“ถิงเออร์ ฮึก...”“ลูก ลูก...เฮ้อออ” ติงหรูอี้สมกับเป็นนังดอกบัวขาวพิษ การแสดงงิ้วนี้รื่นไหล ไร้ช่องโหว่ ตบเธอเสร็จกลับแสดงท่าทางอ่อนแรง เสียงพูดสั่นเทา ใบหน้าเจ็บปวดผิดหวังอย่างสุดแสน ผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายลูกไม้ถูกยกขึ้นซับน้ำตาน้ำตาไหลออกมาจริงอย่างกับสั่งได้“ลูกไม่ควรทำให้น้องถูกเข้าใจผิดแบบนั้น แม่ผิดหวังในตัวลูกมากเหลือเกิน ขอโทษนะจ๊ะถิงเออร์ เจ็บไหมลูก แม่...แม่ไม่ตั้งใจ แม่ระงับอารมณ์ไม่อยู่” พูดจบมือขาวผ่องที่ได้รับการดูแลตัดแต่งเคลือบเล็บอย่างดี ก็เอื้อมออกมาข้างหน้าเป็นท่าทางในเชิงขอร้อง เหมือนกลัวว่าเธอจะโกรธ“นี่ นักเรียนคนนั้น ถ้าทำผิดก็มาขอโทษคุณแม่เสียเถอะ”“ใช่ ใช่ ดูสิคุณแม่ของคุณร้องไห้ใหญ่แล้วนะ”“ไม่รู้ทำผิดอะไรมา แม่ถึงท่าทางผิดหวังขนาดนั้น”“ไม่ได้ยินเหรอ ใส่ร้ายน้องสาวตัวเอง ร้ายนะเนี่ย”ตรงที่นั่งของผู้เข้าแข่งขันนี้เปิดโล่ง เพียงแค่แยกส่วนออกจากทางที่นั่งของคนดูแต่ไม่มีอะไรกั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ผู้คนรอบ ๆ จึงสามารถชมดูได้ทั้งหมดหากเป็นหลี่เหม่ยถิงก่อนที่จะฟื้นจากอุบัติเหตุ เธอคงจะรีบลนลานเข้าไปปลอบใจคนที่เธอคิดว่าเป็นแม่ ออกปากขอโทษขอโพยทั้งที่ตัว
ฮ่า ฮ่า ฮ่าหลี่เหม่ยถืงหัวเราะอย่างสะใจ สายตาพราวระยับเหมือนเด็กซุกซน เดินผิวปากเหมือนนักเลงข้างถนน ท่าเดินส่ายเอวอาด ๆ ล้วงกระเป๋าทำเอาหยางฝูเหว่ยปวดหัวจี๊ด‘ถ้าท่านผู้เฒ่าติงมาเห็นเข้า มีหวังได้โดนจับไปเรียนมารยาทอีกแน่’“แค่นี้พอหรือครับคุณหนู?” หยางฝูเหว่ยสุดท้ายก็ถามออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม“ถือว่าเป็นดอกเบี้ยเรียกเก็บแล้วกันค่ะ การทำร้ายร่างกายเธอมันทำง่ายนะคะ แต่การจะค่อย ๆ กัดกินทำร้ายจิตใจยัยแก่นั่น คือสิ่งที่ฉันอยากทำมากกว่าอะไรทั้งหมด”‘เหมือนที่มันทำกับฉันมาทั้งชีวิต’คำพูดประโยคหลังที่ไม่ได้พูดออกมา เขาก็พอจะเดาได้บ้างไม่มากก็น้อย จริงของคุณหนูการทรมานจิตใจโหดร้ายกว่ามาก แววตาเหี้ยมเกรียม รอยยิ้มเย็นชาวาดผ่านใบหน้าของหยางฝูเหว่ยชั่วแว่บ‘ถ้าเจ้านายรู้เข้า มีหวังติงหรูอี้ไม่ได้เดินจากไปง่าย ๆ อย่างนี้แน่’“ไม่ต้องบอกพี่ใหญ่ฉินล่ะ” เสียงหลี่เหม่ยถิงลอยมาตามสายลม ดักคอหยางฝูเหว่ยได้พอดิบพอดี “ไม่งั้นติงหรูอี้ไม่เหลือมาถึงมือให้ฉันได้เล่นสนุกแหง” จากนั้นก็เป็นเสียงพึมพำกับตัวเองในลำคอ ในห้องรับรองของคณะกรรมการจัดงาน“คุณติดต่อนักเรียนหลี่ ให้เข้ามาสแตนด์บายได้แ
ปึก!มือคร้ามแข็งแรงโยนปากกาลงกองเอกสาร ยกโทรศัพท์ขึ้นติดต่อเจ้าของข้อความทันที “ล็อกเป้าแล้วใช่ไหม?” “ล็อก…ซ่า…ครับนา…”เสียงตอบกลับขาดหาย น่าจะอยู่ในเขตพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลจากเสาสัญญาณ เขาตัดสินใจวางสายแล้วใช้การส่งข้อความแทน น่าจะรู้เรื่องมากกว่า“เจอตัวสวีอวี้เจ๋อในจังหวะที่ไม่ดีนัก”หลังจากลองคำนวณความเป็นไปได้หลายอย่าง ก็เริ่มพิมพ์สั่งงานทันที‘ยังไม่ต้องคุมตัว แต่หาคนคอยจับตาดูทั้งครอบครัวนั้นอย่างใกล้ชิด คราวนี้อย่าให้หนีไปได้’คนต่อไปที่เขาจะติดต่อคือผู้เฒ่าติง“สวัสดีครับผู้เฒ่าติง ผมมีเรื่องของหลี่เหม่ยถิงมาปรึกษาครับ ต้องการความร่วมมือจากท่านผู้เฒ่าด้วยส่วนหนึ่ง” ฉินเฟยหลงพูดเข้าประเด็นทันที ไม่เปิดโอกาสให้อาจารย์ของหลี่เหม่ยถิงเขม่นกลับมาตอนนี้เขาอยากได้ผลที่รวดเร็วจึงไม่ใช่เวลามาล้อเล่นกับท่านผู้เฒ่า“เรื่องการรักษาศิษย์น้อยหรือเปล่า” ผู้เฒ่าติงได้ยินเสียงหนักแน่นก็จริงจังขึ้นมาบ้าง“ไม่ใช่ครับ เรื่องอุบัติเหตุในไท่หยวน ผมต้องการให้ท่านผู้เฒ่าเป็นตัวแทนเธอในการรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนใหม่ เพราะตอนนี้เราได้หลักฐานเพิ่มเติมมาแล้ว” หลังจากที่เด็กน้
4 เดือนผ่านไป“หมอขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ ผลการตรวจค่าความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมองกลับมาค่อนข้างปกติแล้ว ต่อไปเราจะปรับแผนการรักษานิดหน่อยนะครับ จะมีการปรับตัวยา แล้วก็การบำบัดทางจิตจะเป็นทุก ๆ 2 เดือน”หลี่เหม่ยถิงหันไปเปิดรอยยิ้มกว้างสดใสให้กับหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ ขายหนุ่มทั้งสองคนยืนตัวเกร็งอยู่ทางเข้าห้องตรวจ พอได้ยินสิ่งที่แพทย์ที่รักษาคุณหนูพูด ต่างก็เพิ่งรู้ตัวว่ากลั้นหายใจอยู่หยางฝูเหว่ยมีรอยยิ้มบาง ใบหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิจเพิ่มความอบอุ่นขึ้นมามากทีเดียว เกาอี้เสียอีกที่กลับมีน้ำตาคลอ ระยะเวลา 5-6 เดือนที่อยู่ด้วยกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีความผูกพันเกิดขึ้นคงเป็นเรื่องโกหก “อย่าเพิ่งดีใจจนลืมระมัดระวังนะครับ โรคนี้ถ้าไม่ระวังอาจจะกลับมาเป็นอีกครั้งได้หากมีปัจจัยกระตุ้น ทั้งจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ภาวะความเครียด หรือสารเสพติด”คนไข้อย่างหลี่เหม่ยถิงฟังคำเตือนก็ไม่มีท่าทีอะไร แต่คนกระวนกระวายกลับเป็นสองหนุ่มผู้ดูแลหยางฝูเหว่ยยกเครื่องบันทึกเสียงมาบันทึก ข้อควรระวังและการปฏิบัติตัวของคนไข้และผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังกริ๊ง“หมอว่ายังไงบ้าง” เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนเอ่ยถ
3 อาทิตย์ต่อมาโรงเรียนไท่หยวนลำดับ 1“เครื่องเขียนครบค่ะ ใบรายงานตัวอยู่นี่ ทุกอย่างครบค่ะ” จ้าวลี่จูกำลังตรวจเช็กของที่ต้องใช้สำหรับการสอบอีกรอบ“มันครบทุกรอบแหละลี่จู จะตื่นเต้นอะไรนัก นี่รอบที่ 5 แล้ว ไม่ต้องเช็กแล้วไม่มีอะไรขาด” เสียงยานคางเอ่ยอย่างละเหี่ยใจ วันนี้เป็นวันสอบเกาเข่าวันแรก เธอกับจ้าวลี่จูได้สนามสอบที่เดียวกันแต่คนละห้อง คนอื่นในสภานักเรียนได้สนามสอบอื่นกระจายกันไปพอเรียนจบจากไท่หรง ต่างคนก็มีเส้นทางชีวิตของตัวเอง โอกาสจะกลับมาพบกันอีกก็คงไม่มากนัก ในกลุ่มสภานักเรียนคนที่เธอสนิทใจด้วยที่สุดคือจ้าวลี่จู ส่วนคนอื่นพูดตามตรงก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในโลกใบแคบของเธอได้ “ฉันตื่นเต้นนี่คะ กลัวจะสอบได้คะแนนไม่ดี” เธอกลัว คะแนนไม่พอจะยื่นเรื่องไปเรียนที่เดียวกับประธานน่ะสิ เกรดดีแบบประธานถ้าไม่เข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็ชิงหัว 2 ที่นี้แน่“ศิษย์น้อยไม่ต้องตื่นเต้น ทำข้อสอบตามปกติก็ติดชิงหัวสบาย ๆ อยู่แล้ว” ท่านผู้เฒ่าให้กำลังใจตามปกติของท่าน แต่ดูเหมือนพ่อแม่ผู้ปกครองได้ฟัง จะเป็นอีกความหมายหนึ่ง“บ้านนั้นน่าไม่อายจริง ๆ จะโอ๋ลูกหลานให้ถึงสวรรค์เลยหรือไง ทำอย่า
มื้อเย็นในห้องอาหาร ค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะครึกครื้น มีผู้ร่วมโต๊ะที่มาพักอาศัยอยู่ในบ้านเพิ่มขึ้นมาอีก 3 ชีวิต เจ้าบ้านที่ดีก็ต้องต้อนรับขับสู้“ผู้อาวุโสติงกับถิงเออร์ มีวาสนาต่อกันขนาดนี้ ลูกไม่เห็นจะเล่าเรื่องของอาจารย์ให้ที่บ้านฟังบ้างเลยล่ะจ๊ะ เด็กคนนี้ไม่รู้ความจริงเชียว” ติงหรูอี้แกล้งดุหลี่เหม่ยถิง ผู้หญิงคนนี้ใช้สุ้มเสียงกดให้อ่อนโยนเหมือนเคย“จะบอกว่าหนูไม่ให้ความสำคัญกับอาจารย์เหรอคะ คุณนายติง” จบคำเรียกขานของหลี่เหม่ยถิง ห้องอาหารกลับมีเสียงช้อนหล่นกระทบจาน เสียงสูดลมหายใจของคนงานในบ้าน เสียงอุทานจากเด็กสาวฝั่งตรงข้าม“หลี่เหม่ยถิง ลูกทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ทำไมเรียกแม่แบบนั้น คุณคะ” คุณนายติง หรือคุณนายตระกูลหลี่ตัดพ้อแล้วหันไปมองทางเจ้าบ้านที่นั่งตรงหัวโต๊ะหลี่ซีซวนเพียงหันมอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วส่ายหน้า“ถิงเออร์รู้เรื่องแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อีก ในเมื่อลูกสะดวกใจเรียกแบบนั้นก็ปล่อยให้เรียกเถอะ” คำตอบจากปากของสามีทำเอาคุณนายของบ้านจิกเล็บลงในฝ่ามือ“ถึงแม่จะไม่ใช่แม่ที่คลอดลูกออกมา แต่สำหรับแม่ถิงเออร์ยังเป็นลูกของแม่เสมอนะจ๊ะ” ติงหรูอี้หันหน้ามายิ้
ห้องหนังสือ“ท่านผู้เฒ่าติงเชิญนั่งครับ” พอหลี่ซีซวนผายมือเชื้อเชิญให้นั่งคุยกันตรงชุดโซฟารับแขกในห้อง ติงมู่หยางก็นั่งลงตรงโซฟาเดี่ยวด้านข้าง มีคนงานมาเสิร์ฟชาหลังอาหาร“ที่ผมจะคุยเป็นเรื่องของถิงเออร์ ซึ่งเรื่องนี้ประธานหลี่เป็นพ่อของเธอก็ควรจะรับรู้เอาไว้” ติงมู่หยางเกริ่นนำ หลังจาก จิบชาแล้วเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง“เรื่องอะไรเหรอครับ” หลี่ซีซวนถามออกไปท่าทางเครียดตึง“เป็นเรื่องที่ทางบ้านปกปิดคุณเอาไว้ เพราะอาการป่วยของคุณตอนนั้นทรุดลง เกรงว่าคุณจะทนไม่ไหวอาจเกิดเรื่องร้ายได้” กล่าวมาถึงตรงนี้ตัวผู้เฒ่าติงก็ถอนหายใจหนัก ๆ แล้วกล่าวต่อ“เมื่อปีก่อนถิงเออร์ประสบอุบัติเหตุรถชน นอนหมดสติอยู่เกือบ 1 เดือน”“เป็นไปไม่ได้!!!!”ครืด…แฮ่ก แฮ่กหลี่ซีซวนตกใจสุดขีดจนลุกขึ้นยืน แล้วก็ซวนเซทำท่าจะล้มจึงนั่งกลับลงไป ลมหายใจหอบหนัก มือจับหน้าอกใบหน้าบิดเบ้ ล้วงขวดยาในอกเสื้อขึ้นมาเปิด แล้วโยนเข้าปากไปติงมู่หยางนั่งมองด้วยท่าทางเฉยเมย เขามองแล้วว่าอาการโรคหัวใจไม่ได้กำเริบ ยานั่นคงเป็นยาสงบใจ เขานั่งรอให้หลี่ซีซวนกลับมามีสติครบสมบูรณ์ก่อน“ตอนแรกทางครอบครัวของคุณส่งทนายไปจั
หลังจากล็อกห้องนอนเรียบร้อย ติงหรูอี้ก็ต่อสายโทรหาพี่ชายทันที“อาอี้ เกิดอะไรขึ้นค่อย ๆ เล่าเถอะ” เสียงปลายสายตอบมาแผ่วต่ำ“อาจารย์ของนังขยะบ้านฉันมันรื้อคดีอุบัติเหตุ คนขับรถบรรทุกดันใจเสาะรับสารภาพว่าถูกจ้างมา เราควรจะให้คนไปปิดปากคนขับแท็กซี่ก่อนดีไหมคะ” ติงหรูอี้เสนอความคิดออกมาด้วยการพูดปกติเหมือนแค่ทักทายกัน“ยังไม่ต้องหรอก อาอี้รู้ที่อยู่ของคนขับแท็กซี่ไหม เดี๋ยวพี่ให้คนไปเช็กก่อน ยังไม่ต้องทำอะไรแค่จับตามอง คุมตัวคนในบ้านมันไว้กันมันปากโป้ง แต่ถ้ามันคิดไม่ซื่อค่อยจัดการขั้นเด็ดขาด” ติงจื้อหัวบอกแผนการกลับมา“พี่ใหญ่ให้เส้นสายของพี่ติดต่อตำรวจที่สอบสวนด้วยนะคะ ยัดเงินให้มันเสียหน่อยป้องกันไว้อีกทาง ถ้ามันดื้อดึงก็หาทางเด้งมันออกไปให้พ้นจากคดี” “อืม เธอพอจะรู้ประวัติของไอ้อาจารย์นังเด็กนั่นไหม” เขาพยายามเก็บรายละเอียดทุกทาง ป้องกันเหตุไม่คาดคิด“เท่าที่รู้มา ตาแก่นั่นเคยเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชิงหัว แต่มันก็นานมาแล้ว อำนาจบารมีอะไรก็หายไปตามกาลเวลา” ติงหรูอี้หลังจากรู้ว่าหลี่เหม่ยถิงกราบอาจารย์ ก็ลองเลียบเคียงถามประวัติจากหลี่ซีซวน เพราะถ้าอาจารย์มันมากบา
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ