ภายในห้องนั่งเล่น หานซานเฉียนนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเปลี่ยนหน้าเร็วจริง ๆ เมื่อครู่กำลังพูดถึงการนอนบนเตียงแท้ ๆ แล้วทำไมเขาต้องมาอาศัยโซฟาเพื่อความอยู่รอดแบบนี้ด้วยผู้หญิงคือเสือที่ดุร้ายจริง ๆ สินะวันรุ่งขึ้น หลังจากหานซานเฉียนพาซูหยิงเซี่ยไปส่งที่บริษัท เขาก็ไปที่ธนาคารรอคิวอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็ถึงหมายเลขของเขา แต่พนักงานกลับบอกว่าหากต้องการถอนเงินสดสองแสนหยวนจะต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อน พนักงานหญิงตรงเคาน์เตอร์มองบัตรเครดิตในมือของเขาและส่ายหัว เธอไม่รู้ว่าคนบ้านนอกคอกนาคนนี้มาจากไหน แม้แต่ระเบียบข้อบังคับขั้นต้นนี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง“บัตรเครดิตของผมไม่จำเป็นต้องนัดหมายไม่ใช่เหรอ?” หานซานเฉียนถามการที่หานซานเฉียนไม่ไปที่ห้อง VIP โดยตรง ก็ถือว่าเป็นการถ่อมตนมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าต้องมาโดนพนักงานดูถูกแบบนี้“บัตรเครดิตของคุณใบนี้มีสิทธิพิเศษอะไรเหรอคะ?” พนักงานหญิงหัวเราะออกมา เธอทำงานที่นี่มาจะครึ่งปีแล้วแต่ไม่เคยเห็นรูปแบบบัตรเครดิตที่อยู่ในมือของหานซานเฉียนมาก่อนเลย เธอถึงขั้นสงสัยด้วยซ้ำว่าหานซานเฉียนมาผิดธนาคารหรือเปล่า“ให้ประธานธนาคารของพว
หานซานเฉียนยังไม่ถึงบ้าน ซูหยิงเซี่ยก็โทรมาหาเพื่อบอกว่าครอบครัวของหลิวฮวามาถึงที่บ้านแล้ว เจี่ยงหลานเร่งให้ซูหยิงเซี่ยรีบหาวิธีเอาเงินกลับมาบ้านให้เร็วที่สุด“ผมถอนเงินเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน” หานซานเฉียนพูดในเรื่องนี้ซูหยิงเซี่ยเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องเมื่อวานที่ไปทานอาหารที่โรงแรมแต่ไม่ได้พาเขาไปด้วย ปล่อยให้เขาอยู่บ้านเพียงคนเดียวและต้องทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แถมยังรบกวนให้เขาไปที่โรงแรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้อีก“คืนนี้คุณไม่ต้องทำอาหารที่บ้านนะ” ซูหยิงเซี่ยพูดหานซานเฉียนหัวเราะและพูดออกมาว่า “ถ้าผมไม่ทำอาหาร แล้วพ่อกับแม่จะทานอะไรล่ะ?”“พวกเขาไม่มีมือทำเองเหรอ ปล่อยให้พวกเขาหากินกันเอาเองสิ” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างขุ่นเคือง“งั้นก็ได้”เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลิวฮวาเห็นกระเป๋าในมือของหานซานเฉียน เธอตัดสินเอาเองว่ามันคือกระเป๋าเงิน ก่อนที่หานซานเฉียนจะมอบมันให้กับเธอ เธอก็อดไม่ไหวที่จะคว้ามันมาเอง และแอบมองเงินในกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ ภายในมีธนบัตรสีแดงสวยสดงดงาม จากนั้นสีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ตื่นเต้น"ไปไหนมา ทำไมถึงได้ล่าช้าแบบนี้" หลิวฮวากล่าวโทษหานซ
วินาทีแรกที่หลิวฮวาลืมตาขึ้นมา เธอเอามือกอดอกและพบว่าในอ้อมแขนนั้นว่างเปล่า เธอจึงได้สติขึ้นมาทันที “เงิน เงินของฉัน เงินของฉันอยู่ที่ไหน” หลิวฮวาตะโกนด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี เจี่ยงเฟิงกวางและเจี่ยงเฉิงทั้งสองตื่นตัวอย่างที่สุดราวกับถูกฉีดฮอร์โมน “คุณถือไว้ไม่ใช่เหรอ จะหายไปได้ยังไง” “แม่ ไหนแม่บอกว่าจะไม่หลับไง แล้วเงินล่ะ นั่นเงินแต่งเมียของผมนะ” เจี่ยงเฉิงพูดอย่างเจ็บปวด หลิวฮวาคว้าคอเสื้อของคนขับรถแล้วพูดว่า “เงินฉันหายก็เพราะนั่งรถคุณ คุณต้องชดใช้ให้ฉัน ชดใช้ฉันมาสองแสน!” สถานีรถเกิดความโกลาหลขึ้น แม้แต่หัวหน้าสถานีก็ยังตกใจกับระดับความเอะอะโวยวายของครอบครัวสามคนนี้ พวกเขายืนกรานจะให้ทางสถานีรถชดใช้เงินสองแสนคืนให้ได้ หลิวฮวาถึงกับวิ่งไปที่โถงขายตั๋ว และเกลือกกลิ้งร้องไห้ฟูมฟายกับพื้น สุดท้ายทางสถานีรถก็ต้องโทรแจ้งความ เมื่อพาคนทั้งสามออกไปแล้วเหตุการณ์จึงสงบลง หานซานเฉียนได้รับโทรศัพท์จากหลินหย่ง ในขณะที่รอซูหยิงเซี่ยเลิกงาน “พี่ซานเฉียน ได้เงินมาแล้วเอายังไงต่อดีครับ” หลินหย่งเอ่ยถาม “ให้พวกเขาไปแบ่งกัน ถือเป็นค่าตอบแทนสำหรับพวกเขา” หานซานเฉียนกล่าว แม้ว่าเ
“คุณผู้หญิง กรุณาอย่าเข้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ คุณไม่เห็นสถานการณ์ตอนนี้เหรอคะ เราจะเอาที่นั่งที่ไหนให้คุณ ถ้าคุณเต็มใจรอก็รอ แต่ถ้าไม่เต็มใจก็ไปเถอะค่ะ พวกเราขาดลูกค้าอย่างคุณไปสักคนก็ไม่เป็นไร” แคชเชียร์พูดด้วยท่าทีจองหอง ซูหยิงเซี่ยโกรธจนอยากจะตบคน นี่มันตรรกะอะไรกัน หรือว่ามีลูกค้าเยอะจนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการบริการลูกค้าแล้วเหรอ? ในเมื่อเป็นการจองที่นั่งล่วงหน้าก็ควรจะมีกฎในการจองสิ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ซูหยิงเซี่ยแค่ต้องการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตัวเอง แต่หล่อนกลับพูดเหมือนเธอมีเจตนาก่อความวุ่นวาย! “ฉันไม่ไป เธอจะทำอะไรฉันได้?” ซูหยิงเซี่ยเท้าสะเอวพูด หานซานเฉียนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอคิดหาวิธีที่โหดกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ การพูดว่าไม่ไปมันดูเหมือนคำพูดที่เด็ก ๆ พูดกัน “รปภ. มีคนสร้างปัญหาที่นี่” แคชเชียร์หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัย เพื่อไล่ซูหยิงเซี่ยออกไปอย่างไม่ไว้หน้า เพียงไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาสามคน เรื่องที่เกิดขึ้นที่เคาน์เตอร์ดึงดูดความสนใจลูกค้าที่มารับประทานอาหารอยู่ไม่น้อย ผู้คนต่างพากันมองดูอย่างส
เมื่อผู้จัดการได้ยินเสียงนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นทันทีอย่างลนลาน “เถ้าแก่ครับ ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ แถมยังทำร้ายรปภ. บาดเจ็บอีกด้วยครับ” “โอ๊ะ?” เหลยฉวนมองไปที่หานซานเฉียนด้วยความสนอกสนใจ เขารู้ถึงศักยภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนนี้เป็นอย่างดี แต่กลับมีคนที่สามารถเอาชนะทั้งสามคนนี้ได้ แสดงว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว เขามองหานซานเฉียนอย่างพิจารณา แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บอย่างชัดเจน “น้องชาย ฝีมือไม่เลวนี่ สนใจมาทำงานกับฉันไหม ฉันจะให้นายเดือนละสามหมื่นเลย” เหลยฉวนพูดกับหานซานเฉียน หานซานเฉียนยิ้มหยันพลางพูดว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร” สีหน้าของเหลยฉวนเปลี่ยนไปทันที ฐานะของเขาในเมืองหยุนเฉิง ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้ “น้องชาย ฉันเห็นว่านายมีความสามารถดีก็เท่านั้น ฉัน เหลยฉวน เป็นคนที่เห็นค่าของคนจะไม่ติดใจเอาความ ถ้านายคุกเข่าลงขอโทษ ฉันก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เหลยฉวนพูดเสียงเย็น “คนของคุณบอกว่าภรรยาของผมมีเจตนาก่อกวน ผมก็เลยจะก่อกวนให้พวกคุณดู คุณนั่นแหละต้องคุกเข่าให้ผม แล
“ผมจะให้โอกาสคุณ เรียกคนมาสิ” หานซานเฉียนมองเหลยฉวนด้วยสายตาดุจคบเพลิงและพูดเสียงเย็น เหลยฉวนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยเห็นคนอวดดีเช่นนี้มาก่อน แถมยังมีหน้ามาให้โอกาสเขาอีก! แม้ว่าเหลยฉวนจะยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีศักยภาพจริง แต่บอดี้การ์ดประจำตัวของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งเมืองหยุนเฉิงจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ “ได้ อวดดีนักนะ วันนี้เหลยฉวนจะทำให้นายตาสว่าง ว่าคนมีฝีมือที่แท้จริงเป็นอย่างไร!” หลังจากโทรศัพท์ออกไปไม่นานคนของเหลยฉวนก็มาถึง แต่เข้ามากี่คนก็ล้มคว่ำหมด ไม่มีใครที่โชคดีรอดพ้นออกไปได้สักคน ในร้านอาหารจุนเยว่ถิงเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญไม่ขาดสาย แผ่นหลังของเหลยฉวนเย็นวาบ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ “ถะ...เถ้าแก่ หรือจะขอให้พี่หย่งพาคนของเขามาสักสองคนดีไหมครับ ข้างกายเขาต้องมีคนมีฝีมืออยู่ไม่น้อย” ผู้จัดการพูดเตือนเหลยฉวนเสียงเบา นี่คือศักดิ์ศรีของเหลยฉวนและร้านอาหารจุนเยว่ถิง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้จัดการ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าให้คนคนนี้ อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบความอวดดีของหานซานเฉียนด้วย เหลยฉวนพูดเสียงต่ำ “ก็เหล
แคชเชียร์ที่เคาน์เตอร์กลัวจนพูดไม่ออก แต่หานซานเฉียนก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป เขาพูดกับเธอว่า “ขอโทษภรรยาของฉันซะ” “ขอ...ขอโทษค่ะ” แคชเชียร์ก้มหน้าพูดอย่างตะกุกตะกัก เหลยฉวนยังคงมองหาหลินหย่ง เขาหวังว่าหลินหย่งจะออกหน้าพูดแทนเขาได้ ถึงจะเอาชนะไม่ได้ แต่ด้วยฐานะของหลินหย่ง อย่างไรก็ต้องหยุดความจองหองของเจ้าหมอนี่ได้บ้างสิ? แต่สิ่งที่ทำให้เหลยฉวนผิดหวังก็คือ หลินหย่งยืนเอามือทั้งสองแนบต้นขาด้วยความยำเกรง ภาพนี้ทำให้เหลยฉวนตกใจจนหน้าถอดสี แม้แต่หลินหย่งก็...ไม่กล้ามีเรื่องกับเขา! เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ หลังจากหานซานเฉียนพาซูหยิงเซี่ยเข้าไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างแล้ว เหลยฉวนก็เดินเข้าไปหาหลินหย่งอย่างเงียบ ๆ แล้วถามเขาว่า “พี่หย่ง คนคนนี้เป็นใคร?” หลินหย่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “เหลยฉวน แกนี่รนหาที่ตายจริง ๆ อย่าลากฉันเข้ามาซวยไปด้วย ถ้าเรื่องนี้ทำให้ฉันเดือดร้อน ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่” หลังจากเกิดเรื่องนั้นกับฉางปิน หลินหย่งก็รู้ว่าสถานะของเขาในใจของหานซานเฉียนนั้นถูกตีค่าต่ำลง หากครั้งนี้ยังทำให้หานซานเฉียนไม่พอใจอีก แม้แต่ตำแหน่งในปัจจุบันของเขาก็ไม
เมื่อกลับถึงบ้าน เจี่ยงหลานนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ซูกั๋วเย่าดูโทรทัศน์ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว บนโต๊ะน้ำชามีโจ๊กสองถ้วยที่ยังไม่กินไม่เสร็จ และผักดองหนึ่งจานวางอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ ซูหยิงเซี่ยก็รู้สึกโมโห อย่าบอกนะว่าพอไม่มีหานซานเฉียน แม้แต่ชีวิตตัวเองพวกเขาก็ยังจัดการไม่ได้? หรือคาดหวังให้หานซานเฉียนทำกับข้าวอยู่บ้านไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ? “แม่คะ แค่ไม่ได้เข้าครัวมาหลายปี คงไม่ใช่ว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วนะคะ ถ้าต่อไปหานซานเฉียนไม่ได้ทำกับข้าว แม่คงไม่อดตายหรอกใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยบ่นขณะที่เก็บถ้วยและตะเกียบ เจี่ยงหลานไม่ตอบ ซูกั๋วเย่าถอนหายใจและพูดว่า “แม่ของลูกเริ่มเสียดายเงินสองแสนนั่นแล้วน่ะสิ แถมยังบอกอีกว่าต่อไปจะตัดค่าใช้จ่ายประจำวันเหลือครึ่งเดียว” พอพูดถึงเรื่องเงิน เจี่ยงหลานก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอหันไปพูดกับหานซานเฉียนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายใช้เงินได้แค่เดือนละห้าร้อยหยวนเท่านั้น” “ห้าร้อยหยวน?” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากครัวอย่างโมโห ทั้งครอบครัวมีตั้งสี่คน ห้าร้อยหยวนต่อเดือนจะซื้ออะไรได้ จะให้กินแต่โจ๊กหรือไง? “แม่คะ อย่าให้มัน