เมื่อผู้จัดการได้ยินเสียงนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นทันทีอย่างลนลาน “เถ้าแก่ครับ ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ แถมยังทำร้ายรปภ. บาดเจ็บอีกด้วยครับ” “โอ๊ะ?” เหลยฉวนมองไปที่หานซานเฉียนด้วยความสนอกสนใจ เขารู้ถึงศักยภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนนี้เป็นอย่างดี แต่กลับมีคนที่สามารถเอาชนะทั้งสามคนนี้ได้ แสดงว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว เขามองหานซานเฉียนอย่างพิจารณา แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บอย่างชัดเจน “น้องชาย ฝีมือไม่เลวนี่ สนใจมาทำงานกับฉันไหม ฉันจะให้นายเดือนละสามหมื่นเลย” เหลยฉวนพูดกับหานซานเฉียน หานซานเฉียนยิ้มหยันพลางพูดว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร” สีหน้าของเหลยฉวนเปลี่ยนไปทันที ฐานะของเขาในเมืองหยุนเฉิง ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้ “น้องชาย ฉันเห็นว่านายมีความสามารถดีก็เท่านั้น ฉัน เหลยฉวน เป็นคนที่เห็นค่าของคนจะไม่ติดใจเอาความ ถ้านายคุกเข่าลงขอโทษ ฉันก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เหลยฉวนพูดเสียงเย็น “คนของคุณบอกว่าภรรยาของผมมีเจตนาก่อกวน ผมก็เลยจะก่อกวนให้พวกคุณดู คุณนั่นแหละต้องคุกเข่าให้ผม แล
“ผมจะให้โอกาสคุณ เรียกคนมาสิ” หานซานเฉียนมองเหลยฉวนด้วยสายตาดุจคบเพลิงและพูดเสียงเย็น เหลยฉวนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยเห็นคนอวดดีเช่นนี้มาก่อน แถมยังมีหน้ามาให้โอกาสเขาอีก! แม้ว่าเหลยฉวนจะยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีศักยภาพจริง แต่บอดี้การ์ดประจำตัวของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งเมืองหยุนเฉิงจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ “ได้ อวดดีนักนะ วันนี้เหลยฉวนจะทำให้นายตาสว่าง ว่าคนมีฝีมือที่แท้จริงเป็นอย่างไร!” หลังจากโทรศัพท์ออกไปไม่นานคนของเหลยฉวนก็มาถึง แต่เข้ามากี่คนก็ล้มคว่ำหมด ไม่มีใครที่โชคดีรอดพ้นออกไปได้สักคน ในร้านอาหารจุนเยว่ถิงเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญไม่ขาดสาย แผ่นหลังของเหลยฉวนเย็นวาบ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ “ถะ...เถ้าแก่ หรือจะขอให้พี่หย่งพาคนของเขามาสักสองคนดีไหมครับ ข้างกายเขาต้องมีคนมีฝีมืออยู่ไม่น้อย” ผู้จัดการพูดเตือนเหลยฉวนเสียงเบา นี่คือศักดิ์ศรีของเหลยฉวนและร้านอาหารจุนเยว่ถิง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้จัดการ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าให้คนคนนี้ อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบความอวดดีของหานซานเฉียนด้วย เหลยฉวนพูดเสียงต่ำ “ก็เหล
แคชเชียร์ที่เคาน์เตอร์กลัวจนพูดไม่ออก แต่หานซานเฉียนก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป เขาพูดกับเธอว่า “ขอโทษภรรยาของฉันซะ” “ขอ...ขอโทษค่ะ” แคชเชียร์ก้มหน้าพูดอย่างตะกุกตะกัก เหลยฉวนยังคงมองหาหลินหย่ง เขาหวังว่าหลินหย่งจะออกหน้าพูดแทนเขาได้ ถึงจะเอาชนะไม่ได้ แต่ด้วยฐานะของหลินหย่ง อย่างไรก็ต้องหยุดความจองหองของเจ้าหมอนี่ได้บ้างสิ? แต่สิ่งที่ทำให้เหลยฉวนผิดหวังก็คือ หลินหย่งยืนเอามือทั้งสองแนบต้นขาด้วยความยำเกรง ภาพนี้ทำให้เหลยฉวนตกใจจนหน้าถอดสี แม้แต่หลินหย่งก็...ไม่กล้ามีเรื่องกับเขา! เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ หลังจากหานซานเฉียนพาซูหยิงเซี่ยเข้าไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างแล้ว เหลยฉวนก็เดินเข้าไปหาหลินหย่งอย่างเงียบ ๆ แล้วถามเขาว่า “พี่หย่ง คนคนนี้เป็นใคร?” หลินหย่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “เหลยฉวน แกนี่รนหาที่ตายจริง ๆ อย่าลากฉันเข้ามาซวยไปด้วย ถ้าเรื่องนี้ทำให้ฉันเดือดร้อน ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่” หลังจากเกิดเรื่องนั้นกับฉางปิน หลินหย่งก็รู้ว่าสถานะของเขาในใจของหานซานเฉียนนั้นถูกตีค่าต่ำลง หากครั้งนี้ยังทำให้หานซานเฉียนไม่พอใจอีก แม้แต่ตำแหน่งในปัจจุบันของเขาก็ไม
เมื่อกลับถึงบ้าน เจี่ยงหลานนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ซูกั๋วเย่าดูโทรทัศน์ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว บนโต๊ะน้ำชามีโจ๊กสองถ้วยที่ยังไม่กินไม่เสร็จ และผักดองหนึ่งจานวางอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ ซูหยิงเซี่ยก็รู้สึกโมโห อย่าบอกนะว่าพอไม่มีหานซานเฉียน แม้แต่ชีวิตตัวเองพวกเขาก็ยังจัดการไม่ได้? หรือคาดหวังให้หานซานเฉียนทำกับข้าวอยู่บ้านไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ? “แม่คะ แค่ไม่ได้เข้าครัวมาหลายปี คงไม่ใช่ว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วนะคะ ถ้าต่อไปหานซานเฉียนไม่ได้ทำกับข้าว แม่คงไม่อดตายหรอกใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยบ่นขณะที่เก็บถ้วยและตะเกียบ เจี่ยงหลานไม่ตอบ ซูกั๋วเย่าถอนหายใจและพูดว่า “แม่ของลูกเริ่มเสียดายเงินสองแสนนั่นแล้วน่ะสิ แถมยังบอกอีกว่าต่อไปจะตัดค่าใช้จ่ายประจำวันเหลือครึ่งเดียว” พอพูดถึงเรื่องเงิน เจี่ยงหลานก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอหันไปพูดกับหานซานเฉียนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายใช้เงินได้แค่เดือนละห้าร้อยหยวนเท่านั้น” “ห้าร้อยหยวน?” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากครัวอย่างโมโห ทั้งครอบครัวมีตั้งสี่คน ห้าร้อยหยวนต่อเดือนจะซื้ออะไรได้ จะให้กินแต่โจ๊กหรือไง? “แม่คะ อย่าให้มัน
ในขณะรับประทานอาหารเย็นอยู่ ซูกั๋วเย่าก็ได้รับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางของเขาไม่สู้ดีนัก หลังจากวางสาย เขาดูท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เจี่ยงหลานเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นเรื่องเสียเงิน ครอบครัวเราไม่มีวันไป” “ถังเฉิงเย่โทรมาบอกว่าย้ายบ้านแล้ว เขาชวนพวกเราไปเยี่ยมบ้านน่ะ” ซูกั๋วเย่ากล่าว การขึ้นบ้านใหม่สื่อถึงการมอบของขวัญ แต่สถานการณ์ของเจี่ยงหลานในตอนนี้การใช้เงินก็เหมือนการฆ่าเธอ แต่ถังเฉิงเย่อุตส่าห์โทรมาด้วยตัวเองจะไม่ไปก็ไม่ได้ “ครอบครัวคุณอาถังย้ายบ้านใหม่เหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม ถังเฉิงเย่เป็นเพื่อนเก่าของซูกั๋วเย่า ทั้งสองครอบครัวเคยสนิทสนมกันมาก่อน ถังเฉิงเย่ถึงขั้นอยากเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน และอยากให้ซูหยิงเซี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ของเขา ต่อมาหลังจากที่หานซานเฉียนแต่งเข้าตระกูลซู ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวก็จืดจางลงไป “ใช่ ได้ยินว่าย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่สไตล์ดูเพล็กซ์” ซูกั๋วเย่ากล่าว “ไปก็ให้คนอื่นเหยียดหยาม ไม่ไปหรอก” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ในอดีตถังเฉิงเย่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวของพวกเขา เพ
“ในเมื่อวันนี้มารวมตัวกันแล้ว พวกเราก็ไปกันให้หมดเลย จะได้ไปดูว่าบ้านใหม่ของเถ้าแก่ซูเป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงเย่ไม่ได้กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เลย เขาโทรเรียกทุกคนมาที่นี่ “ใช่ ๆ ๆ พวกเราจะได้อาศัยบารมีด้วย ไม่รู้ว่าจะใหญ่เท่าบ้านหลังนี้ของเถ้าแก่ถังหรือเปล่านะ” “เถ้าแก่ซู บ้านหลังใหม่ของนายซื้อของโครงการไหนเหรอ” “ยังไงนายก็เป็นสมาชิกของตระกูลซู คงไม่ด้อยไปกว่าของเถ้าแก่ถังหรอกนะ?” ซูกั๋วเย่าพยักหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรดี บ้านใหม่อะไรกัน ตอนนี้ครอบครัวของเขาแทบไม่มีอะไรกินแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้าน วันนี้ลูกชายของถังเฉิงเย่ไม่ได้กลับมา ถือว่าตัดไปหนึ่งปัญหา ไม่อย่างนั้นหานซานเฉียนคงไม่ได้สบายใจอยู่แบบนี้ หลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูกั๋วเย่าก็หาข้ออ้างขอตัวกลับ ก่อนไปถังเฉิงเย่ยังย้ำว่าอย่าลืมโทรหาเขา เพื่อนคนอื่น ๆ ก็มองมาอย่างมีความสุขเช่นกัน หานซานเฉียนเลยกำหนดเวลา และบอกพวกเขาว่าให้เป็นวันที่ 15 เดือนหน้า ส่วนที่อยู่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง คำพูดของเขาทำให้เจี่ยงหลานโมโหจนแทบบ้า หลังจากหานซานเฉียนและทุกคนกลับไปแล้ว ถังเฉิงเย่ก็พูดกับเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย
ภายในห้อง แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะพอเดาได้ว่าบ้านที่หานซานเฉียนซื้อนั้นคงเทียบกับบ้านของเถ้าแก่ถังเฉิงเย่ไม่ได้ แต่ในใจเธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าบ้านใหม่นั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้บ้านที่พักอยู่บนชั้นหกต้องขึ้นลงบันไดทุกวัน เหนื่อยเอาการทีเดียว ถึงแม้สภาพแวดล้อมบ้านใหม่จะไม่ได้ดีเท่าบ้านของเถ้าแก่ถังเฉิงเย่ แต่ขอแค่มีลิฟต์ก็พอใจแล้ว “คุณคงไม่ได้คิดจะมีความลับกับฉันใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยพูดกับหานซานเฉียน “ความจริงคุณก็เห็นอยู่ทุกวัน” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นทุกวัน?” ซูหยิงเซี่ยขมวดคิ้วแน่นและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่เขาพูดว่าเห็นอยู่ทุกวันคงไม่ใช่ชุมชนนี้หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ความฝันที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็คงจะพังทลาย “พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ คุณว่างหรือเปล่า?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “ฉันรับปากเฉินหลิงเหยาไว้ว่าจะไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนเธอ ความเจ็บปวดที่คุณทิ้งไว้ให้เธอ ตอนนี้ฉันต้องเป็นคนมารับเคราะห์แทน” ซูหยิงเซี่ยพูดพร้อมกับถลึงตาใส่หานซานเฉียน หานซานเฉียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เฉินหลิงเหยายังไม่ปล่อยวางจากเรื่องนั้นอีกเหรอ? วันต่อมา หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยเพิ่งตื่นนอนก็ได
ซูหยิงเซี่ยไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเมื่อคืนหานซานเฉียนได้บอกแล้วว่าเธอเห็นมันทุกวัน ในเมื่อเป็นสถานที่ที่เธอเห็นทุกวัน ก็น่าจะอยู่ในบริเวณชุมชนของเธอนั่นเอง แต่ในเมื่อหานซานเฉียนพูดขึ้นมาแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็เกิดอยากรู้ จึงถามเขาไปว่า “อยู่ที่ไหนล่ะ?” หานซานเฉียนชี้ไปที่คฤหาสน์ใจกลางภูเขาแล้วบอกว่า “นั่นไง” ซูหยิงเซี่ยตะลึงงันอยู่นานก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา เธอมองไปที่หานซานเฉียนอย่างหมดคำพูด “ต่อหน้าฉันคุณยังจะคุยโม้อยู่อีกเหรอ? รีบกลับบ้านกันเถอะ เฉินหลิงเหยากำลังรอฉันอยู่” หานซานเฉียนยังไม่ทันได้อธิบาย ซูหยิงเซี่ยก็วิ่งออกไปไกลแล้ว แต่การที่เธอไม่เชื่อก็ถือเป็นเรื่องปกติ คฤหาสน์ใจกลางภูเขา มีราคาประมูลขายเฉียดร้อยล้าน ใครจะคิดว่าผู้ที่ซื้อไปคือลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ของตระกูลซู? หานซานเฉียนยิ้มบาง ๆ มองตามหลังซูหยิงเซี่ยแล้วพูดขึ้นว่า “วันที่ 15 เดือนหน้าคุณก็รู้เอง หวังว่าคุณจะพอใจกับเซอร์ไพรส์นี้นะ” หลังรับทานอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ซูหยิงเซี่ยก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินหลิงเหยา เธอกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามให้หานซานเฉียนมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอจะเ