เจริญวัฒนากุล หนึ่งในตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองไทย ประมุขประจำบ้านก็คือ นายเกรียงไกร เจริญวัฒนากุล นายห้างร้านทองชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบแทบทุกจังหวัดของเมืองไทย ส่วนภรรยาของเขาก็คือ นางปิยนุช เจริญวัฒนากุล หรือที่คนในบ้านเรียกติดปากว่า ซ้อนุช
ปิยนุชเป็นหญิงวัยสี่สิบแปดกะรัต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะชีวิตสุขสบายมีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด ส่วนนิสัยใจคอนั้นเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว และไม่มีน้ำใจ แถมยังขี้หึงเป็นที่หนึ่ง ทำให้ปิยนุชกับเกรียงไกรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ของเกรียงไกร...
เมื่อสิบแปดปีก่อน ปิยนุชจับได้คาหนังคาเขาว่าเกรียงไกรแอบเข้าห้องของสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดชื่อสุดา หล่อนขับไล่สุดาออกจากบ้านในคืนวันนั้นทันที ทั้งๆ ที่สุดาบอกความจริงกับหล่อนว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองถูกเกรียงไกรข่มเหงไม่ได้สมยอม แต่ปิยนุชไม่ยอมฟัง เพราะหลงเชื่อสามีของตัวเอง ที่บอกว่าสุดาเป็นคนยั่วยวนเพราะใฝ่สูง
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ปิยนุชก็ไม่เคยรับคนใช้หน้าตาดีอีกเลย อ้วน ดำ เตี้ย สูงวัย เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำงานในคฤหาสน์เจริญวัฒนากุล ซึ่งก็ได้สร้างความขัดเคืองใจให้กับผู้เป็นสามีอย่างเกรียงไกรยิ่งนัก
เรื่องราวผ่านมาเกือบหกปี สุดาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในบ้านเจริญวัฒนากุล พร้อมกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง
‘คุณผู้ชายคะ เตยหอมเป็นลูกสาวของคุณผู้ชายค่ะ’
เกรียงไกรตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของสุดา สาวใช้ที่เขาขืนใจในอดีต ไม่คิดว่าจะมีเด็กติดท้องไปด้วย
ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะรับเตยหอมในวัยห้าขวบเอาไว้อุปการะเลย แต่เพราะสุดากราบเท้าวิงวอน และบอกว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย และกำลังจะตาย เขาจึงต้องกลั้นใจรับเด็กคนนี้มาอยู่ในบ้าน และก็ต้องทะเลาะกับปิยนุชยกใหญ่กว่าจะสามารถเลี้ยงดูเตยหอมเอาไว้ได้
‘ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นลูกของผม และแม่ของเธอก็กำลังจะตาย ผมใจดำทำเป็นไม่ดูดำดูดีไม่ได้หรอก’
‘แต่ลูกสาวคุณมีคนเดียวนั่นก็คือน้องเจน คุณลืมไปแล้วหรือไงคุณเกรียง!’
‘ผมไม่เคยลืมหรอกน่ะ ยังไงซะผมก็รักลูกเจนคนเดียวอยู่แล้ว ส่วนเด็กนี่ ก็ถือว่าเลี้ยงเอาบุญเถอะ ปล่อยไปก็ตายเปล่าๆ คิดว่าทำบุญสักครั้งเถอะคุณนุช’
‘ก็ได้ค่ะ ฉันจะเลี้ยงนังเด็กกาฝากนี่เอาไว้ แต่มันจะเป็นได้แค่คนรองมือรองตีนลูกเจนเท่านั้น คุณห้ามยกย่องมันขึ้นมาเป็นลูกเด็ดขาด เข้าใจไหมคะ’
‘ตกลง’
‘แล้วก็อย่ามายุ่ง เวลาฉันสั่งสอนมันก็แล้วกัน’
และจากวันนั้นจนถึงเวลานี้ เข็มนาฬิกาก็เคลื่อนผ่านมาสิบสี่ปีกว่าแล้ว
เตยหอมในวัยห้าขวบ เติบใหญ่ขึ้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยเหมือนกับสุดามารดาของตนเอง ส่วนผิวพรรณขาวเนียนนั้นได้รับมาจากบิดา
ชีวิตของเตยหอมไม่เคยรู้จักกับคำว่ามีความสุขเลย ตั้งแต่แม่พามาฝากเอาไว้ที่นี่ ทุกเช้าค่ำ หล่อนต้องทำงานไม่ต่างจากคนรับใช้ ตื่นแต่มืด และก็ต้องนอนหลังเจ้านายทุกคนเสมอ
คุณผู้หญิงของบ้านนี้เกลียดชังหล่อนมาก และมักจะกลั่นแกล้งให้หล่อนทำงานหนักๆ จนไปเรียนสายหลายครั้ง โชคดีที่บิดา... ไม่สิ... เขาไม่ใช่พ่อของหล่อนหรอก เพราะเกรียงไกรบอกกับหล่อนเองว่า เขาไม่เคยเห็นหล่อนเป็นลูก
หล่อนเสียใจเมื่อรู้ว่าผู้ให้กำเนิดไม่เคยรัก ไม่เคยเมตตา แต่คำสอนของแม่ที่พร่ำบอกสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้หล่อนไม่คิดแค้นเคือง เพราะทุกอย่างมันล้วนแต่เป็นกรรม
หล่อนก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่พวกเขาราดรดหัวในทุกเมื่อเชื่อวันให้หมดสิ้น จากนั้นค่อยแยกตัวจากไป
อีกไม่นาน...
ใช่... อีกแค่ไม่กี่ปี หล่อนก็จะเรียนระดับชั้นปริญญาตรีจบแล้ว และเมื่อหล่อนเรียนจบ หล่อนก็จะสามารถหางานดีๆ ที่พอเลี้ยงชีพได้ เมื่อนั้นหล่อนคงได้รู้จักกับความสุขเสียที
“นังเตย ไปหยิบรองเท้ามาให้ฉันหน่อยสิ”
เสียงเรียกจิกหัวแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจนจิรา ลูกสาวของเกรียงไกร และปิยนุช
หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหา และก็กุลีกุจอไปหยิบรองเท้าคัชชูราคาแพงมาวางกับพื้น
“ใส่ให้ฉันด้วยสิยะ”
“ค่ะ”
เหมือนเช่นทุกวันนั่นแหละ เจนจิรามักจะจิกหัวใช้หล่อนทำทุกอย่างให้ เพราะในสายตาของเจนจิรา หล่อนเป็นแค่เพียงคนรับใช้เท่านั้น
“ใส่ให้ฉันดีๆ หน่อยสิ เห็นไหมรองเท้าฉันเปื้อนแล้วเนี่ย”
“ขอ... ขอโทษค่ะคุณเจน”
“เช็ดรองเท้าให้ฉันเลยนะ เช็ดคราบขี้มือแกออกให้หมด เร็วสิ ยังจะมองหน้าอีก”
“ค่ะ”
หล่อนทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากระโปรงนักศึกษา และบรรจงเช็ดรองเท้าคัชชูให้กับเจนจิราจนสะอาดเหมือนเดิม
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เสร็จแล้วก็ใส่ให้ฉันด้วยสิ เร็วเข้า ฉันไม่อยากไปเรียนสาย”
“เอ่อ... ค่ะ” หล่อนก้มหน้าทำตามคำสั่งเหมือนเช่นทุกครั้ง
“รองเท้าคู่นี้สวยจัง เหมาะกับตีนฉันมาก แกว่าไหมนังเตย” เจนจิราก้มลงมองเท้าของตัวเองด้วยความชื่นชม
“ค่ะ คุณเจน”
เจนจิราอมยิ้มพึงพอใจ เดินนำหน้าตรงไปยังรถสปอร์ตราคาแพงที่ตนเองใช้ขับไปเรียนเป็นประจำ
“เอาไว้ฉันใช้เบื่อเมื่อไหร่ จะโยนให้ขี้ข้าอย่างแกไปใช้บ้างก็แล้วกันนะ”
เตยหอมก้มหน้านิ่ง ไม่ได้โต้ตอบ ขณะยื่นมือเปิดประตูรถให้กับเจนจิรา
หล่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเจนจิรา ซึ่งมันเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ราคาแพงมาก แต่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเมตตาหล่อนหรอกนะถึงส่งเรียนที่แพงแบบนี้ แต่พวกเขาต้องการให้หล่อนตามรับใช้เจนจิราตลอดเวลาต่างหาก
“ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวไปสาย”
“เอ่อ... ค่ะ”
หล่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงาม ก่อนที่เจนจิราจะพุ่งตัวรถออกไปจากรั้วคฤหาสน์ขนาดใหญ่ และขับด้วยความเร็วขึ้นไปบนท้องถนน
“รายงานฉันแกทำเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีมาก ถ้าอาจารย์ชมฉันล่ะก็ ฉันจะทิปให้แกสักสองสามร้อย”
“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณเจน”
“แกอย่ามาทำตัวเป็นคนดีไม่เห็นแก่เงินหน่อยเลย ฉันรู้นะว่าแกหิวเงินยังกับอะไร”
แม้เจนจิราจะรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนก็เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของเกรียงไกร แต่ปิยนุชสั่งสอนเจนจิราให้เกลียดชังหล่อน ให้มองหล่อนเป็นแค่ขี้ข้ารับใช้เท่านั้น ซึ่งเจนจิราก็เชื่อฟังมารดาของตนเองอย่างดีเยี่ยมทีเดียว
“อ้อ อีกอย่าง...” เจนจิราหันมามองหล่อน สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “แกรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเล็งพี่นัท”
“เอ่อ... ค่ะ...”
ธนัท รุ่นพี่ปีสามที่มาจีบหล่อน แต่เจนจิราสนใจธนัท ทำให้หล่อนต้องคอยหลบหน้าชายหนุ่ม
“ห้ามเสนอหน้าไปให้พี่นัทเห็น เพราะฉันต้องได้เขาก่อน”
“ค่ะ”
แล้วเจนจิราก็หัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่หล่อนนั่งก้มหน้านิ่ง และบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดอะไรมาก ให้เคยชินกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว
“คนรับใช้อย่างแกน่ะ ถ้าอยากจะมีผัวกับเขาบ้าง ก็ให้มองคนระดับเดียวกันนู้น ไอ้เสกไง หรือว่าไอ้หนุ่มก็ได้ พวกนั้นเหมาะกับคนอย่างแกที่สุดแล้วล่ะ” เจนจิราหมายถึงลูกชายคนสวน กับลูกชายของคนขับรถ
หล่อนทำได้แค่นั่งนิ่งเงียบ และก็ไม่คิดจะใส่ใจกับคำเหยียดหยามของเจนจิราอีก
รถคันงามวิ่งมาได้สักพักก็เลี้ยวจอดข้างทาง หลังจากที่เจนจิรารับโทรศัพท์มือถือ
“แกลงตรงนี้แหละ ฉันมีธุระด่วน”
“เอ่อ... คุณเจนมีสอบตอนเช้านะคะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันมีธุระด่วน แกรีบลงๆ ไปเลย” เจนจิราตวาดใส่
“ตะ... แต่ว่า...”
“เดี๋ยวก็ถีบลงไปเสียเลย ลงไปได้แล้ว ฉันรีบโว้ย!”
หล่อนจำต้องเปิดประตูรถ และก้าวลงไป ซึ่งรถคันงามที่เจนจิราขับก็แล่นจากไปทันที
หล่อนมองตามท้ายรถนั้นไปด้วยความไม่สบายใจ เพราะเจนจิราขาดเรียนบ่อยมาก แถมครั้งนี้ยังเป็นการสอบเก็บคะแนนอีกด้วย เพราะอย่างนี้ไง เจนจิราถึงเรียนไม่จบเสียที ทั้งๆ ที่อายุก็เยอะกว่าหล่อนตั้งสามปี
เตยหอมระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่าเจนจิรารีบร้อนแบบนี้ทำไม
เจนจิราคงไปหาผู้ชายคนไหนสักคนอย่างแน่นอน...
หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะก้าวเดินมุ่งหน้าตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
หล่อนถูกเจนจิราทิ้งลงกลางทางบ่อยๆ จึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร ชินเสียแล้วนั่นเอง
ปิ้นนนนน
คนที่กำลังเดินอยู่สะดุ้งตกใจ และหันไปมองเพื่อหาต้นเสียง ก็พบรถสปอร์ตราคาแพงคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างๆ กระจกด้านคนนั่งถูกลดลงต่ำเกือบหมดบาน พร้อมกับเสียงทักทายจากคนขับรถหรู
“กำลังจะไปเรียนหรือเตยหอม”
เขานั่นเอง...
อเล็กซิส โอคอนเนอร์ ผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่หล่อนเคยพานพบมาในชีวิต
ตั้งแต่สบตากันครั้งแรก เขาก็ทำให้หล่อนหวั่นไหว หล่อนไม่เคยกล้าสู้สายตาระยิบระยับสีฟ้ากระจ่างของผู้ชายคนนี้ได้นานเกือบสามวินาทีสักครั้ง
ดวงหน้านวลที่ไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอางเห่อร้อนเหมือนเช่นทุกครั้งที่เห็นเขา
หล่อนยอมรับอย่างเจ็บปวดว่าตกหลุมรักผู้ชายคนนี้เสียแล้ว ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจนจิรา และหล่อนไม่มีสิทธิ์
“คุณอเล็กซิส...”
“บอกกี่ทีแล้วให้เรียกฉันว่าอเล็กเฉยๆ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็ม มันยาวไป”
“เอ่อ...” หล่อนก้มหน้างุดหลบสายตาสีฟ้ากระจ่างแสนสวย
“ขึ้นรถมา ฉันจะไปส่ง”
“มะ... ไม่เป็นไรค่ะ เตยไปเองได้”
“จะไปโหนรถเมล์ให้ลำบากทำไม ขึ้นมานี่ ฉันผ่านทางนั้นพอดี เดี๋ยวแวะส่ง”
“แต่เตย...”
“หรือว่ากลัวหนุ่มๆ ที่มอเห็นฉันแล้วเรตติ้งของเธอจะตกกันล่ะ”
“ปะ เปล่านะคะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” หล่อนส่ายศีรษะไปมา สีหน้ามีความเป็นกังวล
อเล็กซิสอมยิ้ม “งั้นก็ขึ้นมาบนรถเถอะ ฉันจอดนานๆ เดี๋ยวตำรวจมาเรียกพอดี ขึ้นมา”
“เอ่อ...” หล่อนลังเลอยู่สักพักก็จำต้องก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของอเล็กซิสอย่างไม่มีทางเลือก “ขะ... ขอบคุณมากนะคะที่มีน้ำใจกับเตย”“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ก็บอกว่าผ่านทางนั้นพอดีไง”เขาระบายยิ้ม ก่อนจะหักพวงมาลัยพารถคันงามขึ้นไปวิ่งบนถนนอีกครั้งอเล็กซิสลอบมองเตยหอม ก็พบว่าหล่อนนั่งตัวลีบแทบจะชิดประตูรถจนน่าสงสาร หล่อนคงจะประหม่า“อยู่ปีไหนแล้วล่ะเธอน่ะ”“เอ่อ ปีสองแล้วค่ะ”“แล้วเธอเรียนคณะอะไรหรือ”“เอ่อ... เตยเรียนการโรงแรมค่ะ” หล่อนตอบโดยที่ตัวเองยังคงก้มหน้างุดอยู่ตลอดเวลา“เฮ้ย จริงอ่ะ บ้านฉันก็ทำธุรกิจโรงแรม ถ้าเรียนจบแล้วก็มาฝึกงานได้นะ ฉันยินดีรับ”“ขะ... ขอบคุณค่ะ”“เธอนี่ขอบคุณบ่อยจัง มันติดปากมากหรือไงไอ้คำนี่นะ”หล่อนเผลอเงยหน้าและหันไปมองเขา ก็พบว่าเขาหันมามองพอดี ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ทอดมองมาทำให้หัวใจสาวเต้นแรงมาก จนแทบจะกระดอนออกมาจากทรวงอก“เอ่อ...”อเล็กซิสหัวเราะขบขัน ส่ายหน้าไปมา เขาคงจะเอือมระอาในความน่าเบื่อหน่ายของหล่อนนั่นแหละ“ทำไมไม่ไปเรียนพร้อมกับเจนจิราล่ะ อยู่มอเดียวกันไม่ใช่หรือ”“เอ่อ...” หล่อนคงต้องโกหกออกไป เพราะหากพูดความจริงเจนจิราจะต้องดูแย่ในสายตาของอเล็ก
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณพ่อ”ฟาเบียนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่ มองลูกชายที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาทักทาย“สวัสดีไอ้ลูกรัก ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าตาแช่มชื่นนักล่ะ”ผู้เป็นลูกชายเดินผิวปากเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่างกระจก“คงเพราะผมได้กินอาหารเช้าตรงเวลามั้งครับ”ฟาเบียนหัวเราะชอบใจ “นี่แกไปเอามุกตลกฝืดๆ แบบนี้มาจากที่ไหนวะ”“มันไม่ใช่มุกนะครับคุณพ่อ แต่มันคือเรื่องจริง เมื่อตอนเจ็ดโมงผมจอดรถข้างทาง และรับประทานอาหารเช้าครับ” “ผีเข้าแกหรือไงวะ ปกติเห็นดื่มแต่กาแฟดำ” ผู้เป็นลูกชายไหวไหล่น้อยๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มละไม “ก็มันอยากขึ้นมากะทันหันนี่ครับ” คนเป็นพ่อหัวเราะร่วนอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “เมื่อเช้าแม่แกคุยอะไรด้วยหรือเปล่า” “เปล่านี่ครับ มีอะไรหรือครับพ่อ” “ก็เรื่องแต่งงานกับหนูเจนจิราไง” สีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอเล็กซิสจางหายไป และก็มีความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ “ไหนว่ารอยายนั่นเรียนจบก่อนไงครับ” “ก็รอตามนั้นนั่นแหละ แต่เรื่องที่แม่จะคุยกับแกน่ะ น่าจะเป็นเรื่องสินสอดมากกว่า” “อย่ามาปรึกษาผมเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่มีความเห็น สำ
หลังจากอึดอัดจนแทบอาเจียนกับท่วงท่าทอดสะพานเสริมใยเหล็กของเจนจิรากลางโต๊ะอาหารค่ำอยู่นานจนแทบอาเจียน อเล็กซิสก็ปลีกตัวออกมายืนสูบบุหรี่อยู่นอกตึกใหญ่ควันบุหรี่สีตะกั่วลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาคมกริบจับจ้องมองแผ่นฟ้ากว้าง กระทั่งหางตารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนจึงหันไปมองเขาขยี้ก้นบุหรี่กับถ้วยแก้ว ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเงาตะคุ่มที่พบเห็น“ทำอะไรน่ะ”“อ๊ะ...”เขาคว้าแขนเจ้าของเงาตะคุ่มเอาไว้ และก็พบว่ามันเรียวเล็กเกินกว่าจะเป็นเรียวแขนของบุรุษ“เตยหอม...”แม้จะมองไม่ชัดนัก แต่แววตาตื่นตระหนกแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหล่อน“เอ่อ... ปล่อยเตยก่อนค่ะ”เขายอมปล่อยแขนเรียวออกจากอุ้งมือ แต่ก็ยังไม่ยอมขยับออกห่าง“มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ เดี๋ยวงูเงี้ยวก็ฉกเอาหรอก”“เอ่อ... เตยทำต่างหูหล่นน่ะค่ะ พยายามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอเลยค่ะ”ดวงตาของอเล็กซิสละจากดวงหน้าของเตยหอม มามองที่ติ่งหูเล็กเพื่อจะมองต่างหู แต่เส้นผมสีดำขลับบดบังเอาไว้ทำให้เขาต้องยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมนุ่มนั้นจนพ้นทาง และจ้องมองต่างหูที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวแม้จะมีแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟของตัวตึกสาดส่องกระทบลงมา แต่เขาก็
“ไม่เอาน่าลูกรัก อย่าขัดใจแม่แบบนี้สิ แต่งตอนนี้ หรือว่าแต่งตอนไหนมันก็ต้องแต่งเหมือนกันนั่นแหละลูก เชื่อแม่เถอะ แต่งๆ ไปซะ แม่จะได้สบายใจ”“คุณแม่สบายใจ แต่ผมทุกข์ใจนะครับ”“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทุกข์ใจเลยนี่พ่ออเล็ก หนูเจนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ลูกน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยรู้ไหม”“แต่ผมไม่ได้รักเธอครับ”“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละน่า เชื่อแม่เถอะนะ”อเล็กซิสกระแทกลมออกจากปากแรงๆ อย่างหงุดหงิด มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากหลายครั้ง“โอเค ผมแต่งเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าคนดีของคุณแม่ไม่ได้ซิงเหมือนราคาคุย ผมจะหย่าทันที”เจสสิก้าหัวเราะร่วน “แหม เอาเรื่องนี้มาต่อรองกับแม่เชียวนะพ่ออเล็ก ไหนว่าไม่สนใจพรหมจรรย์ของผู้หญิงไงล่ะลูก”“ผมไม่ได้ไยดีเยื่อนรกพวกนั้นหรอกครับ แต่คุณแม่คุยเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องเจนเรียบร้อยอย่างนั้นเรียบร้อยอย่างนี้ แถมยังอ่อนต่อโลกอีก ก็คอยดูกันสิว่าจะซิงอย่างที่คุณแม่โม้เอาไว้หรือเปล่า”“ลูกไม่มีวันได้หย่าจากหนูเจนหรอกจ้ะลูกรัก เพราะหนูเจนของแม่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำค้างกลางหาวเสียอีก”เจสสิก้าหัวเราะชอบใจ ส่วนอเล็กซิสนั่งหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด แต่อี