เฌอปราง อิสเรศ เด็กสาววัยสิบแปดปีบริบูรณ์ ดวงหน้าขาวเนียนรูปหัวใจ สองพวงแก้มที่ผุดผ่องสดใสจนเห็นเส้นเลือดฝอยภายใน มีลักยิ้มบุ๋มน่ามองยามเจ้าตัวแย้มยิ้ม เรือนร่างอรชรถูกซ่อนเร้นเอาไว้ใต้เสื้อผ้าตัวใหญ่ ความสูงหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดเซนติเมตร ทำให้หล่อนดูตัวเล็กมากหากยืนอยู่ใกล้ผู้ชายสูงสง่าอย่าง เคลวิน แม็กคลาเรน เจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือและในประเทศไทย
เด็กสาวคือลูกสาวของคนงานในไร่ที่เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ ทำให้เป็นกำพร้า และก็ต้องตกมาอยู่ในการดูแลของเคลวินตั้งแต่อายุสิบขวบ ระยะเวลาแปดปีเต็มที่ผ่านมา ความเอาใจใส่ของพ่อเลี้ยงหนุ่มหล่อที่มีให้นั้น ทำให้เด็กสาวอย่างหล่อนซาบซึ้งใจนัก และมันก็ทำให้หัวใจไร้เดียงสารู้จักคำว่ารักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สนามหญ้าหลังบ้านไม้สักหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงเคลวิน แม็กคลาเรน คือสถานที่ที่หล่อนมักจะมานั่งทอดอารมณ์ และมองดวงอาทิตย์ที่กำลังปีนป่ายขึ้นจากขอบฟ้าเสมอ แต่หลายวันมานี่มันต่างไปจากเดิม เมื่อสนามหญ้าหลังบ้านไม่ได้เป็นที่ส่วนตัวของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
เรือนกายสูงสง่าล่ำสันของพ่อเลี้ยงเคลวินกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้สีขาวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะไม้ที่มีลักษณะทรงกลมสีเดียวกัน บนโต๊ะไม้มีขวดเหล้า ถังใส่น้ำแข็ง และแก้วใสทรงสวยที่มีหยาดน้ำสีอำพันเจืออยู่ที่ก้นของมัน
หล่อนรู้ตัวว่าควรจะเดินจากไป เพราะมั่นใจว่าเคลวินกำลังต้องการความเป็นส่วนตัว แต่สองขากลับไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ผู้มีพระคุณด้วยความเห็นใจ
หล่อนรับรู้เรื่องราวเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของเคลวินไม่ต่างจากคนงานทุกคนในไร่ชาแห่งนี้
คุณณิชา คนรักที่เคลวินรักมาก พวกเขาคบหากันมายาวนาน และทุกคนก็มั่นใจว่าพวกเขาจะต้องแต่งงานกันในตอนสุดท้าย แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด เมื่อจู่ๆ คุณณิชาก็ส่งการ์ดแต่งงานมาถึงเคลวิน และบอกว่าจะแต่งงานกับเศรษฐีฝรั่งคนหนึ่งที่เพิ่งเจอกันได้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
หล่อนรู้ดีว่าเคลวินจะต้องช็อกมากๆ และก็คงเสียใจจนแทบเป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อผู้หญิงที่เขารักมากดั่งดวงใจมาสะบั้นรักลงกะทันหันแบบนี้
ตอนแรกหล่อนเป็นห่วงมาก กลัวว่าเคลวินจะเสียใจจนเสียผู้เสียคน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่อย่างนั้น เคลวินแสดงความเสียใจให้ทุกคนเห็นก็จริง แต่ภายใต้ความเสียใจนั้น ชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความคั่งแค้นจนน่ากลัว
แกรก...
หล่อนขยับเท้า และก็บังเอิญไปเหยียบท่อนไม้แห้งที่อยู่ด้านหลังจนหัก เกิดเสียงดังขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าคนที่นั่งดื่มเหล้ามองแสงตะวันยามเช้าอยู่ต้องได้ยิน
เคลวินมองมาที่หล่อน...
ร่างเล็กกะทัดรัดของเฌอปรางคล้ายกับถูกคำสาปให้ยืนนิ่งไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้
ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมายังร่างของหล่อนนั้นมืดลึกและอ่านความรู้สึกไม่ออก
หล่อนพยายามตั้งสติ แต่การเผชิญหน้ากับเคลวินมันสร้างความประหม่าให้กับหล่อนเสียทุกครั้ง ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าตกหลุมรักเขาเข้าเต็มหัวใจ
กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง มือเล็กที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวชุ่มชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ
หล่อนระมัดระวังการแสดงออกของความรู้สึกตนเองเสมอ ไม่มีวันที่หล่อนจะทำให้เคลวินลำบากใจกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของหล่อนแน่นอน
เพราะหล่อนรู้ดีว่าเขาไม่เคยต้องการ...
“สวัสดีตอนเช้า เฌอปราง”
น้ำเสียงสบายๆ ของเคลวินที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยทำให้เฌอปรางต้องรีบรวบรวมสติ และก้าวเข้าไปหาเขาอย่างไม่มีทางเลือก
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ พ่อเลี้ยง”
เคลวินระบายยิ้มออกมา และมองหล่อนด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากทุกวัน ซึ่งมันก็ทำให้หล่อนทั้งประหม่าทั้งรู้สึกขัดเขินจนเผลอบิดตัวไปมา
“นั่งก่อนสิ”
“เอ่อ... หนู...”
หล่อนกำลังจะปฏิเสธ เพราะการเผชิญหน้ากับเคลวินมันทำให้หล่อนอ่อนแอและอ่อนไหวเหลือเกิน
“เดี๋ยวนี้เธอดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะเสวนากับฉันเลยนะ เฌอปราง”
“ไม่... ไม่ใช่ค่ะพ่อเลี้ยง”
“งั้นก็นั่งลงสิ ฉันคิดว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน”
หล่อนจำต้องหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ ตัวตรงกันข้ามกับเขา หัวใจสาวเต้นแรงระรัว แข้งขาก็อ่อนแรง เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ กับผู้ชายเจ้าของดวงใจ
เคลวินหล่อมาก...
นี่คือคำจำกัดความเดียวที่หล่อนมอบให้เขาได้
หล่อเถื่อนๆ หล่อแบบมีพลังทำลายล้างสูงลิบ
เฌอปรางพยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองไม่ให้หอบกระชั้นจนคนตรงหน้าสังเกตเห็น
“นี่ฉันไม่ได้เห็นเธอนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“ก็น่าจะ... สองสามอาทิตย์ค่ะ”
ซึ่งมันก็คือช่วงเวลาที่หล่อนเข้าไปพักที่หอพักในเมืองเพื่อสอบภาคเรียนสุดท้ายของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
“ก็ไม่นานนะ ทำไมเธอดูโตเป็นสาวจัง”
พวงแก้มนวลแดงระเรื่อ และก้มหน้าหลบสายตาเข้มเป็นประกายของผู้ชายที่หล่อวัวตายควายล้ม ลงมองปลายเท้าของตนเองด้วยความเขินอาย
“ก็... หนูสิบแปดแล้วนี่คะ”
หล่อนอ้อมแอ้มตอบออกไปเสียงแผ่วเบา
เคลวินหัวเราะในลำคอ พิศมองดวงหน้าขาวผ่องของเด็กสาววัยกำดัด เจ้าหล่อนมีรอยยิ้มสดใสที่ให้ความรู้สึกเหมือนแสงตะวันยามเช้า มันทั้งอบอุ่นและสดใส
ริมฝีปากที่อยู่ใต้จมูกโด่งเชิดพองามอวบอิ่มจนดูเหมือนจะหนาเกินไป ไม่ได้เป็นรูปกระจับเหมือนที่สาวๆ นิยมกัน แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูเย้ายวนเชิญชวนให้ชายลิ้มลอง
ดวงตากลมโตสีดำขลับสดใส แววตาของหล่อนไร้เดียงสาไม่ต่างจากเด็กสาววัยแรกรุ่นทั่วไป แต่ทุกครั้งที่นัยน์ตาหวานทอดมองมายังเขา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเทิดทูนบูชาจากเจ้าหล่อนได้อย่างชัดเจน และเพราะแบบนี้ไง เขาถึงมีความคิดเห็นแก่ตัวอย่างนี้ขึ้นมาในสมอง
“นั่นสินะ เธอมีอายุสิบแปดปีแล้ว”
“เอ่อ... เมื่อกี้พ่อเลี้ยงบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับหนูใช่ไหมคะ”
“อืม”
ใบหน้าหล่อลากไส้ผงกขึ้นลงตอบเพียงสั้นๆ ในขณะที่หล่อนรู้สึกกังวลแปลกประหลาด
“เอ่อ... เรื่องมหาวิทยาลัยใช่ไหมคะ”
เคลวินเคยบอกกับหล่อนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่าหลังจากที่หล่อนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก เขาจะส่งหล่อนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่หล่อนต้องการเรียนต่อแค่ที่เชียงใหม่เท่านั้น
“ไม่ใช่”
ดวงตากลมโตของเฌอปรางเบิกกว้างเล็กน้อย และก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ เคลวินยังจะมีเรื่องอะไรคุยกับหล่อนอีกล่ะ ในเมื่อปกติแล้ว เขาไม่ค่อยจะสนใจเสวนากับหล่อนสักเท่าไหร่
“เอ่อ... แล้วเรื่องอะไรเหรอคะพ่อเลี้ยง”
ดวงตาสีน้ำตาลของเคลวินจ้องมองมาที่หล่อนนิ่งนาน นานจนหล่อนรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
เคลวินไม่เคยมองหล่อนด้วยสายตาแบบนี้ และไม่เคยมองนานแบบนี้ด้วย
“หนูยินดีทำทุกอย่างตามคำสั่งพ่อเลี้ยงค่ะ”
หล่อนตัดสินใจพูดออกไป เพื่อให้ผู้ชายตรงหน้ายอมเฉลยสิ่งที่ค้างคาใจเสียที
หล่อนเห็นเขาพ่นลมออกจากปากเฮือกใหญ่สองสามครั้ง ก่อนที่จะเริ่มต้นพูดขึ้น
“ฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากเธอน่ะ”
“ค่ะ”
ดวงตากลมโตจ้องมองเขา มองอย่างรอคอยใจจดจ่อ
“เธอน่าจะพอรู้มาบ้างแล้วล่ะ เรื่องณิชาน่ะ”
“เอ่อ... หนู... พอ... พอทราบค่ะ”
หล่อนอึกอักไม่อยากจะพูดออกไปนัก เพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจของผู้ชายตรงหน้า
“มันเป็นเรื่องที่น่าบัดซบมากที่จู่ๆ ฉันถูกคนรักที่คบกันมาสิบกว่าปีสลัดทิ้ง แถมยังได้รับการ์ดเชิญแต่งงานมาให้แสลงใจอีก”
“พ่อเลี้ยงคะ... หนูไม่รู้จะช่วยพ่อเลี้ยงยังไง แต่หนูอยากให้พ่อเลี้ยงเข้มแข็งไว้นะคะ”หล่อนคิดว่าเขาจะแสดงความเจ็บปวดออกมา แต่กลับไม่มีให้เห็นเลย เพราะแววตาของเคลวินตอนนี้มีแต่กองไฟ และมันก็คือไฟแค้นที่น่ากลัว“ถูกต้อง ฉันเจ็บปวด แต่ในความเจ็บปวดนั้นมันอัดแน่นไปด้วยความแค้น”“เอ่อ...”“แล้วฉันก็ต้องการให้เธอช่วย”หล่อนคิดไม่ออกว่าเคลวินจะให้หล่อนช่วยเหลืออะไร ในเมื่อไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก“ถ้าหนูทำได้ หนูยินดีช่วยพ่อเลี้ยงทุกอย่างค่ะ”หล่อนเห็นริมฝีปากหยักสวยของเคลวินบิดเบี้ยว ก่อนที่เขาจะยิ้มเย้ยหยันออกมา“เธอช่วยฉันได้แน่นอน เฌอปราง”“เอ่อ... แล้วพ่อเลี้ยงจะให้หนูช่วยยังไงเหรอคะ”ไฟร้ายในดวงตาสีน้ำตาลของเคลวินลุกโชนจนน่าหวั่นใจแทนณิชา“ฉันต้องการจ้างเธอมาแต่งงานด้วย”“คะ?!”หล่อนต้องหูฝาดไปแน่ หรือไม่ก็... อาจจะได้ยินผิดไป ไม่มีทางที่เคลวินจะมีความคิดบ้าคลั่งแบบนี้หรอก“ฉันต้องการแก้แค้นณิชา ด้วยการจ้างเธอมาแต่งงานด้วย”คราวนี้หล่อนรู้แล้วล่ะว่าตัวเองหูไม่ได้ฝาดเฝื่อน แต่สิ่งที่ได้ยินมันดังออกมาจากปากหยักสวยของเคลวินจริงๆดวงตากลมโตเบิกโพลง กลีบปากอิ่มสีแดงระเรื่อเผยอกว้างด้วยค
“นั่งลงสิ”ท่าทางเป็นการเป็นงานของเคลวิน ทำให้เส้นประสาทของเฌอปรางตึงเครียดยิ่งขึ้นหล่อนค่อยๆ หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้นวมนุ่มที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะทำงานไม้ของเคลวินมือเล็กประสานกันบนตัก ภายในอุ้งมือชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อที่ขยันผุดพรายขึ้นมาเพราะความหวาดหวั่นที่กำลังเต้นระริกอยู่ภายในอกจนล้นปรี่หล่อนค่อยๆ เงยหน้ามองเขา และก็ได้เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง เส้นผมสีเข้มของเขาหล่นลงมาปรกละที่บริเวณหน้าผาก แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจมันนัก เพราะมือใหญ่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการดึงกระดาษสีขาวที่ถูกเย็บรวมกันสองสามแผ่นออกจากซองสีน้ำตาลเข้มตรงหน้า“เอาล่ะ ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องสัญญา”เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษสีขาวที่วางอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมายังหล่อน มีแววตำหนิอยู่ในนั้นกลายๆ“ความจริงฉันก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเธอคือคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นเมียจ้างของฉัน ฉันก็เลยคิดว่า ยังไงก็ต้องตกลงทำความเข้าใจกันเอาไว้เสียก่อน เพราะฉันไม่ใช่คนที่ชอบมานั่งทะเลาะกับผู้ร่วมงานภายหลัง”ผู้ร่วมงาน...เฌอปรางสะท้อนในอกยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าสำหรับเคลวิน นอกจากฐ
“หนู...” หล่อนอึกอักพูดไม่ออก สมองมโนไปไกลแสนไกลเหลือเกิน“เอาล่ะ เธอไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปประกาศกับคนงานทุกคนในไร่ชาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ส่วนเธอเก็บเรื่องสัญญาเอาไว้เป็นความลับล่ะ ฉันไม่ต้องการให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปให้แม้แต่มดหรือหนูรู้ทั้งนั้น”“เอ่อ... แล้วถ้าคนงานในไร่สงสัยล่ะคะ เพราะ... ว่าพ่อเลี้ยงกับหนูเราไม่เคย... เอ่อ...”หล่อนยังพูดไม่ทันจบ เขาก็แทรกขึ้นอย่างเข้าใจความหมายของคำพูดที่ยังไม่ได้เล็ดลอดออกมาจากปากอิ่ม“ใครจะสงสัยก็ช่างปะไร ในเมื่อคนที่ฉันต้องการให้เชื่อสนิทใจก็คือณิชา”หล่อนก้มหน้าหลบสายตาของเคลวินอีกครั้ง“ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะพ่อเลี้ยง”“ดี”“เอ่อ... งั้นหนูขอตัวกลับที่พักก่อนนะคะ”“ไปเถอะ แล้วอย่าลืมล่ะว่าตอนนี้เธอได้รับจ้างแต่งงานกับฉันเรียบร้อยแล้ว”“ค่ะ... หนูไม่ลืมค่ะ” หล่อนตอบรับเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงของลมหายใจ“งั้นไปเถอะ เดินกลับห้องดีๆ ล่ะ”“ขอบ... คุณค่ะพ่อเลี้ยง”หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง แข้งขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะก้าวเดินออกไปน้ำตาหยดแหมะอาบแก้ม เมื่อหันหลังให้กับเขาได้สำเร็จ หัวใจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรม
ชาร์ลีพยายามเตือนสติเพื่อนรัก เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าผู้หญิงคนเดียวที่เคลวินรักคือณิชา และเคลวินก็ไม่มีทางรักเฌอปรางได้“แล้วไง”“ก็ไม่แล้วไงหรอก นายควรจะมีมนุษยธรรมบ้าง ปล่อยเด็กมันไป อย่าไปฝืนใจให้เด็กทำเรื่องอย่างว่าโดยไม่เต็มใจเลย หรือถ้านายเกรงว่าจะไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไป นายก็ให้เด็กมันทำงานบ้าน ทำอาหารอะไรแบบนี้แทนก็ได้”“หึ คำจำกัดความของคำว่า ‘เมีย’ ในสมองของฉันก็คือ ผู้หญิงที่ต้องทำหน้าที่บนเตียง ไม่ใช่ผู้หญิงที่เอามาทำงานบ้าน หรือทำอาหาร”“ไอ้เคนนรก”คำด่าทอของชาร์ลีไม่ได้มีผลใดๆ ต่อความคิดของเคลวินเลย เขายังคงไม่ไยดีความรู้สึกของใครนอกจากความแค้นที่กำลังแผดเผาอยู่ในอก“ผู้หญิงไม่ว่าจะเด็กสาวหรือว่าหญิงสาว หล่อนเหล่านั้นล้วนถูกสร้างมาให้ทำหน้าที่สร้างความบันเทิงเริงใจให้กับผู้ชาย ดังนั้นเฌอปรางเองก็ไม่มีข้อยกเว้น”“ไหนนายบอกว่าจะไม่กินไก่วัดยังไงล่ะวะ”“นั่นมันก่อนที่ณิชาจะเชือดหัวใจของฉันด้วยความร่านของเธอ” เสียงของเคลวินกระด้างมาก“ส่วนนายไอ้ชาร์ล เลิกออกความคิดเห็นอะไรได้แล้ว เพราะขนาดเฌอปรางเอง ยังไม่เห็นพูด บ่น หรือแสดงความไม่พอใจอะไรเลย”ชาร์ลีถอนใจเฮือกใหญ่ “ที่ฉั