1 อาทิตย์ต่อมาเอี๊ยด!ปึง! ปึง! ปึง!รถยนต์สัญชาติยุโรป 4 ขบวน ฟังไม่ผิด 4 ขบวนจริง ๆ มีทั้งรถนำและรถติดตามของเหล่าบอดี้การ์ดพากันขับเข้ามาจอดล้อมประตูรั้วบ้านตระกูลติง“ไอ้หยา! ในที่สุดตาเฒ่าหัวดื้อนี่ก็รู้ความ เปิดบ้านต้อนรับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เสียที”“ไอ้ลูกเต่าแซ่ติง ออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะโว้ย”“เพ้ย! ไอ้เฒ่าขง เดี๋ยวได้โดนไล่ตะเพิดก่อนได้เข้าบ้านหรอก”“พวกเอ็งก็เงียบกันหน่อยเถอะ ล้งเล้งเป็นพ่อค้าหมูไปได้”สองศิษย์อาจารย์ที่ยืนรอรับแขกด้านใน คนหนึ่งมีสีหน้าแววตาแปลกประหลาดใจ ส่วนอีกคนที่ถูกเรียกไอ้ลูกเต่าดวงตาแทบจะพ่นไฟใส่เหล่าเพื่อนพ้องผมสองสี“ติงซ่งหนาน ไปเอาน้ำมาสาดไล่หมาหน้าบ้าน!” เสียงคำรามที่ดังออกมาจากด้านในหยุดเสียงโวยวายด้านนอกลง ทุกอย่างหยุดนิ่งเพียงชั่วครู่ แล้วระเบิดออกมาเป็น…“ติงมู่หยาง ไอ้ลูกหมา ฮ่า ฮ่า โผล่หัวออกมาได้เสียที”“เปิดประตูเร็วเข้า พวกเรามาแล้ว”ปึง ปึง ปึงฮ่า ฮ่า“อาจารย์แน่ใจนะว่านั่นเพื่อน ไม่ใช่เจ้าหนี้?” หลี่เหม่ยถิงถามเพื่อยืนยันอีกรอบ เอาล่ะเธอพอจะเข้าใจได้ว่าเพื่อนของท่านผู้เฒ่าจะหาใครสงบเงียบให้ผิดแผกออกไป ไม่น่าจะมี ค
หลี่เหม่ยถิงผู้ไม่รู้ว่า อาจารย์ตัวเองกำลังรอรับชมเรื่องสนุกแสดงสีหน้าลำบากใจ หันไปมองอาจารย์เหมือนกับขอความช่วยเหลือผู้เฒ่าติงเห็นศิษย์น้อยดึงตัวเองมาเล่นงิ้ว รีบเปลี่ยนท่าทีเบิกบานเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด ถลึงตาใส่เพื่อนตัวดี“นี่...พวกแกจะอะไรกันนัก ถึงขนาดรุมรังแกเด็กกันแล้ว” ไป๋เหรินชู เห็นเด็กสาวหน้าเสียก็ให้สงสาร ออกปากหันไปตำหนิเพื่อนผู้เฒ่ายกใหญ่ ผู้เฒ่าฉีก็เห็นด้วย“รังแกเด็กอะไรกัน ก็แค่อยากเห็นลูกศิษย์ตาเฒ่าแสดงความสามารถ” ผู้เฒ่าโจวกับผู้เฒ่าเซี่ยโดน 3 รุม 2 ก็ลดความคึกคักลง“ผู้เยาว์เพิ่งเรียนกับอาจารย์ได้ไม่นาน แสดงให้ชมเกรงจะเสียหน้าอาจารย์ได้ แต่ไหน ๆ ท่านผู้เฒ่าก็มาแล้ว หากได้รับการชี้แนะเพิ่มเติมคิดว่าคงมีโอกาสพัฒนาได้อีก จึงได้แต่ยอมขอโทษอาจารย์แล้ว”‘มาแล้ว วิธีถ่อมตนแต่พลิกลิ้นทีหลัง หนังตาไม่กะพริบของศิษย์น้อย’ ผู้เฒ่าติงแทบจะตบเข่าฉาด ให้ความสามารถของศิษย์รักลูกศิษย์ดูเจริญหูเจิรญตาขึ้นมาทันทีหลังจากตกลงแสดงเรียบร้อย ศิษย์อาจารย์ก็เดินไปซุบซิบกันตรงมุมห้อง รอพ่อบ้านติงยกฉินในห้องหนังสือออกมาวางท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย เห็นอาจารย์ศิษย์สนทนาหน้าตาเคร่งเครียด
ก๊อก ก๊อก“คุณหนูโทรศัพท์ครับ”หยางฝูเหว่ยรีบเดินเข้ามาเรียกหลี่เหม่ยถิง เด็กสาวกำลังนั่งจรดพู่กันคัดตัวอักษร บนข้อมือมีถุงถ่วงน้ำหนักรัดไว้ เป็นวิธีการฝึกข้อมือให้มั่นคง เธอยังคงวาดข้อมือจรดปลายนิ้วจนเส้นสายสุดท้ายสิ้นสุดจึงวางพู่กันลง“ใครโทรมาเหรอคะ” เอ่ยถามแต่ไม่ได้หันไปมอง หยิบกระดาษคัดอักษรขึ้นมาผึ่งลม “โทรศัพท์จากนายครับ” หลี่เหม่ยถิงเงยหน้าขึ้นมา ใช้สายตาสอบถาม“จริงครับ นายกลับมาจากประเทศเยอรมันแล้วครับ” ร่างเล็กลุกขึ้น วางกระดาษในมือลงแล้วออกตัววิ่ง“คุณหนูครับ คุณหนู” เขาจะบอกว่านายโทรเข้าโทรศัพท์เขา หยางฝูเหว่ยก้มมองมือที่ถือโทรศัพท์ “…”รวบรวมความกล้าแล้วกดตัดสายทันที หวังว่าหลังจากคุยกับคุณหนูจบ เจ้านายคงไม่ตัดเงินเดือนเขาจนหมดฉินเฟยหลงเพียงยกยิ้มมุมปาก‘ตั้งแต่ส่งไปอยู่กับเด็กน้อย คนของเขาก็ขวัญกล้าไม่เลว นี่ถึงขนาดกล้าวางสายเขา’หึ“สวัสดีค่ะพี่ใหญ่ฉิน กลับมาแล้วเหรอคะ เดินทางราบรื่นหรือเปล่า ไม่เป็นอันตรายใช่ไหมคะ” โทรไปเพียงกริ๊งเดียวเด็กน้อยก็รับสายแล้ว เสียงหายใจหอบนี่อีก คงวิ่งจากห้องหนังสือมารับสายที่เรือนนอน“วิ่งทำไมหืม เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” เสียงด
3 วันต่อมา โรงแรมหย่งหนิง ซีอาน“จุ๊ ๆ ดูสิใครก็มาแล้ว” เสียงแหลมของใครสักคน แว่วผ่านหูฟังของซาวด์อะเบาท์เข้ามา หลี่เหม่ยถิงเลือกที่จะเมินเฉย ยังคงยืนนิ่งรอคิวเช็กอินโรงแรมที่พักห้องล็อบบีของโรงแรมค่อนข้างวุ่นวาย เพราะมีคณะเดินทางที่มาแข่งขันจากหลายโรงเรียนยังคงไม่ได้เข้าห้องพัก ที่พักกับรถรับส่งเป็นทางผู้จัดงานติดต่อให้ คือสมาคมศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติ งานนี้เป็นการจัดแข่งอย่างเป็นทางการ มีโรงเรียนมัธยมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจากทั่วประเทศ 48 โรงเรียนมาแข่งขันการเก็บคะแนนมีทั้งประเภทเดี่ยวและทีม จากความสามารถของผู้เข้าแข่งของทีมโรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน มีสิทธิติด 1 ใน 5 อันดับแรกถ้าทำได้ดีแบบตอนซ้อมคณะของไท่หรงจึงเป็นที่จับตามองพอสมควร“นี่!” พรึ่บ…เจ้าของเสียงแสดงความไม่พอใจ เอื้อมมือหมายจะดึงไหล่หลี่เหม่ยถิง กลับมีร่างหนามายืนขวาง“กรุณาถอยห่างจากคุณหนูด้วยครับ” เกาอี้พูดด้วยเสียงเข้มไร้อารมณ์ราวหุ่นยนต์“เขาพูดกับฉันเหรอ?” หลี่เหม่ยถิงดึงหูฟังที่ซ่อนสายไว้หลังใบหูออก หันไปพูดกับจ้าวลี่จู“ค่ะประธาน” เลขาสภาตอบรับ“อ้อออออ…แล้วเขาเป็นใครล่ะ เรารู้จักกัน?”
ในชีวิตที่ผ่านมา ฉินเฟยหลงคิดมาตลอดว่าตนเองเป็นคนเยือกเย็นไม่ว่าสถานการณ์ที่เผชิญจะคับขัน น่าหวาดหวั่น หรือดูไร้ทางออกขนาดไหน เขายังสามารถใช้สติคิดวิเคราะห์หาช่องทางคลี่คลายได้เสมอแต่กับสถานการณ์ของหลี่เหม่ยถิง ฉินเฟยหลงกลับรู้สึกไร้พลัง ไม่สามารถหาทางออกหรือทำสิ่งใดได้เลยแววตาเจ็บปวด สับสน เลื่อนลอย น้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด เสียงพึมพำจับใจความไม่ได้ของเด็กสาวตรงหน้า เหมือนคนเอามีดมากรีดเปิดหัวใจเขาออกมาขย้ำจนไม่เหลือชิ้นดี“หลี่เหม่ยถิง เด็กน้อย กลับมา…มองหน้าผม”“เธอไม่ต้องเป็นเด็กดีก็ได้”“เธอไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องเลิศเลอ”“จะเอาแต่ใจ ซุกซนแค่ไหนก็ได้”“เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ขอแค่เธอเป็นเธอเท่านั้น”“ผมไม่มีวันทิ้งเธอ ต่อให้เธอเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถอะไร”ฉินเฟยหลงกอดกระชับร่างกายเล็กแข็งเกร็งจนแน่น พูดย้ำคำเหล่านี้วนเวียนไปมาจนเสียงแหบแห้ง แต่ไม่คิดจะหยุด“กลับมาเถอะนะ กลับมา”ผ่านไปเนิ่นนานในความคิดของเขา มือน้อยที่กอดตัวเองค่อย ๆ คลายออก ชายหนุ่มรีบก้มลงมองหาสัญญาณของการรับรู้จากดวงตาวาววามด้วยหยาดน้ำตาสีใสดวงตามืดมนเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ค่อย ๆ ส่องประกา
เช้าวันต่อมาอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติซีอาน“คนให้ความสนใจมากกว่าที่คิดนะคะ” จ้าวลี่จูหันมองทางที่นั่งสองฝั่งของตัวอาคาร มีบุคคลทั่วไปรวมถึงผู้ปกครองที่เดินทางมาพร้อมนักเรียน นั่งชมกันอยู่จนเต็มพื้นที่“วิทยาลัยศิลปะ ใช้ผลงานการแข่งขันพวกนี้เป็นเกณฑ์ในการรับเข้าศึกษาต่อส่วนหนึ่งน่ะ ก็ไม่น่าแปลกใจล่ะนะ” หลี่เหม่ยถิงนั่งไขว้ห้างเท้าคางมองดูบรรยากาศรอบ ๆ“ฉันขอตัวไปส่งเอกสารส่งตัวผู้เข้าแข่งขันในรายการของวันนี้ก่อนนะคะ” เธอหันไปพยักหน้าตอบรับแล้วมองดูพื้นที่ที่ใช้จัดการแข่งขัน แบ่งเป็นโซนหมากล้อม วาดภาพ เขียนพู่กัน แต่งกลอน พวกนี้สามารถแข่งในเวลาเดียวกันได้เพราะต้องการสมาธิและความเงียบ ส่วนดนตรีจะเริ่มแข่งในช่วงบ่าย‘ไปปลุกใจผู้แข่งขันสักหน่อยดีกว่า’ ดวงตาภายในกรอบแว่นส่องประกายวิบวับ “นักเรียนเว่ย นักเรียนจี นักเรียนลั่ว นักเรียนกง ทำให้เต็มที่นะ ผลแพ้ชนะไม่สำคัญ มั่นใจเข้าไว้ไม่ต้องกดดัน” อาจารย์ซ่งกำลังยืนให้กำลังใจเหล่านักเรียนที่เข้าแข่งขันในรอบแรกหลี่เหม่ยถิงมองดูการเตรียมพร้อมของแต่ละคน สำรวจเครื่องเขียนกับพู่กันของคนคัดอักษร คนวาดภาพ ส่วนคนเล่นหมากล้อมจ้องดูแววตาอยู่พัก
‘หลี่เหม่ยหลิน ไม่นึกว่าจะไร้สมองขนาดนี้’หลี่เหม่ยถิงหันมองสบตาหลี่เหม่ยหลินด้วยความสมเพช จะเวทนาก็ทำไม่ลง“เกิดอะไรขึ้นครับ” หมิงห่าวอี้เห็นสายตาผู้คนโดยรอบมองมาทางเขา จึงเดินเข้ามาสอบถาม“ผู้อำนวยการหมิง ไม่มีอะไรครับ มีนักเรียนมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” คณะกรรมการที่ท่าทางดุร้าย เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเมื่อมองไปเห็นผู้ถูกกล่าวหา‘นักเรียนคนนี้ จะลากเขาลงน้ำโคลนหรือไง’เขาหันมองหลี่เหม่ยหลินด้วยสายตาเข่นเขี้ยวชื่อตำแหน่งที่หลุดจากปากคณะกรรมการ เรียกเสียงอุทานตกใจจากนักเรียนรอบข้าง บางคนขวัญอ่อนหน่อยก็ทำท่าจะเป็นลมพวกเธอกล่าวหาคนระดบนี้ โรงเรียนไม่เอาพวกเธอไว้แน่หากเกิดอะไรขึ้นมานึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว โดยเฉพาะหลี่เหม่ยหลินที่ปากไวออกมา ตอนนี้ตัวสั่นเทาแทบจะหงายหลังล้มลง‘เธอจบเห่แล้ว’ขวับ!“พี่คะ...ช่วยฉันด้วย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ” หลี่เหม่ยหลิน อยากหายตัวไปจากตรงนี้ ตัวเลือกสุดท้ายก็คือขอให้หลี่เหม่ยถิงช่วยรับผิดแทน‘กล่าวหาประธานคณะกรรมการ เธอยังจะมีสิทธิลงแข่งอีกเหรอ?’“นักเรียนคนนี้กล่าวหาว่าพี่สาวยืนคุยกับท่านผู้อำนวยการในเชิงใช้เส้นสายค่ะ” คนให
ช่วงบ่ายของการแข่งขันวันแรก ผู้เข้าแข่งด้านดนตรีของโรงเรียนไท่หรง มีลงแข่งฉินกับอีกคนเล่นเซียว ทั้งสองคนทำสมาธิได้ค่อนข้างดี แถมยังเคยผ่านเวทีการประกวดมาก่อนจึงไม่ตื่นเวทีนัก ถือว่าทำได้ดีทั้งสองคน ได้ผ่านเข้ารอบต่อไปตามคาดจบการแข่งขันวันแรก ผลงานของโรงเรียนเป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกคน ขณะเดินออกไปขึ้นรถเตรียมตัวกลับโรงแรมจึงยิ้มแย้มแจ่มใสกันเต็มที่“ฮึ เป็นพี่สาวที่อำมหิตดีนะ ทำน้องสาวถูกตัดสิทธิการแข่งขัน ส่วนโรงเรียนตัวเองยิ้มแย้มหน้าชื่น” เสียงกระแนะกระแหนลอยมาตามลม เสียงดังรอบบริเวณ‘น้องสาว คงไม่ใช่ว่า...’หลี่เหม่ยถิงหันไปมองทางคนพูด เป็นเด็กสาวจากโรงเรียนมัธยมเฉิงตูลำดับ1 โรงเรียนของหลี่เหม่ยหลิน เธอจึงสอดส่ายสายตามองหาน้องสาวที่ขยันหาเรื่องเธอคนนั้นปวดประสาท น่ารำคาญยิ่งกว่าเสียงหมาข้างบ้านเธออยากรีบกลับไปนอนพัก ตอนนี้ฝืนลืมตาอยู่ได้ทั้งที่กินยาไปนานแล้ว สมองมันก็เริ่มเบลอ“ประธานคะ นั่นโรงเรียนของน้องสาวประธานนี่คะ” จ้าวลี่จูเดินมากระซิบถาม มองไปทางนั้นด้วยสีหน้ารังเกียจ“เก็บอารมณ์หน่อย อย่าให้ใครเขาจับอารมณ์เราได้ง่าย ๆ” เอามือตบลงบนไหล่ของจ้าวลี่จูเบา ๆ แล้วพาดแ
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ