"ก็ไม่เชิง องค์ชายแปดตอนนี้เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพี่อย่างมาก ทั้งยังชนะการแข่งล่าสัตว์ รวบรวมขุนนางได้มากมาย หากพระสนมจีกุ้ยเฟยเกิดเรื่องในตอนนี้ จะต้องทำให้ราชสำนักปั่นป่วนแน่" ดวงตากู้จิ่นลึกล้ำ "ดังนั้นข้าจึงวางแผนจะรออีกสักพัก รอจนถึงจังหวะที่เหมาะสม แล้วจึงเปิดโปงการกระทำทั้งหมดของพระสนมจีกุ้ยเฟย และให้ทุกคนรู้ว่าองค์ชายแปดไม่ใช่พระโอรสแท้ ๆ ของเสด็จพี่" เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าต้องรีบไปทวงบุญคุณสองอย่างจากพระสนมจีกุ้ยเฟยก่อนถึงตอนนั้นให้ได้ ครั้นคิดได้เช่นนั้น นางก็ไม่เร่งรีบกลับห้องทดลองอีกต่อไป พลางโอบกาน้ำชาไว้แน่นแล้วกล่าวว่า"ถ้าท่านว่าง ลองไปสืบดูคนชื่อสวี่เหนียนคนนี้ได้ไหม เขาบอกว่าตัวเองเป็นบุตรชายของผู้ดูแลจวนตระกูลจี แต่ข้ารู้สึกว่าฐานะของเขาไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น" "เพราะอะไร" กู้จิ่นถาม "ข้าก็บอกไม่ถูก เป็นแค่ลางสังหรณ์" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ "แม้เขาจะดูซื่อ ๆ พูดอะไรก็ไม่มีพิรุธ แต่เพราะมันไม่มีพิรุธนั่นแหละ ถึงน่าสงสัยท่านเข้าใจความหมายของข้าไหม" เจียงซุ่ยฮวนเริ่มพูดวกวนจนเกือบจะทำตัวเองสับสนแต่ถึงกระนั้น กู้จิ่นก็เข้าใจความหมายของนาง "ข้าเข้าใจ ข้าจะให้ชางอ
ฉู่อี้เลื่อนสายตาไปยังฉู่เจวี๋ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ฉู่เจวี๋ยกำลังมองเขาพอดี เขายกมุมปากอย่างมีนัยยะ แล้วทูลฝ่าบาท "ทูลเสด็จพ่อ ลูกมาขอพระเมตตาให้องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ" "ลูกได้ยินจากนอกตำหนักว่าเสด็จพ่อจะทรงลดฐานะองค์ชายสามเป็นสามัญชน จึงมาขอให้ทรงเปลี่ยนพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แววพระเนตรฝ่าบาทมีความสงสัย เมื่อหลายปีก่อนฉู่อี้กับฉู่เจวี๋ยเคยทะเลาะกันในท้องพระโรงเพราะความคิดไม่ตรงกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากันไม่ติด การที่พระองค์จะลดฐานะฉู่เจวี๋ย ฉู่อี้ควรจะดีใจมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมาขอความเมตตาให้ฉู่เจวี๋ย ฉู่เจวี๋ยก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เขาคิดว่าฉู่อี้ต้องมีแผนอะไรบางอย่าง ไม่มีทางมีเจตนาที่ดีแน่ จึงตะโกนว่า "ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาขอความเมตตาให้!" ฉู่อี้ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วทูลต่อ "ทูลเสด็จพ่อ ได้ยินว่าพระชายาขององค์ชายสามคลอดทารกปีศาจ ขุนนางทั้งหลายต่างคิดว่าปีศาจนั้นเป็นดาวอัปมงคล อยากให้ฝ่าบาทประหารชีวิต แต่ลูกกลับเห็นว่าไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ" พระขนงฝ่าบาทขยับเล็กน้อย ทรงพยักพระพักตร์ให้ฉู่อี้กล่าวต่อ ฉู่อี้ทูล "ราษฎรทั่วหล้าล้วนเห็นว่าเสด็จพ่อทรงมีความเมตตากรุณา เป็นพระราชาผู้ท
หลิวกงกงส่งสองคนออกไป แล้วกลับมาทูลฝ่าบาท "ทูลฝ่าบาท หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรขอเข้าเฝ้า บอกว่ารออยู่ข้างนอกนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ" "ไม่พบ" ฝ่าบาทปฏิเสธทันที "ยามนี้เราต้องการพบโหรหลวง เจ้าไปเชิญโหรหลวงมา" "พ่ะย่ะค่ะ" หลิวกงกงไม่กล้าขัดรับสั่ง เดินออกไปบอกหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรว่า "ท่านมาไม่ถูกจังหวะ กลับไปก่อนเถิด" หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรเข้าใจผิดคิดว่ามือสังหารตอนบ่ายเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาจริง ๆ ฝ่าบาทจึงไม่อยากพบเขา เขายิ้มเก้อ ๆ "เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เรื่องวันนี้พวกข้าไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น หวังว่าขันทีใหญ่จะช่วยพูด ๆ กับฝ่าบาทด้วย" หลิวกงกงไม่เข้าใจความหมาย แต่ต่างก็รับใช้ในวังด้วยกัน ต้องให้หน้ากันบ้าง จึงยิ้มตอบ "แน่นอน ท่านตรวจตราทุกวันก็เหนื่อยมากแล้ว ข้าจะทูลฝ่าบาทถึงความดีของท่านแน่นอน" "ขอบคุณหลิวกงกงมาก" หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรยิ้มตาหยีเดินจากไป หลิวกงกงไม่กล้าชักช้า รีบไปเชิญโหรหลวงมาทันที ในตำหนักหว่อหลง เปลวเทียนสั่นไหว โหรหลวงสวมเสื้อคลุมขาวยืนกลางตำหนัก ทูลถาม "ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมา เป็นเพราะเรื่องปีศาจน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ" นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงเรียกพบโห
"พ่ะย่ะค่ะ" โหรหลวงพยักหน้า กำลังจะจากไป แต่ถูกฝ่าบาทรับสั่งให้หยุด "โหรหลวง ที่เราไม่ได้เรียกพบเจ้าระยะนี้ เพราะเจ้าจิ่นเริ่มสงสัยเราแล้ว ไม่ใช่เพราะเราจงใจทอดทิ้งเจ้า" ฝ่าบาทตรัสอธิบาย "ในบรรดาขุนนางทั้งหมด เราให้เจ้าทำเรื่องสำคัญทั้งหมด เพราะเราไว้ใจเจ้าที่สุด" โหรหลวงประสานมือกล่าว "เมื่อครั้งที่กระหม่อมหนีศัตรูมายังต้าเหยียน ฝ่าบาททรงช่วยกระหม่อมปิดบังชื่อและตัวตน ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้กระหม่อมเข้าวังมาเป็นโหรหลวง" "ฝ่าบาทคือผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อกระหม่อมนัก ไม่ว่าเมื่อใดที่ฝ่าบาทต้องการตัวกระหม่อม กระหม่อมย่อมยอมลุยไฟข้ามน้ำมาเพื่อฝ่าบาท ไม่มีข้อแม้ใด ๆพ่ะย่ะค่ะ" ... ภายใต้แสงจันทร์สีเงิน หิมะที่สะสมบนพื้นถูกชาววังกวาดออกไปครึ่งหนึ่ง หิมะที่เหลือถูกเหยียบจนแน่น ยากที่จะกวาด จำต้องรอให้หิมะละลายไปเอง ฉู่เจวี๋ยเดินอยู่บนทางเล็ก ๆ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ไม่ว่าเขาจะเดินเร็วหรือช้า เสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยังคงรักษาระยะห่างเท่าเดิมไว้เสมอ เส้นเลือดที่ขมับเขากระตุก ทนไม่ไหวจึงหยุดเดิน หันไปมองฉู่อี้อย่างโกรธเกรี้ยว "เจ้าตามข้ามาทำไม" ฉู่อี้กะพริบ
"หวังว่าท่านจะให้คำตอบข้าก่อนลงจากเขา มิฉะนั้น ข้าจะไปสนทนากับเสด็จพ่ออีกครั้ง" ฉู่อี้พูดจบก็เดินผ่านฉู่เจวี๋ยไป ฉู่เจวี๋ยกำหมัดแน่น เขาอยากจะวิ่งตามไปถามให้ชัดเจน แต่นึกถึงเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่รออยู่ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้าใส่จึงต้องรีบกลับไปหานางก่อน วันรุ่งขึ้น ฝ่าบาททรงเรียกขุนนางมาประชุมที่ตำหนักว่อหลง โหรหลวงออกมากล่าวว่า "เชื่อว่าทุกท่านคงทราบกันแล้วว่า เมื่อวานพระชายาแห่งหนานหมิงได้ประสูติทารกที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาด บางคนถึงกับกล่าวว่าเป็นดาวอัปมงคล" "ข้าได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้ทำพิธีพยากรณ์เมื่อคืนนี้ผลออกมาชัดเจนว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ดาวอัปมงคล แต่เป็นวิญญาณที่บำเพ็ญตนจนเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด เป็นดาวแห่งมงคลที่จะปกป้องแคว้นต้าเหยียน ขอพวกท่านอย่าได้กังวลใจ" คำทำนายของโหรหลวงแม่นยำเสมอมา เมื่อขุนนางทั้งหลายได้ฟังก็ฮือฮาในทันที ที่แท้ปีศาจนั้นเป็นดาวแห่งมงคล พวกเขากลับคิดว่าเป็นดาวอัปมงคล ถึงขั้นวิงวอนให้ฝ่าบาทประหารชีวิต คิดได้ดังนั้น ขุนนางทั้งหลายจึงพากันไปหาเจียงเม่ยเอ๋อร์ ฉู่เจวี๋ยดีใจยิ่งนัก บุตรชายของเขาไม่เพียงรอดชีวิต ยังกลายเป็นดาวแห่งมงคล นับเป็นเรื่องน่ายิน
ทารกหน้าตาอัปลักษณ์ประหลาดถูกยัดผ้าไว้ที่ปาก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ไม่นานหน้าก็แดงจัดเพราะหายใจไม่ออกเจียงเม่ยเอ๋อร์ซ่อนทารกไว้ในตู้ ส่วนตัวเองนอนลงบนเตียง แสร้งทำเป็นอ่อนแรงแทบขาดใจหลังแม่นมเปิดประตู เหล่าขุนนางก็ทยอยเข้ามาในห้อง บางคนสีหน้าเศร้าสร้อย บางคนดูรู้สึกผิด ทุกคนล้วนแสดงความกระอักกระอ่วนเมื่อวานพวกเขายังตะโกนให้ประหารปีศาจนั่น วันนี้ปีศาจนั่นกลับกลายเป็นดาวมงคลที่คุ้มครองแคว้นต้าเหยียน พวกเขากลัวดาวมงคลจะลงโทษ จึงต้องมาขอขมา ช่างคาดเดาไม่ได้จริง ๆ เจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่รู้จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ นางนอนพิงบนเตียง แกล้งไอสองที "พวกท่านต้องการอะไร" นางก้มหน้าไม่เห็นสีหน้าของทุกคน พูดต่อไปเอง "ลูกของข้าถูกองครักษ์อุ้มไปแล้ว พวกท่านอย่าหวังจะแย่งเขาไป!" "ข้ากินยาพิษเพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้โกหก แถมเพิ่งคลอดลูกอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอที่สุด หากพวกท่านทำให้ข้าโกรธจนเป็นอันตราย ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกท่านไว้แน่!" ขุนนางทั้งหลายฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก เจียงเม่ยเอ๋อร์หน้าด้านเหลือเกิน ให้สาวใช้เขียนแทนแต่ไม่ยอมรับ ยังอ้างว่ากินยาพิษฆ่าตัวตาย ผลเป็นอย่างไร แม้แต่หมอ
มีคนถาม "พระชายา เมื่อครู่ท่านว่าองค์ชายน้อยถูกองครักษ์อุ้มไป แล้วเหตุใดตอนนี้จึงไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าเล่า" อีกคนหนึ่งก็สังเกตเห็นผ้าในปากทารก จึงถามขึ้นอย่างสงสัย "เหตุใดจึงมีผ้าอุดปากองค์ชายน้อย ดูสิ หน้าแดงก่ำไปหมดแล้ว" เจียงเม่ยเอ๋อร์อ้าปากค้าง คิดไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไร จึงตบหน้าแม่นมทีหนึ่ง "นังบ่าวชั่ว! ใครใช้ให้เจ้าเอาองค์ชายน้อยไปไว้ในตู้" "องค์ชายน้อยเป็นเทพเจ้ากลับชาติมาเกิด หากเกิดอันตรายขึ้นมา ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!" แม่นมถูกตบล้มลง ทุกข์ใจอย่างมากแต่ก็พูดไม่ออก จึงร้องไห้วิ่งหนีออกไป เจียงเม่ยเอ๋อร์ดึงผ้าออกจากปากทารก มองดูแล้วพลันรู้สึกว่าทารกหน้าตาประหลาดคนนี้ดูน่ารักขึ้นมาไม่น้อยจึงยิ้มกว้างพูดว่า "ข้าบอกแล้วว่าลูกข้าไม่ใช่ดวงกาลกิณี หน้าตาเช่นนี้ แท้จริงคือเทพเจ้ากลับชาติมาเกิด" เจียงเม่ยเอ๋อร์อุ้มทารกอย่างเอ็นดู ส่วนทารกรูปร่างประหลาดในอ้อมแขนนางนั้นตอนนี้ร้องไห้จนไม่มีเสียงหลงเหลือแล้วผู้คนมองภาพตรงหน้า รู้สึกว่าแม้จะดูอบอุ่น แต่กลับแฝงความประหลาดอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาทนดูต่อไปไม่ไหว ในเมื่อมอบของแสดงความยินดีแล้ว จึงเอ่ยคำประจบประแจงสองสามคำแล้วรีบจากไป
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ฮูหยินอ๋องกลับดูเหมือนแก่ไปหลายปี ผมบนศีรษะหลายเส้นกลายเป็นสีเงิน "ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงพูดกับลูกเช่นนี้ ลูกเป็นบุตรีของท่านนะเจ้าคะ!" เจียงเม่ยเอ๋อร์เปิดหนังสัตว์ออก พูดว่า "ท่านดูสิ ลูกยังพาหลานชายของท่านมาด้วย แม้เขาจะมีรูปลักษณ์อัปลักษณ์ แต่โหรหลวงบอกว่าเขาเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด เป็นดาวมงคลนะเจ้าคะ!" แต่ฮูหยินอ๋องกลับมีสีหน้าเรียบเฉย "ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นดาวอัปมงคลหรือดาวมงคล เจ้าทำให้ท่านอ๋องโกรธจนเป็นลมล้มลง จนบัดนี้ยังไม่ฟื้น ต่อไปเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนอ๋องอีก กลับไปซะ!" "ท่านแม่ ลูกถูกใส่ร้ายจริง ๆ นะเจ้าคะ" เจียงเม่ยเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น "พอเถอะ ข้าไม่อยากฟังคำอธิบายพวกนี้" ฮูหยินอ๋องถอนหายใจยาว "ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าคิดอะไรได้มากมาย ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เล็กเหมือนลูกแท้ ๆ แม้ภายหลังจะพบซุ่ยฮวนบุตรีแท้ ๆ ของข้า ข้าก็ยังรู้สึกว่าสนิทกับเจ้ามากกว่า" "ข้ามอบของดีทั้งหมดให้เจ้า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เข้าข้างเจ้า หลายครั้งที่เจ้าบอกว่าซุ่ยฮวนรังแกเจ้า ข้าไม่ถามไถ่อะไรก็ให้นางไปคุกเข่าที่หอบรรพบุรุษ ที่นั่นทั้งเย็นทั้งชื้น นางเป็
จางรั่วรั่วเพิ่งสังเกตเห็นกู้จิ่น นางยืดตัวตรงทันที ค้อมกายคำนับเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยความประหม่าว่า "หม่อมฉันเรียนวิชายุทธ์จากสำนักในเมืองหลวงเพคะ" "เจ้าไม่ต้องไปอีกแล้ว" "เหตุใดเล่าเพคะ?" "สิ้นเปลืองเงินทองเปล่า ๆ" จางรั่วรั่วยักไหล่ ก่อนเอ่ยเสียงเบา "เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนกลั้นยิ้มที่มุมปาก กล่าวว่า "รั่วรั่ว ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีเรื่องจะถาม มารดาของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ?" "มารดาของหม่อมฉันกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเพคะ" จางรั่วรั่วเก็บดาบในมือ เดินมาใกล้เจียงซุ่ยฮวนแล้วกระซิบว่า "ตำรับยาที่ท่านจัดให้บิดามารดาของหม่อมฉันได้ผลยิ่งนัก บิดาของหม่อมฉันเพิ่งรับประทานได้ไม่กี่วัน มารดาก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะ "ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก" "มารดาของหม่อมฉันพูดเสมอว่าอีกไม่กี่วันจะไปเยี่ยมท่าน แต่ไม่คิดว่าท่านจะมาก่อน" จางรั่วรั่วนำทาง พลางหันมาถามด้วยความอยากรู้ "ท่านมาหามารดาของหม่อมฉันเพื่อถามเรื่องใดหรือเพคะ?" "เจ้าเคยบอกข้าว่า เมื่อแรกเกิดของเจ้า มีนักพรตผู้หนึ่งนามว่าเหยียนซวีมาที่จวนของเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่?" เจียงซุ่ยฮวนถาม "แน่นอนว่าจำได้เพคะ" "ข้ามีภาพ
ผ่านไปราวหนึ่งกาน้ำชา ฮั่วเซิงวาดภาพเสร็จหนึ่งภาพ เจียงซุ่ยฮวนยกกระดาษขึ้นดู ในภาพเป็นชายวัยกลางคน ดูมีเมตตาและใจดี นางส่งภาพวาดให้กู้จิ่น "ฮั่วเซิงเคยบอกว่านักพรตเหยียนซวีดูมีอายุเจ็ดสิบกว่าปี คนในภาพวาดนี้หนุ่มเช่นนี้ น่าจะเป็นอาจารย์ของเขา" เพื่อไม่ให้ผิดพลาด นางก็ถามฮั่วเซิงอีกหนึ่งประโยค "คนในภาพวาดนี้คือใคร?" "อาจารย์ของข้า" "อืม วาดต่อไปเถิด" เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า ภาพวาดนี้แม้จะไม่ถึงขั้นเหมือนจริง แต่ก็ถือว่าใช้ได้ น่าจะตามหาคนจากภาพวาดได้ เมื่อวาดนักพรตเหยียนซวี การเคลื่อนไหวของฮั่วเซิงช้าลงมาก คงจำใบหน้าของนักพรตเหยียนซวีไม่ชัด จึงวาดได้ช้า เจียงซุ่ยฮวนหาวข้าง ๆ กู้จิ่นเห็นแล้วกล่าว "อาฮวน ข้าส่งคนไปส่งเจ้ากลับก่อนดีหรือไม่?" "ไม่รีบเพคะ" เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ ชี้ไปที่ฮั่วเซิงบนพื้น "หม่อมฉันอยากดูว่านักพรตเหยียนซวีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่" "รอเขาวาดเสร็จหม่อมฉันค่อยกลับ" "ได้" ผ่านไปอีกหนึ่งกาน้ำชา ในที่สุดฮั่วเซิงก็วางพู่กันยืดตัวขึ้น คราวนี้กู้จิ่นเป็นคนเก็บภาพจากพื้น แล้วดูพร้อมกับเจียงซุ่ยฮวน ในภาพเป็นชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีจริง ๆ ชายชราผู้นี้มีตาเล็กเ
ในคุกใต้ดินที่มืดสลัว ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเป็นประกายวาววับ ราวกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับในท้องฟ้ายามค่ำคืน กู้จิ่นถาม "วิธีอะไรหรือ?" "หม่อมฉันมีน้ำยาชนิดหนึ่ง ที่จะทำให้ฮั่วเซิงพูดความจริงออกมาได้" เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง หยิบขวดน้ำยาบังคับให้พูดความจริงออกมา "มีของเช่นนี้ด้วยหรือ" กู้จิ่นดูประหลาดใจ มองนางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ "อาฮวนของข้าช่างเก่งจริง ๆ" นางรู้สึกเขินเล็กน้อย ลูบจมูก "ก็พอได้" นางรู้สึกสงสัย หากกู้จิ่นรู้ว่านางมีห้องทดลอง เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? แต่เรื่องเช่นนี้ ยังไม่อาจพูดออกมาก่อน ในระหว่างรอฮั่วเซิงฟื้น กู้จิ่นและเจียงซุ่ยฮวนสนทนากันเสียงเบา ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกัน รอบข้างแผ่ซ่านไออุ่นบาง ๆ ผู้คุมมองดูทั้งสอง คิดว่าตัวเองคงง่วง ถึงได้รู้สึกอบอุ่นในคุกใต้ดินที่เย็นยะเยือกและมืดมิดเช่นนี้ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ร่างของฮั่วเซิงสะดุ้งอย่างแรง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เจียงซุ่ยฮวนกำลังคุยกับกู้จิ่น หางตาสังเกตเห็นฮั่วเซิงฟื้นแล้ว นางจึงก้มลงมอง ฮั่วเซิงจำพวกเขาได้ในทันที ดิ้นรนถอยหลังไป ปากส่งเสียง "อ่า ๆ" แว
"ฮั่วเซิง! ฮั่วเซิง!" ผู้คุมตะโกนเรียกสองครั้งผ่านซี่กรง ฮั่วเซิงที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีการตอบสนองใด ๆ ผู้คุมกล่าว "ครึ่งชั่วยามก่อน จู่ ๆ เขาก็อาเจียนเป็นฟองขาวออกมา ชักกระตุกไปทั้งตัว ตอนแรกบ่าวคิดว่าเขาแกล้ง พอผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือด" "บ่าวไม่รู้วิชาการแพทย์ จึงรีบไปแจ้งชางอี้ เมื่อบ่าวกลับมา ฮั่วเซิงก็เป็นเช่นนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นให้เจียงซุ่ยฮวนยืนอยู่ด้านหลัง แล้วสั่งผู้คุม "เปิดประตูคุก ลากฮั่วเซิงออกมา" ฮั่วเซิงอาจจะแกล้ง กู้จิ่นต้องตรวจสอบก่อน จึงจะให้เจียงซุ่ยฮวนลงมือได้ ผู้คุมลากฮั่วเซิงมาตรงหน้ากู้จิ่น ซึ่งไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก้มลงจับคอฮั่วเซิงพลิกตัว แล้ววางมือไว้ใต้จมูกเขา ลมหายใจที่เขาหายใจออกมาอ่อนมาก แทบจะหายใจออกแต่หายใจเข้าไม่ได้ ร่างกายก็เย็นเฉียบ "ใกล้ตายจริง ๆ" กู้จิ่นลุกขึ้น พูดกับเจียงซุ่ยฮวน "เจ้าลองดู ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็แล้วไป" "ได้" เจียงซุ่ยฮวนเดินเข้าไปใกล้ เริ่มตรวจร่างกายฮั่วเซิงอย่างละเอียด เพื่อให้เจียงซุ่ยฮวนเห็นชัดขึ้น กู้จิ่นนำตะเกียงน้ำมันมาวางใกล้เท้านาง ได้ยินนางพึมพำ "ตับถูกทำลาย คล้ายเป็นพิษจากยา"
"เข้ามาพูด" ชางอี้ผลักประตูเข้ามา "ฮั่วเซิงที่ถูกขังในคุกใต้ดินเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฮั่วเซิง? เจียงซุ่ยฮวนได้ยินชื่อนี้ก็โกรธจนฟันคัน ฮั่วเซิงผู้นี้ไม่เพียงขโมยเสี่ยวถังหยวนที่เพิ่งเกิด ยังจะเอาเสี่ยวถังหยวนไปเป็นเครื่องสังเวย คนเช่นนี้ตายก็ยังไม่พอ! กู้จิ่นกล่าวเสียงเย็น "เกิดอะไรขึ้น?" ชางอี้พูดเสียงเบา "ได้ยินว่าเป็นโรคร้ายกำเริบ บ่าวยังไม่ทันไปตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นนวดขมับ พูดกับเจียงซุ่ยฮวน "อาฮวน เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าทีหลัง ตอนนี้ข้าต้องไปที่คุกใต้ดินก่อน" เจียงซุ่ยฮวนรั้งเขาไว้ "ฮั่วเซิงผู้นั้นยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่?" "อืม" กู้จิ่นพยักหน้า "ยังมีความลับที่เขาไม่ได้บอก ยังตายไม่ได้" "เช่นนั้นหม่อมฉันไปกับท่านด้วย" เจียงซุ่ยฮวนสวมรองเท้ายืนขึ้น "ไปกันเถิด" กู้จิ่นกล่าวเสียงทุ้ม "อาฮวน เจ้าควรพักผ่อนให้ดี" "วันนี้หลังจากกลับจากวังแล้ว หม่อมฉันพักผ่อนมานานแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว นางคลอดบุตรมาหลายวันแล้ว อีกทั้งของบำรุงที่กู้จิ่นส่งมาล้วนเข้าท้องนางไปหมด ร่างกายของนางฟื้นฟูเกือบเป็นปกติแล้ว กู้จิ่นก้าวไปกอดนาง พูดเสียงเบา "อาฮว
เจ้าถังหยวนกู้จิ่นกล่าวเสียงต่ำ "ข้าก็คิดไม่ออก ดังนั้นช่วงนี้ข้าจึงสืบเรื่อยมา แต่กลับพบความลับเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน" "เปรี๊ยะ" ขณะที่กู้จิ่นกำลังจะพูดต่อ จู่ ๆ นอกหน้าต่างก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น คล้ายเสียงกิ่งไม้หัก กู้จิ่นเงยหน้าขึ้นทันที สายตาคมกริบราวกับมีดมองไปที่หน้าต่าง เอ่ยเสียงกร้าว "ใคร?" เจียงซุ่ยฮวนวางมือไว้ข้างหลัง หยิบกริชออกมาจากห้องทดลอง กำไว้แน่น "ฮิ ๆ ข้าเอง" หน้าต่างถูกเปิดออก ฉู่เฉินโผล่หัวเข้ามากล่าว "ข้าเดินผ่านมาทางนี้พอดี ไม่ระวังเหยียบกิ่งไม้เข้า" "ขออภัยจริง ๆ ข้าจะไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว" ฉู่เฉินพูดพลางจะปิดหน้าต่าง "อาจารย์รอก่อน" เจียงซุ่ยฮวนเรียกเขาไว้ ถามว่า "กลางวันท่านไปไหนมา?" ฉู่เฉินหยุดการเคลื่อนไหว กล่าวว่า "ข้าแค่ไปเดินเล่นแถวนี้ นอกจากนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเลย" "เช่นนั้นหรือ?" กู้จิ่นเอ่ยเสียงเย็น "ท่านไม่ได้ไปบ่อนพนันหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนได้ยินคำว่าบ่อนพนัน ก็ขมวดคิ้วทันที "เอ๋? บ่อนพนันอะไร?" ฉู่เฉินดูกระวนกระวายใจ สายตาไม่อยู่นิ่ง "ข้าจะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร?" กู้จิ่นกล่าว "ที่ข้อมือของท่านผูกเชือกแดงสามเส้น หากข้าจำไม่ผิด เ
กู้จิ่นนั่งข้างเจียงซุ่ยฮวน ถามว่า "อาฮวน เจ้าจะบอกอะไรข้า?" เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องที่นางเห็นที่หน้าประตูวังในตอนกลางวัน รวมทั้งเรื่องที่จีกุ้ยเฟยปลอมตัวเป็นเมิ่งเซียวเขียนจดหมายถึงเมิ่งชิงให้กู้จิ่นฟังด้วย หลังจากเล่าทั้งหมดแล้ว เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย "จีกุ้ยเฟยช่างมีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำ หากท่านไม่เปิดโปงนาง สุดท้ายคนที่จะสืบราชบัลลังก์อาจเป็นฉู่อี้" ตอนแรกที่กู้จิ่นรู้ว่าจีกุ้ยเฟยนอกใจฮ่องเต้ เขาโกรธมาก แต่บัดนี้กลับดูสงบมาก เขาถามเสียงเรียบ ๆ "อาฮวน เจ้ายังต้องการใช้มือของจีกุ้ยเฟยจัดการเจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ?" "อีกอย่าง จีกุ้ยเฟยยังติดค้างเจ้าสองบุญคุณ หากเปิดโปงนางตอนนี้ เจ้าก็จะเสียเปรียบไม่ใช่หรือ?" เจียงซุ่ยฮวนลูบคาง กล่าวว่า "ท่านพูดมีเหตุผล" "แต่เมื่อเทียบกับเรื่องของหม่อมฉัน เรื่องราชบัลลังก์สำคัญกว่า" นางจ้องกู้จิ่นอย่างจริงจัง พูดอย่างมีนัยสำคัญ "ท่านสนิทกับฮ่องเต้มาก คงไม่อยากเห็นพระองค์ถูกหลอกอยู่ตลอดไป" กู้จิ่นมองเข้าไปในดวงตานาง จู่ ๆ ก็หัวเราะขื่น ๆ "อาฮวน เจ้าทายใจข้าได้แล้วใช่หรือไม่?" "ท่านบอกมาได้ หม่อมฉันจะได้รู้ว่าตนเองทายถูกหร
แม่ทัพเจิ้นหยวนคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับสงบยิ่ง ราวกับผิดหวังในตัวฮ่องเต้อย่างถึงที่สุด "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา กระหม่อมขอมอบป้ายอาญาสิทธิ์ในวันนี้ นับจากนี้ไปไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนักอีก" เขาค่อย ๆ ล้วงป้ายอาญาสิทธิ์ออกจากอกเสื้อ ประคองด้วยสองมือส่งไปยังพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงรับอาญาสิทธิ์โดยไม่ลังเล "สมกับเป็นแม่ทัพเจิ้นหยวน เด็ดขาดทีเดียว" แม่ทัพเจิ้นหยวนโขกศีรษะแรงลงกับพื้น "กระหม่อมขอทูลลา!" พูดจบ เขาลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง งานมงคลกลายเป็นเช่นนี้ คนรับใช้ที่หามเกี้ยวและสินสอดข้าง ๆ มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ฉู่เลี่ยนเดิมก็ไม่อยากแต่งงานกับเมิ่งชิง เห็นเหตุการณ์พัฒนามาถึงขั้นนี้ เขาซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากไม่อยู่ ดึงดอกไม้สีแดงใหญ่ที่หน้าอกออก กล่าวว่า "เสด็จพ่อ วันนี้งานแต่งนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ลูกขอทูลลา" "เจ้าจะลาอะไร ใครบอกว่างานแต่งนี้เป็นไปไม่ได้?" ฮ่องเต้ขมวดพระขนง"เอ๋?" ฉู่เลี่ยนตกตะลึง "เสด็จพ่อ จวนแม่ทัพเจิ้นหยวนก็ไม่มีแล้ว จะแต่งงานกันได้อย่างไร? ไม่ทราบว่าพระองค์จะให้ลูกแต่งกับสามัญชนหรือ
ความหมายของจีกุ้ยเฟยชัดเจน แม้เมิ่งชิงจะทำผิด แต่หากสั่งประหารนางตอนนี้ ฉู่เลี่ยนก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นพ่อคนอีกตลอดชีวิต ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แม้ฉู่เลี่ยนจะไม่มีความสามารถอะไร ปกติชอบใช้เล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยังดีที่เขาเชื่อฟัง หากเขาไม่มีทายาท ก็จะน่าเสียดายเกินไป "พระสนม ท่านคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?" ฮ่องเต้ทรงโยนปัญหาให้จีกุ้ยเฟย จีกุ้ยเฟยทูลตอบ "หม่อมฉันเห็นว่า เมิ่งชิงก่อเรื่องอุกอาจเช่นนี้ แม่ทัพเจิ้นหยวนย่อมหนีความผิดไม่พ้น ไม่สู้ลงโทษแม่ทัพเจิ้นหยวนก่อน ส่วนเมิ่งชิงนั้น รอให้นางคลอดบุตรแล้วค่อยจัดการก็ไม่สายเพคะ" "วิธีนี้ดี" ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า สั่งหลิวกงกงที่อยู่ข้างกาย "ไปเรียกแม่ทัพเจิ้นหยวนมา เราต้องถามเขาดูว่า เขาเลี้ยงดูหลานสาวเช่นนี้มาได้อย่างไร!" แม่ทัพเจิ้นหยวนนั่งอยู่ในรถม้าหน้าประตูวัง หลิวกงกงนำตัวเขามาอย่างรวดเร็ว เขาเดินอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามีแววโกรธ เมื่อเดินมาถึงข้างกายเมิ่งชิง เขาตบหน้านางเต็มแรงหนึ่งที "นางชั่ว!" "ข้าใช้ชีวิตในสนามรบมาทั้งชีวิต กลับเลี้ยงหลานสาวเช่นเจ้าที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ช่างเป็นความอัปยศของข้า