมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
อเล็กซิสดึงแขนของเจนจิราออกจากแขนของตัวเอง ก่อนจะรีบเอ่ยขอตัว
“พี่ขอตัวไปคุยกับคุณแม่ก่อนนะครับ พี่อยากรู้ว่าเราต้องเลื่อนงานแต่งเข้ามาจริงหรือเปล่า”
“จริงแท้แน่นอนค่ะ”
เขาฝืนยิ้มให้กับเจนจิรา ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องโถงกว้างที่มารดานั่งอยู่ด้วยความร้อนใจ
“อ้าว พ่ออเล็กมาพอดีเลย”
เขาหย่อนกายลงนั่งข้างๆ มารดา ก่อนจะเอ่ยถามโดยไม่คิดจะอ้อมค้อม
“คุณแม่จะเลื่อนงานแต่งงานระหว่างผมกับน้องเจนให้เร็วขึ้นหรือครับ”
“อ้าว รู้แล้วเหรอลูก”
“น้องเจนบอกผมครับ”
เจสสิก้ายิ้มกว้าง “ดูท่าทางลูกของแม่แล้ว กำลังดีใจจนเนื้อเต้นเลยใช่ไหมล่ะ”
หน้าของเขาเครียดขนาดนี้ มารดายังคิดว่าเขากำลังดีใจได้ยังไงกันนะ
“ผมต้องการกำหนดเดิมครับ”
“อย่างอแงสิลูกรัก ผู้หญิงอย่างหนูเจนน่ะหาไม่ได้แล้วนะในโลกใบนี้ ทั้งเรียบร้อย ทั้งนิสัยดี แถมเรื่องผู้ชายก็ไม่เคยมีให้ด่างพร้อยเลยด้วย”
“แต่น้องเจนยังเรียนไม่จบ และผมก็ยังไม่พร้อมครับ”
“ไม่เอาน่าลูกรัก อย่าขัดใจแม่แบบนี้สิ แต่งตอนนี้ หรือว่าแต่งตอนไหนมันก็ต้องแต่งเหมือนกันนั่นแหละลูก เชื่อแม่เถอะ แต่งๆ ไปซะ แม่จะได้สบายใจ”“คุณแม่สบายใจ แต่ผมทุกข์ใจนะครับ”“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทุกข์ใจเลยนี่พ่ออเล็ก หนูเจนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ลูกน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยรู้ไหม”“แต่ผมไม่ได้รักเธอครับ”“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละน่า เชื่อแม่เถอะนะ”อเล็กซิสกระแทกลมออกจากปากแรงๆ อย่างหงุดหงิด มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากหลายครั้ง“โอเค ผมแต่งเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าคนดีของคุณแม่ไม่ได้ซิงเหมือนราคาคุย ผมจะหย่าทันที”เจสสิก้าหัวเราะร่วน “แหม เอาเรื่องนี้มาต่อรองกับแม่เชียวนะพ่ออเล็ก ไหนว่าไม่สนใจพรหมจรรย์ของผู้หญิงไงล่ะลูก”“ผมไม่ได้ไยดีเยื่อนรกพวกนั้นหรอกครับ แต่คุณแม่คุยเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องเจนเรียบร้อยอย่างนั้นเรียบร้อยอย่างนี้ แถมยังอ่อนต่อโลกอีก ก็คอยดูกันสิว่าจะซิงอย่างที่คุณแม่โม้เอาไว้หรือเปล่า”“ลูกไม่มีวันได้หย่าจากหนูเจนหรอกจ้ะลูกรัก เพราะหนูเจนของแม่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำค้างกลางหาวเสียอีก”เจสสิก้าหัวเราะชอบใจ ส่วนอเล็กซิสนั่งหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด แต่อี
เจริญวัฒนากุล หนึ่งในตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองไทย ประมุขประจำบ้านก็คือ นายเกรียงไกร เจริญวัฒนากุล นายห้างร้านทองชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบแทบทุกจังหวัดของเมืองไทย ส่วนภรรยาของเขาก็คือ นางปิยนุช เจริญวัฒนากุล หรือที่คนในบ้านเรียกติดปากว่า ซ้อนุช ปิยนุชเป็นหญิงวัยสี่สิบแปดกะรัต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะชีวิตสุขสบายมีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด ส่วนนิสัยใจคอนั้นเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว และไม่มีน้ำใจ แถมยังขี้หึงเป็นที่หนึ่ง ทำให้ปิยนุชกับเกรียงไกรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ของเกรียงไกร...เมื่อสิบแปดปีก่อน ปิยนุชจับได้คาหนังคาเขาว่าเกรียงไกรแอบเข้าห้องของสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดชื่อสุดา หล่อนขับไล่สุดาออกจากบ้านในคืนวันนั้นทันที ทั้งๆ ที่สุดาบอกความจริงกับหล่อนว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองถูกเกรียงไกรข่มเหงไม่ได้สมยอม แต่ปิยนุชไม่ยอมฟัง เพราะหลงเชื่อสามีของตัวเอง ที่บอกว่าสุดาเป็นคนยั่วยวนเพราะใฝ่สูงและตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ปิยนุชก็ไม่เคยรับคนใช้หน้าตาดีอีกเลย อ้วน ดำ เตี้ย สูงวัย เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำงานในคฤหาสน์เจริญวัฒนากุล ซึ่งก็ได้สร้างความขั
“เอ่อ...” หล่อนลังเลอยู่สักพักก็จำต้องก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของอเล็กซิสอย่างไม่มีทางเลือก “ขะ... ขอบคุณมากนะคะที่มีน้ำใจกับเตย”“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ก็บอกว่าผ่านทางนั้นพอดีไง”เขาระบายยิ้ม ก่อนจะหักพวงมาลัยพารถคันงามขึ้นไปวิ่งบนถนนอีกครั้งอเล็กซิสลอบมองเตยหอม ก็พบว่าหล่อนนั่งตัวลีบแทบจะชิดประตูรถจนน่าสงสาร หล่อนคงจะประหม่า“อยู่ปีไหนแล้วล่ะเธอน่ะ”“เอ่อ ปีสองแล้วค่ะ”“แล้วเธอเรียนคณะอะไรหรือ”“เอ่อ... เตยเรียนการโรงแรมค่ะ” หล่อนตอบโดยที่ตัวเองยังคงก้มหน้างุดอยู่ตลอดเวลา“เฮ้ย จริงอ่ะ บ้านฉันก็ทำธุรกิจโรงแรม ถ้าเรียนจบแล้วก็มาฝึกงานได้นะ ฉันยินดีรับ”“ขะ... ขอบคุณค่ะ”“เธอนี่ขอบคุณบ่อยจัง มันติดปากมากหรือไงไอ้คำนี่นะ”หล่อนเผลอเงยหน้าและหันไปมองเขา ก็พบว่าเขาหันมามองพอดี ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ทอดมองมาทำให้หัวใจสาวเต้นแรงมาก จนแทบจะกระดอนออกมาจากทรวงอก“เอ่อ...”อเล็กซิสหัวเราะขบขัน ส่ายหน้าไปมา เขาคงจะเอือมระอาในความน่าเบื่อหน่ายของหล่อนนั่นแหละ“ทำไมไม่ไปเรียนพร้อมกับเจนจิราล่ะ อยู่มอเดียวกันไม่ใช่หรือ”“เอ่อ...” หล่อนคงต้องโกหกออกไป เพราะหากพูดความจริงเจนจิราจะต้องดูแย่ในสายตาของอเล็ก
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณพ่อ”ฟาเบียนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่ มองลูกชายที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาทักทาย“สวัสดีไอ้ลูกรัก ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าตาแช่มชื่นนักล่ะ”ผู้เป็นลูกชายเดินผิวปากเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่างกระจก“คงเพราะผมได้กินอาหารเช้าตรงเวลามั้งครับ”ฟาเบียนหัวเราะชอบใจ “นี่แกไปเอามุกตลกฝืดๆ แบบนี้มาจากที่ไหนวะ”“มันไม่ใช่มุกนะครับคุณพ่อ แต่มันคือเรื่องจริง เมื่อตอนเจ็ดโมงผมจอดรถข้างทาง และรับประทานอาหารเช้าครับ” “ผีเข้าแกหรือไงวะ ปกติเห็นดื่มแต่กาแฟดำ” ผู้เป็นลูกชายไหวไหล่น้อยๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มละไม “ก็มันอยากขึ้นมากะทันหันนี่ครับ” คนเป็นพ่อหัวเราะร่วนอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “เมื่อเช้าแม่แกคุยอะไรด้วยหรือเปล่า” “เปล่านี่ครับ มีอะไรหรือครับพ่อ” “ก็เรื่องแต่งงานกับหนูเจนจิราไง” สีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอเล็กซิสจางหายไป และก็มีความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ “ไหนว่ารอยายนั่นเรียนจบก่อนไงครับ” “ก็รอตามนั้นนั่นแหละ แต่เรื่องที่แม่จะคุยกับแกน่ะ น่าจะเป็นเรื่องสินสอดมากกว่า” “อย่ามาปรึกษาผมเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่มีความเห็น สำ