“ซูอี้หาน เธอพูดบ้าอะไรน่ะ” “คุณย่าอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงได้พูดจาเหลวไหล” “ปากเปราะจริง ๆ พูดจาไร้สาระ!” แม้ว่าบรรดาญาติที่อยู่ในนี้จะไม่ได้ชื่นชอบซูหยิงเซี่ยนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่าคุณย่าให้ความสำคัญกับธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมากเพียงใด เป็นเรื่องปกติที่จะดูถูกซูหยิงเซี่ย แต่เรื่องแบบนี้จะเอามาพูดส่งเดชไม่ได้ ซูอี้หานก็รู้ว่าคุณย่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูอี้หานคิดว่าตัวเองมีหลักฐาน และซูหยิงเซี่ยก็ตกไปอยู่ในมือของเฉิงกังแล้วอย่างแน่นอน พูดความจริงจะผิดอะไรล่ะ? “พวกคุณโมโหอะไร ฉันจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นเหรอ?” ซูอี้หานพูดด้วยเสียงราบเรียบ เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาญาติคนอื่น ๆ ต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่ได้ล้อเล่น ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าเป็นความจริงเหรอ? ซูหยิงเซี่ยกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร! “ซูอี้หาน เธอรู้อะไรก็พูดมาให้ชัดเจน” คุณย่าถามซูอี้หานด้วยสีหน้าขรึม เธอไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นในตระกูลซูอย่างแน่นอน ถ้าซูหยิงเซี่ยทำเรื่องคาวโลกีย์เช่นนี้จริง เธอก็จะขับไล่ซูหย
เล่นชู้อย่างนั้นเหรอ! ซูหยิงเซี่ยรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที มันคือการปั้นเรื่องเพื่อใส่ร้ายป้ายสี และยังเป็นการดูถูกความบริสุทธิ์ของเธออีกด้วย “ซูอี้หาน ปากเธอกินอะไรเข้าไปถึงได้พูดจาเหม็นโฉ่แบบนี้” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างโกรธจัด ซูอี้หานลุกขึ้นยืนอย่างมั่นอกมั่นใจแล้วพูดว่า “กล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ? ไหนเธอลองบอกซิว่าแก้ไขปัญหาได้แล้วหรือยัง?” “จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “ฮึ!” ซูอี้หานพูดแกมเยาะเย้ย “เรียบร้อยแล้วอย่างงั้นเหรอ? เสียเงินไปเท่าไหร่ล่ะ?” “เปล่า...ไม่ได้เสียเงินเลย” เรื่องนี้หานซานเฉียนเป็นคนจัดการ ส่วนวิธีการที่ใช้นั้นซูหยิงเซี่ยเองก็ไม่รู้ แต่เธอแน่ใจว่าไม่ได้เสียเงินสักหยวนเดียว “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ...” ซูอี้หานหัวเราะขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องใช้เงินก็จัดการได้แล้ว เธอนี่มีฝีมือจริง ๆ คงจะใช้มารยาอย่างอื่นสินะ” “ซูหยิงเซี่ย อีกฝ่ายคือเฉิงกัง คือคนในพื้นที่สีเทา เธอแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงินอย่างนั้นเหรอ?” ซูไห่เฉาแน่ใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างซูหยิงเซี่ยกับเฉิงกังเมื่อคืนแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นมีหรือเธอจะมีปัญญาจัดการเรื่องนี้ได้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า
คนสองคนเดินเข้าไปในห้องประชุม หนึ่งในนั้นคือหลินหย่ง อีกคนหนึ่งมีกระสอบคลุมศีรษะอยู่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครแม้ว่าตระกูลซูจะไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยและมีอิทธิพลในเมืองหยุนเฉิง แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใครมาก่อความวุ่นวายในบริษัท เธอถามเสียงเย็น “คุณเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาสร้างปัญหาให้ตระกูลซูของฉัน”หลินหย่งมองไปที่ซูหยิงเซี่ยแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณย่า ผมชื่อหลินหย่ง คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อของผมมาบ้างใช่ไหม?”หลินหย่ง!ในห้องประชุม ญาติ ๆ ของตระกูลซูทุกคนต่างกระสับกระส่าย เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาในเมืองหยุนเฉิง ด้วยความสามารถของตระกูลซูนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้เลย แล้วเขามาสร้างปัญหาให้ตระกูลซูทำไมกัน?“พี่หย่งนั่นเอง ไม่ทราบว่าคุณมาถึงบริษัทของเรามีธุระอะไรหรือ?” น้ำเสียงของคุณย่าเปลี่ยนไปทันที แล้วยังเรียกเขาว่าพี่หย่งด้วยความยำเกรงอีกด้วยสถานะทางสังคมไม่ได้ถูกตัดสินด้วยอายุคุณย่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงและมากด้วยอำนาจในตระกูลซู แต่สำหรับคนอย่างหลินหย่ง เธอไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ เรื่องนี้เธอรู้ดีอยู่แก่ใจดี“ผมช่วยแก้ปัญหาให้ตระกูลซูแล้ว ถือโอกาสมาเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาหน่อย” หลินหย่งพูด
สีหน้าของคุณย่าเริ่มแข็งทื่อ เรื่องใหญ่แบบนี้ควรจะจบเรื่องราวอย่างไรดีนะ? ถ้าเธอไม่มีคำอธิบายให้ซูหยิงเซี่ย ก็เห็นชัดเจนว่าเธอลำเอียง แต่ถ้าจะให้ขับไล่ซูไห่เฉาออกจากตระกูลซู เธอก็ทำไม่ลง แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะนำผลประโยชน์มากมายมาสู่ตระกูลซู แต่ในสายตาของคุณย่า เธอก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่าซูไห่เฉาอยู่ดี อีกอย่างในอนาคตของตระกูลซูก็มีเพียง ซูไห่เฉาเท่านั้นที่สามารถสืบทอดตระกูลได้ “พี่หย่ง นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา ฉันซาบซึ้งมากที่คุณให้ความช่วยเหลือ คุณต้องการเงินเท่าไหร่ก็เอ่ยขอได้เต็มที่” คุณย่าบอกกับหลินหย่ง การมาเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาของหลินหย่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เรื่องนี้เป็นคำสั่งของหานซานเฉียน เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น “ในเมื่อคุณย่าตรงไปตรงมาแบบนี้ ผมหลินหย่งก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ท่านจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยมาหาท่านอีกครั้งก็แล้วกัน” พูดจบหลินหย่งก็พาเฉิงกังออกไปจากบริษัท ห้องประชุมเงียบสงัด ซูไห่เฉาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณย่า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ญาติคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบ อย่างไรก็ตาม ซูหยิงเซี่ยเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ในอนาคต
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง หานซานเฉียนปรากฏตัวขึ้นที่ร้านขายของเล็ก ๆ แต่ร้านยังไม่เปิด นั่นทำให้เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี หรือว่าในบ้านจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า? ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมอยู่ ๆ ถึงปิดประตูเงียบแบบนี้ล่ะหลังจากรับซูหยิงเซี่ยแล้ว เขาเห็นแก้มของเธอป่องอย่างกับปลาทอง ชัดเจนว่ากำลังงอนอยู่ เขาจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอะไรไป? ปัญหาก็จัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณย่าไม่ชมเชยคุณ?”ซูหยิงเซี่ยทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วบอกว่า “วันนี้หลินหย่งพาเฉิงกังมาที่นี่เพื่อเปิดโปงทุกอย่างที่ซูไห่เฉาทำ แต่คุณย่าแค่ขอให้ซูไห่เฉากลับบ้านไปพิจารณาตัวเองเท่านั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานซานเฉียนก็ยิ้มเยาะออกมาในสายตาของเขา แม้ว่าคุณย่าจะเข้าข้างซูไห่เฉา แต่เขาก็ต้องถูกลดตำแหน่งลงให้คนอื่น ๆ ได้เห็นบ้าง แต่เธอกลับใช้คำว่าพิจารณาตัวเองกับเรื่องนี้ มันออกจะน่าขันไปหน่อยยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าไม่ใช่แค่เข้าข้างซูไห่เฉาเฉย ๆ เธอยังไม่เห็นซูหยิงเซี่ยอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของซูหยิงเซี่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยไม่สนใจซูหยิงเซี่ย โดยไม่กลัวเลยว่าเธอจะแตกหักกับตระกูลซู?
หานซานเฉียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ถ้าคุณมีธุระก็ไปเถอะ แต่ว่า...” คำพูดของซูหยิงเซี่ยหยุดลงกลางคัน “แต่ว่าอะไร?” หานซานเฉียนถามอย่างแปลกใจ “ไม่มีอะไร” ซูหยิงเซี่ยรีบกลับไปที่ห้อง เธออยากจะบอกว่าห้ามเขาไปหาผู้หญิง แต่คำพูดแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลก แม้ว่าทั้งสองจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ การเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของหานซานเฉียนจนเกินไป ซูหยิงเซี่ยยังรู้สึกไม่คุ้นชิน ซูหยิงเซี่ยนั่งลงที่หัวเตียงพลางยกหมอนขึ้น มีกรรไกรเล่มหนึ่งอยู่ข้างใต้ มันถูกวางไว้ตรงนี้เมื่อสามปีก่อน ในปีแรก ซูหยิงเซี่ยจับกรรไกรไว้ทุกคืนจนผล็อยหลับไป จนต่อมาเธอค่อย ๆ ผ่อนคลายการระมัดระวังตัวลง และตอนนี้เธอรู้สึกว่าถึงเวลาต้องเก็บกรรไกรแล้ว “ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณข่มใจตัวเองได้ยังไง เมื่ออยู่กับสาวสวยอย่างฉัน” ซูหยิงเซี่ยพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกตแก้มที่แดงระเรื่อของตัวเอง ก่อนจะเอากรรไกรเก็บเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่หน้ากระจก มองดูรูปร่างและใบหน้าอันละเอียดอ่อนไร้จุดบกพร่องของตัวเอง เขาไม่ใจเต้นเลยงั้นเหรอ? “เฮ้อ นี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย” ซูหยิงเซี่ยห
สปาหลงเหมิน ติดธงสัญลักษณ์นวดผ่อนคลายและแช่เท้า ในความเป็นจริงสปาหลงเหมินนั้นเป็นแค่ป้ายที่แขวนไว้บังหน้าเท่านั้น คนที่รู้เรื่องดีจะเรียกที่นี่ว่าบ่อนใต้ดินหลงเหมิน ที่ชั้นหนึ่งของสปามีบ่อนการพนันที่มีพื้นที่กว้างขวาง นักพนันทั่วทุกสารทิศจมปลักอยู่ที่นี่จนถอนตัวไม่ขึ้น บางคนหน้าตาซีดเซียว บางคนหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทแรก เพราะถึงอย่างไรการพนันก็มีเสียมากกว่าได้ ความเป็นไปได้ที่จะชนะในบ่อนไม่สูงไปกว่าการซื้อหวยสักเท่าไหร่ เวลานี้หน้าโต๊ะพนันบาคาร่ามีเสียงผู้คนดังเอะอะ ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่นชนะสิบตาติดต่อกัน ชิปตรงหน้าเขากองสุมเท่าภูเขา ผู้คนไม่น้อยที่มุงดูกันคึกคักต่างตะโกนเชียร์เขา ชายหนุ่มคนนี้คือหานซานเฉียน ข้างกายของเขาคือหลินหย่งที่เหงื่อแตกพลั่ก หากยังเล่นชนะในลักษณะนี้ต่อไป พวกเขาจะตกเป็นเป้าสายตาในบ่อนอย่างแน่นอน ถ้าเกิดหานซานเฉียนถูกคนจับไต๋ได้ว่าโกง ชีวิตของพวกเขาจะต้องจบลงที่นี่แน่ หลินหย่งไม่รู้ว่าหานซานเฉียนไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้มาบ่อนแค่พวกเขาสองคนโดยไม่พาลูกน้องมาด้วย หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วยได้ ขณะนั้นเองเจ้าหน้าที่ดูกล้องวงจ
“ฉางปิน แกทำอย่างนี้ได้ยังไง” ม่อหยางมองฉางปินด้วยดวงตาแดงก่ำ และพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะฝังแกในหลุมศพแน่” ฉางปินไม่กลัวคำขู่ของม่อหยางเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ไอ้สวะอย่างแกจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ในสายตาของฉัน แกก็เหมือนมดตัวหนึ่งเท่านั้น ฉันจะบี้แกให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แกไม่ต้องกังวลไป ฉันยังเล่นสนุกไม่พอ ให้แกตายตอนนี้มันง่ายเกินไป” หลังจากนั้นฉางปินก็ออกจากห้องทำงานไป ม่อหยางถูกคนของเขากระหน่ำตีอีกชุดใหญ่ หานซานเฉียนได้รับเชิญเข้ามาในห้องวีไอพี ไม่นานฉางปินก็ปรากฏตัวขึ้น พอฉางปินเห็นหลินหย่งก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ฉันก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่หย่งนี่เอง ให้เกียรติมาเยือนถึงถิ่น ทำไมถึงมีเวลาว่างมาผ่อนคลายในพื้นที่เล็ก ๆ ของฉันได้ล่ะ” หลินหย่งไม่กล้าพูดอะไร เพราะที่นี่คือถิ่นของฉางปิน ถ้าเกิดไปยั่วโมโหฉางปินเข้า ตายที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ หานซานเฉียนคาดหวังในตัวหลินหย่งสูงมาก แต่การแสดงออกของเขาน่าผิดหวังจริง ๆ ท่าทางแบบนี้จะทำการใหญ่สำเร็จได้อย่างไร? “แล้วคุณล่ะเป็นใคร นั่งอยู่หน้าพี่หย่ง ภูมิหลังคงไม่ธรรมดาสินะ” ฉางปินมองไปที่หานซานเฉียนและถามขึ้น “ห