หานซานเฉียนยังไม่ถึงบ้าน ซูหยิงเซี่ยก็โทรมาหาเพื่อบอกว่าครอบครัวของหลิวฮวามาถึงที่บ้านแล้ว เจี่ยงหลานเร่งให้ซูหยิงเซี่ยรีบหาวิธีเอาเงินกลับมาบ้านให้เร็วที่สุด“ผมถอนเงินเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน” หานซานเฉียนพูดในเรื่องนี้ซูหยิงเซี่ยเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องเมื่อวานที่ไปทานอาหารที่โรงแรมแต่ไม่ได้พาเขาไปด้วย ปล่อยให้เขาอยู่บ้านเพียงคนเดียวและต้องทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แถมยังรบกวนให้เขาไปที่โรงแรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้อีก“คืนนี้คุณไม่ต้องทำอาหารที่บ้านนะ” ซูหยิงเซี่ยพูดหานซานเฉียนหัวเราะและพูดออกมาว่า “ถ้าผมไม่ทำอาหาร แล้วพ่อกับแม่จะทานอะไรล่ะ?”“พวกเขาไม่มีมือทำเองเหรอ ปล่อยให้พวกเขาหากินกันเอาเองสิ” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างขุ่นเคือง“งั้นก็ได้”เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลิวฮวาเห็นกระเป๋าในมือของหานซานเฉียน เธอตัดสินเอาเองว่ามันคือกระเป๋าเงิน ก่อนที่หานซานเฉียนจะมอบมันให้กับเธอ เธอก็อดไม่ไหวที่จะคว้ามันมาเอง และแอบมองเงินในกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ ภายในมีธนบัตรสีแดงสวยสดงดงาม จากนั้นสีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ตื่นเต้น"ไปไหนมา ทำไมถึงได้ล่าช้าแบบนี้" หลิวฮวากล่าวโทษหานซ
วินาทีแรกที่หลิวฮวาลืมตาขึ้นมา เธอเอามือกอดอกและพบว่าในอ้อมแขนนั้นว่างเปล่า เธอจึงได้สติขึ้นมาทันที “เงิน เงินของฉัน เงินของฉันอยู่ที่ไหน” หลิวฮวาตะโกนด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี เจี่ยงเฟิงกวางและเจี่ยงเฉิงทั้งสองตื่นตัวอย่างที่สุดราวกับถูกฉีดฮอร์โมน “คุณถือไว้ไม่ใช่เหรอ จะหายไปได้ยังไง” “แม่ ไหนแม่บอกว่าจะไม่หลับไง แล้วเงินล่ะ นั่นเงินแต่งเมียของผมนะ” เจี่ยงเฉิงพูดอย่างเจ็บปวด หลิวฮวาคว้าคอเสื้อของคนขับรถแล้วพูดว่า “เงินฉันหายก็เพราะนั่งรถคุณ คุณต้องชดใช้ให้ฉัน ชดใช้ฉันมาสองแสน!” สถานีรถเกิดความโกลาหลขึ้น แม้แต่หัวหน้าสถานีก็ยังตกใจกับระดับความเอะอะโวยวายของครอบครัวสามคนนี้ พวกเขายืนกรานจะให้ทางสถานีรถชดใช้เงินสองแสนคืนให้ได้ หลิวฮวาถึงกับวิ่งไปที่โถงขายตั๋ว และเกลือกกลิ้งร้องไห้ฟูมฟายกับพื้น สุดท้ายทางสถานีรถก็ต้องโทรแจ้งความ เมื่อพาคนทั้งสามออกไปแล้วเหตุการณ์จึงสงบลง หานซานเฉียนได้รับโทรศัพท์จากหลินหย่ง ในขณะที่รอซูหยิงเซี่ยเลิกงาน “พี่ซานเฉียน ได้เงินมาแล้วเอายังไงต่อดีครับ” หลินหย่งเอ่ยถาม “ให้พวกเขาไปแบ่งกัน ถือเป็นค่าตอบแทนสำหรับพวกเขา” หานซานเฉียนกล่าว แม้ว่าเ
“คุณผู้หญิง กรุณาอย่าเข้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ คุณไม่เห็นสถานการณ์ตอนนี้เหรอคะ เราจะเอาที่นั่งที่ไหนให้คุณ ถ้าคุณเต็มใจรอก็รอ แต่ถ้าไม่เต็มใจก็ไปเถอะค่ะ พวกเราขาดลูกค้าอย่างคุณไปสักคนก็ไม่เป็นไร” แคชเชียร์พูดด้วยท่าทีจองหอง ซูหยิงเซี่ยโกรธจนอยากจะตบคน นี่มันตรรกะอะไรกัน หรือว่ามีลูกค้าเยอะจนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการบริการลูกค้าแล้วเหรอ? ในเมื่อเป็นการจองที่นั่งล่วงหน้าก็ควรจะมีกฎในการจองสิ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ซูหยิงเซี่ยแค่ต้องการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตัวเอง แต่หล่อนกลับพูดเหมือนเธอมีเจตนาก่อความวุ่นวาย! “ฉันไม่ไป เธอจะทำอะไรฉันได้?” ซูหยิงเซี่ยเท้าสะเอวพูด หานซานเฉียนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอคิดหาวิธีที่โหดกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ การพูดว่าไม่ไปมันดูเหมือนคำพูดที่เด็ก ๆ พูดกัน “รปภ. มีคนสร้างปัญหาที่นี่” แคชเชียร์หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัย เพื่อไล่ซูหยิงเซี่ยออกไปอย่างไม่ไว้หน้า เพียงไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาสามคน เรื่องที่เกิดขึ้นที่เคาน์เตอร์ดึงดูดความสนใจลูกค้าที่มารับประทานอาหารอยู่ไม่น้อย ผู้คนต่างพากันมองดูอย่างส
เมื่อผู้จัดการได้ยินเสียงนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นทันทีอย่างลนลาน “เถ้าแก่ครับ ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ แถมยังทำร้ายรปภ. บาดเจ็บอีกด้วยครับ” “โอ๊ะ?” เหลยฉวนมองไปที่หานซานเฉียนด้วยความสนอกสนใจ เขารู้ถึงศักยภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนนี้เป็นอย่างดี แต่กลับมีคนที่สามารถเอาชนะทั้งสามคนนี้ได้ แสดงว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว เขามองหานซานเฉียนอย่างพิจารณา แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บอย่างชัดเจน “น้องชาย ฝีมือไม่เลวนี่ สนใจมาทำงานกับฉันไหม ฉันจะให้นายเดือนละสามหมื่นเลย” เหลยฉวนพูดกับหานซานเฉียน หานซานเฉียนยิ้มหยันพลางพูดว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร” สีหน้าของเหลยฉวนเปลี่ยนไปทันที ฐานะของเขาในเมืองหยุนเฉิง ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้ “น้องชาย ฉันเห็นว่านายมีความสามารถดีก็เท่านั้น ฉัน เหลยฉวน เป็นคนที่เห็นค่าของคนจะไม่ติดใจเอาความ ถ้านายคุกเข่าลงขอโทษ ฉันก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เหลยฉวนพูดเสียงเย็น “คนของคุณบอกว่าภรรยาของผมมีเจตนาก่อกวน ผมก็เลยจะก่อกวนให้พวกคุณดู คุณนั่นแหละต้องคุกเข่าให้ผม แล
“ผมจะให้โอกาสคุณ เรียกคนมาสิ” หานซานเฉียนมองเหลยฉวนด้วยสายตาดุจคบเพลิงและพูดเสียงเย็น เหลยฉวนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยเห็นคนอวดดีเช่นนี้มาก่อน แถมยังมีหน้ามาให้โอกาสเขาอีก! แม้ว่าเหลยฉวนจะยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีศักยภาพจริง แต่บอดี้การ์ดประจำตัวของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งเมืองหยุนเฉิงจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ “ได้ อวดดีนักนะ วันนี้เหลยฉวนจะทำให้นายตาสว่าง ว่าคนมีฝีมือที่แท้จริงเป็นอย่างไร!” หลังจากโทรศัพท์ออกไปไม่นานคนของเหลยฉวนก็มาถึง แต่เข้ามากี่คนก็ล้มคว่ำหมด ไม่มีใครที่โชคดีรอดพ้นออกไปได้สักคน ในร้านอาหารจุนเยว่ถิงเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญไม่ขาดสาย แผ่นหลังของเหลยฉวนเย็นวาบ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ “ถะ...เถ้าแก่ หรือจะขอให้พี่หย่งพาคนของเขามาสักสองคนดีไหมครับ ข้างกายเขาต้องมีคนมีฝีมืออยู่ไม่น้อย” ผู้จัดการพูดเตือนเหลยฉวนเสียงเบา นี่คือศักดิ์ศรีของเหลยฉวนและร้านอาหารจุนเยว่ถิง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้จัดการ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าให้คนคนนี้ อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบความอวดดีของหานซานเฉียนด้วย เหลยฉวนพูดเสียงต่ำ “ก็เหล
แคชเชียร์ที่เคาน์เตอร์กลัวจนพูดไม่ออก แต่หานซานเฉียนก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป เขาพูดกับเธอว่า “ขอโทษภรรยาของฉันซะ” “ขอ...ขอโทษค่ะ” แคชเชียร์ก้มหน้าพูดอย่างตะกุกตะกัก เหลยฉวนยังคงมองหาหลินหย่ง เขาหวังว่าหลินหย่งจะออกหน้าพูดแทนเขาได้ ถึงจะเอาชนะไม่ได้ แต่ด้วยฐานะของหลินหย่ง อย่างไรก็ต้องหยุดความจองหองของเจ้าหมอนี่ได้บ้างสิ? แต่สิ่งที่ทำให้เหลยฉวนผิดหวังก็คือ หลินหย่งยืนเอามือทั้งสองแนบต้นขาด้วยความยำเกรง ภาพนี้ทำให้เหลยฉวนตกใจจนหน้าถอดสี แม้แต่หลินหย่งก็...ไม่กล้ามีเรื่องกับเขา! เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ หลังจากหานซานเฉียนพาซูหยิงเซี่ยเข้าไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างแล้ว เหลยฉวนก็เดินเข้าไปหาหลินหย่งอย่างเงียบ ๆ แล้วถามเขาว่า “พี่หย่ง คนคนนี้เป็นใคร?” หลินหย่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “เหลยฉวน แกนี่รนหาที่ตายจริง ๆ อย่าลากฉันเข้ามาซวยไปด้วย ถ้าเรื่องนี้ทำให้ฉันเดือดร้อน ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่” หลังจากเกิดเรื่องนั้นกับฉางปิน หลินหย่งก็รู้ว่าสถานะของเขาในใจของหานซานเฉียนนั้นถูกตีค่าต่ำลง หากครั้งนี้ยังทำให้หานซานเฉียนไม่พอใจอีก แม้แต่ตำแหน่งในปัจจุบันของเขาก็ไม
เมื่อกลับถึงบ้าน เจี่ยงหลานนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ซูกั๋วเย่าดูโทรทัศน์ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว บนโต๊ะน้ำชามีโจ๊กสองถ้วยที่ยังไม่กินไม่เสร็จ และผักดองหนึ่งจานวางอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ ซูหยิงเซี่ยก็รู้สึกโมโห อย่าบอกนะว่าพอไม่มีหานซานเฉียน แม้แต่ชีวิตตัวเองพวกเขาก็ยังจัดการไม่ได้? หรือคาดหวังให้หานซานเฉียนทำกับข้าวอยู่บ้านไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ? “แม่คะ แค่ไม่ได้เข้าครัวมาหลายปี คงไม่ใช่ว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วนะคะ ถ้าต่อไปหานซานเฉียนไม่ได้ทำกับข้าว แม่คงไม่อดตายหรอกใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยบ่นขณะที่เก็บถ้วยและตะเกียบ เจี่ยงหลานไม่ตอบ ซูกั๋วเย่าถอนหายใจและพูดว่า “แม่ของลูกเริ่มเสียดายเงินสองแสนนั่นแล้วน่ะสิ แถมยังบอกอีกว่าต่อไปจะตัดค่าใช้จ่ายประจำวันเหลือครึ่งเดียว” พอพูดถึงเรื่องเงิน เจี่ยงหลานก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอหันไปพูดกับหานซานเฉียนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายใช้เงินได้แค่เดือนละห้าร้อยหยวนเท่านั้น” “ห้าร้อยหยวน?” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากครัวอย่างโมโห ทั้งครอบครัวมีตั้งสี่คน ห้าร้อยหยวนต่อเดือนจะซื้ออะไรได้ จะให้กินแต่โจ๊กหรือไง? “แม่คะ อย่าให้มัน
ในขณะรับประทานอาหารเย็นอยู่ ซูกั๋วเย่าก็ได้รับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางของเขาไม่สู้ดีนัก หลังจากวางสาย เขาดูท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เจี่ยงหลานเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นเรื่องเสียเงิน ครอบครัวเราไม่มีวันไป” “ถังเฉิงเย่โทรมาบอกว่าย้ายบ้านแล้ว เขาชวนพวกเราไปเยี่ยมบ้านน่ะ” ซูกั๋วเย่ากล่าว การขึ้นบ้านใหม่สื่อถึงการมอบของขวัญ แต่สถานการณ์ของเจี่ยงหลานในตอนนี้การใช้เงินก็เหมือนการฆ่าเธอ แต่ถังเฉิงเย่อุตส่าห์โทรมาด้วยตัวเองจะไม่ไปก็ไม่ได้ “ครอบครัวคุณอาถังย้ายบ้านใหม่เหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม ถังเฉิงเย่เป็นเพื่อนเก่าของซูกั๋วเย่า ทั้งสองครอบครัวเคยสนิทสนมกันมาก่อน ถังเฉิงเย่ถึงขั้นอยากเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน และอยากให้ซูหยิงเซี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ของเขา ต่อมาหลังจากที่หานซานเฉียนแต่งเข้าตระกูลซู ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวก็จืดจางลงไป “ใช่ ได้ยินว่าย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่สไตล์ดูเพล็กซ์” ซูกั๋วเย่ากล่าว “ไปก็ให้คนอื่นเหยียดหยาม ไม่ไปหรอก” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ในอดีตถังเฉิงเย่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวของพวกเขา เพ
เมื่อเผชิญกับทัศนคติเช่นนี้ของเฟยหลิงเอ๋อร์ หานซานเฉียนก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไรขอทานตัวน้อยคนนี้จงใจปกปิดตัวตน การเก็บนางไว้จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันนะ?แต่นางรู้ข่าวเกี่ยวของเจียงหยิงหยิงและรู้ตัวตนของไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ด้วย ดังนั้นหานซานเฉียนจึงไม่สามารถขับไล่นางไปได้แต่ถ้าอยากรู้ตัวตนของนาง นางก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องเก็บนางเอาไว้ถึงจะรู้ได้ว่านางเป็นใคร“เจ้ามาหาข้าเพราะเหตุใด” หานซานเฉียนถาม และหลังจากถามคำถามนี้ เขาก็เตือนอีกว่า “ข้าจำเป็นต้องรู้ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะตอบข้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าอยู่ด้วย”“ข้าคิดว่าท่านมีพลังมาก เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่” เฟยหลิงเอ๋อร์กล่าวนี่...หานซานเฉียนพูดไม่ออก และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคำถามของเขาไม่จำเป็นเลย และเขาก็ไม่สามารถได้รับคำตอบที่ลึกกว่านี้ได้แต่สิ่งหนึ่งที่หานซานเฉียนแน่ใจก็คือ เฟยหลิงเอ๋อร์ต้องซ่อนความลับบางอย่างไว้ สำหรับสิ่งที่นางต้องการนั้น บางทีอาจต้องรู้จักกันสักพักถึงจะสามารถรู้ได้“ท่านคงไม่คิดที่จะเก็บนางไว้จริง ๆ หรอกใช่หรือไม่?” ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์มองหานซานเฉียนด้วยท่าทางเป็นกังวล นาง
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นขอทาน” หานซานเฉียนถามเฟยหลิงเอ๋อร์อย่างตรงไปตรงมาเฟยหลิงเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ถ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใคร ก็เก็บข้าไว้ แล้วท่านจะได้รู้ในภายหลัง"หานซานเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งที่เด็กหญิงตัวน้อยพูดมันชัดเจนมาก นางยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ขอทาน แต่ถ้าหานซานเฉียนอยากรู้ เขาก็ต้องเก็บนางไว้ข้างกาย“นี่เป็นข้อตกลงอย่างนั้นหรือ?” หานซานเฉียนถามพลางขมวดคิ้วเฟยหลิงเอ๋อร์ยิ้มและพยักหน้า“หากข้าไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเจ้า ข้าก็ไล่เจ้าไปได้ใช่หรือไม่?” หานซานเฉียนกล่าวต่อราวกับว่านางไม่คิดว่าหานซานเฉียนจะพูดแบบนั้น เฟยหลิงเอ๋อร์ย่นจมูกและดูครุ่นคิด เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างเพื่อตอบโต้หานซานเฉียน“เราไม่อยากรู้เกี่ยวกับเจ้า รีบออกไปซะ” ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น“ไม่ ท่านต้องสงสัยเกี่ยวกับตัวข้าแน่” เฟยหลิงเอ๋อร์กล่าวหานซานเฉียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าสาวน้อยคนนี้จะผยองเช่นนี้ แต่เขาได้รับไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์เอาไว้แล้วหนึ่งคน และตัวตนของนางก็พิเศษมากด้วย เขาจะยอมให้เฟยหลิงเอ๋อร์อยู่ด้วยได้อย่างไร?หานซานเฉีย
เมื่อหานซานเฉียนกลับมาที่ลานบ้าน ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่บนบันไดศาลาลานด้วยความงุนงงราวกับว่านางเสียสติไปแล้ว“เป็นอะไรไป?” หานซานเฉียนเดินเข้ามาก่อนจะถามขึ้นไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ชี้ไปข้างหน้าและไม่พูดอะไรเมื่อมองไปทางนิ้วของไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ หานซานเฉียนก็พบแผ่นหลังของหญิงสาวผมหางม้า นางดูตัวเล็กมาก แต่เมื่อมองจากด้านหลังก็เดาได้ว่านางเป็นคนที่สวยงาม“นางเป็นใคร?” หานซานเฉียนถามอย่างสงสัยไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ได้สติ นางเงยหน้าขึ้นมองหานซานเฉียนแล้วพูดว่า “นางคือขอทานตัวน้อยคนนั้นไงเจ้าคะ”ขอทานตัวน้อย!หานซานเฉียนก้าวไปข้างหน้าและตะโกนเรียกขอทานตัวน้อย “หันกลับมาให้ข้าดูหน่อยสิ”ขอทานตัวน้อยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาอย่างเขินอาย ใบหน้าของนางแดงราวกับแอปเปิลประณีต ไร้ที่ติ นี่เป็นคำจำกัดความที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่หานซานเฉียนนึกถึงได้เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับตุ๊กตา ไม่เพียงแต่ผิวพันของนางจะเนียนสวยไร้ที่ติเท่านั้น แต่หน้าตาของนางก็ปราณีตมาก ในชีวิตของหานซานเฉียน ไม่มีใครเทียบความงามของฉี๋อีหยุนได้ แต่ด้วยการปรากฏตัวของขอทานตัวน้อยคนนี้ ดูเห
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฮวงเซียวหย่งก็รู้สึกเป็นกังวล ท่านอาจารย์มาหาเขาที่จวนของเจ้าเมืองเป็นครั้งแรก แต่ถูกขัดขวางโดยคนโง่เหล่านี้!“เจ้าพวกโง่ กล้าดียังไงมาขวางอาจารย์ของข้า!” ฮวงเซียวหย่งตะโกนยามดูเสียใจและพูดว่า “คุณชายฮวง พวกเราแค่กลัวว่าเขาจะโกหกน่ะขอรับ”ฮวงเซียวหย่งตบหัวยามคนนั้นแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่างโง่เขลาจริง ๆ ใครจะกล้ามาแสร้งทำเป็นอาจารย์ของข้าที่จวนเจ้าเมืองอีก เว้นเสียแต่ต้องการตาย”เมื่อยามได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันสมเหตุสมผลฮวงเซียวหย่งคือใคร เขาเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองเชียวนะ!จะมีใครกล้ามาแกล้งทำเป็นอาจารย์ของเขาได้อย่างไร?ซึ่งหมายความว่าชายหนุ่มที่อยู่นอกประตูนั้นเป็นปรมาจารย์สามอันดับหลังจริง ๆ ทันใดนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลลงมาที่หลังของยาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งพูดกับหานซานเฉียนไปเมื่อครู่ เป็นไปได้ไหมว่าเขาได้ผ่านประตูนรกไปแล้ว!ถ้าหานซานเฉียนมีนิสัยดุร้าย เกรงว่าพวกเขาคงตายไปนานแล้วฮวงเซียวหย่งวิ่งไปจนสุดทางของจวนเจ้าเมือง ไม่กล้าแม้แต่จะพักหายใจ เมื่อเขาเห็นหานซานเฉียนถูกพวกโง่เขลาขวางไว้ เขาก็โกรธมาก“พวกเจ้ากำลังทำอะไร กล้าดียังไงมา
“เจ้ากำลังทำอะไร รู้หรือไม่ว่านี่คือที่ไหน นี่คือจวนของเจ้าเมือง เจ้าไม่สามารถเข้าไปได้!”จวนของเจ้าเมืองหานซานเฉียนถูกยามขวางเอาไว้ยามในชุดเกราะหลายคนดูมีพลังราวกับสายรุ้ง โดยมีออร่าที่แม้แต่ราชาแห่งสวรรค์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้หานซานเฉียนรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้มาก และทันใดนั้นเขาก็อดหัวเราะไม่ได้นี่มันเหมือนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูของคลับระดับไฮเอนด์ หรือโรงแรมบนโลกปัจจุบันที่พยายามขวางเขาไม่ให้เข้าประตูเลยไม่ใช่เหรอเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าหานซานเฉียนเคยพบกับสิ่งต่าง ๆ มากมายบนโลกมาก่อนแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเขาในโลกเชวียนหยวนด้วย ดูเหมือนว่าธรรมชาติของมนุษย์จะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าโลกไหน ๆ ก็มักจะมีคนที่ดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ“ข้ามาหาฮวงเซียวหย่ง ไปบอกเขา แล้วเขาจะมาพบข้าเอง” หานซานเฉียนกล่าวพวกยามดูไม่พอใจ ตอนนี้ฮวงเซียวหย่งคือความภาคภูมิใจของจวนเจ้าเมือง ฮวงเซียวหย่งมีความแข็งแกร่งระดับโคมห้า แม้แต่ยามเหล่านี้ก็ดูเหมือนด้พึ่งบารมีของเขาไปด้วยเมื่อเอ่ยถึงและผู้ชายที่อยู่ข้างหน้ากลับพูดอย่างโจ่งแจ้งว่าต้องการพบฮวงเซียวหย
ตระกูลเฉินเคยรุ่งโรจน์อย่างยิ่งในเมืองหลงหยุน และเฉินเถี่ยซินซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฉินก็มีสถานะที่ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากจุดจบเช่นนี้ แม้ว่ามันจะเป็นความผิดของเขาเอง แต่ก็ยังทำให้หลายคนถอนหายใจด้วยความเสียดาย“แค่มีเงินก็เปล่าประโยชน์ โลกเชวียนหยวนความแข็งแกร่งคือการรับประกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”“เฉินเถี่ยซิน โอ้อวดมากเกินไป ถึงกับบอกว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ราชสำนักได้อย่างแน่นอน แต่กลับต้องมาเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดตั้งแต่ยังเยาว์วัย”“เขาเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อตามหาอาจารย์ แต่อาจารย์ที่แท้จริงก็อยู่ข้าง ๆ เขา แต่เขากลับทำลายโอกาสนี้เสียเอง ไม่มีที่สำหรับความเห็นอกเห็นใจจริง ๆ”“ใครจะคิดว่าคนไร้ค่าที่ถูกตระกูลเฉินขับไล่ออกไปจะเป็นคนที่มีอำนาจได้ขนาดนี้ ฮวงเซียวหย่งเลื่อนขึ้นสู่ระดับโคมห้าในช่วงเวลาสั้น ๆ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องอยู่ในสามลำดับหลังอย่างแน่นอน”ประโยคนี้ได้รับการยอมรับจากหลาย ๆ คน ไม่มีใครคาดคิดถึงความแข็งแกร่งของหานซานเฉียนจริง ๆ เพราะการแสดงของเขาในตระกูลเฉินนั้นดูไร้ค่าโดยไม่มีความเชี่ยวชาญใด ๆ เลยแต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้
ในการรับรู้ของทุกคน หานซานเฉียนเป็นคนไร้ค่าที่ถูกไล่ออกจากตระกูลเฉิน ตอนนั้นเขาถูกคนนับไม่ถ้วนหัวเราะเยาะแต่ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนไป และกลายเป็นอาจารย์ของฮวงเซียวหย่ง!ความสามารถในการทำให้ฮวงเซียวหย่งเลื่อนจากระดับโคมสองทะลวงไปสู่ระดับโคมห้าได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ปรมาจารย์คนนี้จะต้องทรงพลังมากเพียงใดแล้วชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะกลายเป็นคนไร้ค่าในตระกูลเฉินได้อย่างไร?“คุณ...คุณชายฮวง ล้อเล่นหรือไม่?”“หานซานเฉียน คุณชายกำลังพูดถึงหานซานเฉียนที่เรารู้จักหรือเปล่าขอรับ”“ถ้าเขาเป็นคนที่ทรงพลัง เหตุใด...เขาถึงถูกเฉินเถี่ยซินขับไล่ออกไปล่ะขอรับ?”ทุกคนถามฮวงเซียวหย่งด้วยความไม่เชื่อ เพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้โดยสิ้นเชิงเขาเป็นคนทรงพลัง แต่ถูกเฉินเถี่ยซินที่อยู่เพียงระดับโคมสองรังแก มันช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย“พวกเจ้าได้ยินไม่ผิด และข้าก็ไม่ได้ล้อเล่น อาจารย์ของข้าคือหานซานเฉียนจริง ๆ สำหรับสาเหตุที่เขาอยู่ในตระกูลเฉิน และเหตุใดถึงถูกเฉินเถี่ยซินขับไล่นั้น เป็นเพราะว่าอาจารย์ของข้าขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงด้วย” ฮวงเซียวหย่งกล่าวเมื่อเห็นว่าทุกคนยังค
หานซานเฉียนยิ้มและไม่พูดอะไร ทำไมเขาต้องจำเฉินเหยียนหรันด้วยล่ะ? ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรที่จะมาครอบครองพื้นที่ใดในใจของเขาเลย“ไม่กล้าตอบข้ามาตรง ๆ ท่านกลัวงั้นหรือ” ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ถามอย่างไม่เต็มใจ“อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่เจ้า ข้าก็จะลืมไปในไม่ช้า คำตอบนี้พอใจแล้วหรือไม่” หานซานเฉียนหัวเราะเบา ๆจู่ ๆ ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ก็โกรธ นางถามเกี่ยวกับความคิดของหานซานเฉียนที่มีต่อเฉินเหยียนหรัน แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับนาง แถมยังพูดจาทำร้ายจิตใจคนฟังเช่นนี้อีก“ข้าจะทำให้มันเป็นที่น่าจดจำสำหรับท่านอย่างแน่นอน และทำให้ท่านไม่มีวันลืมข้าไปตลอดชีวิต” ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์พูดผ่านไรฟันหานซานเฉียนขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ จึงกลับไปที่ห้องของเขาตอนนี้ราชสำนักตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเขา และแม้แต่จักรพรรดิซุนก็ยังต้องการเอาใจเขา ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่หานซานเฉียนคิดว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังพัฒนาเร็วเกินไป และกำลังจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา ราชสำนักเป็นหนึ่งในสามแกนหลักของโลกเชวียนหยวน หานซานเฉียนยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับ โลกเชวียนหยวนมากนัก การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระด
“ท่านเป็นอะไรไป?”"เกิดอะไรขึ้น!"การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของโหยวไห่ทำให้ปี่ยางและฝูซานสับสน เพราะพวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย“ข้า...ข้าไม่รู้” เหงื่อเย็นหยดลงมาราวกับหยดลงมาราวกับเม็ดฝนบนหน้าผากของโหยวไห่ แรงกดเมื่อครู่นี้แทบจะทำให้เขาระเบิดตาย“เมื่อครู่...เมื่อครู่ ข้ารู้สึกถึงแรงกดอย่างรุนแรงจนเกือบจะบดขยี้ข้าได้” โหยวไห่อธิบายให้ทั้งสองคนฟังหลังจากสูดลมหายใจเข้าแรงกด?ทันใดนั้นสีหน้างุนงงของปี่ยางก็แปลเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก ก่อนจะพูดกับทั้งสองคน “รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า”เมื่อเผชิญกับความตื่นตระหนกของปี่ยาง แม้ว่าฝูซานและโหยวไห่จะสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยู่ที่นี่นานลานบ้านของหานซานเฉียนเฉินเถี่ยซินยังคงตัวสั่นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้นเขาไม่เคยคิดฝันว่าแผนการที่สมบูรณ์แบบของเขาจะจบลงเช่นนี้แม้ว่าศพจะถูกพบแล้ว แต่ปี่ยางก็ยังไม่ตัดสินโทษ แถมยังเป็นความเห็นชอบจากจักรพรรดิซุนอีกด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าหานซานเฉียนจะยังไม่ได้ไปที่ราชสำนัก แต่เขาก็ได้รับความสนใจจากจักรพรรดิซุนเป็นอย่างมากแล้วและเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปต่อกรกับบุคคลดังกล่าวตอนนี้เมื่อเขาทำให้หานซานเฉ