สีหน้าของคุณย่าเริ่มแข็งทื่อ เรื่องใหญ่แบบนี้ควรจะจบเรื่องราวอย่างไรดีนะ? ถ้าเธอไม่มีคำอธิบายให้ซูหยิงเซี่ย ก็เห็นชัดเจนว่าเธอลำเอียง แต่ถ้าจะให้ขับไล่ซูไห่เฉาออกจากตระกูลซู เธอก็ทำไม่ลง แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะนำผลประโยชน์มากมายมาสู่ตระกูลซู แต่ในสายตาของคุณย่า เธอก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่าซูไห่เฉาอยู่ดี อีกอย่างในอนาคตของตระกูลซูก็มีเพียง ซูไห่เฉาเท่านั้นที่สามารถสืบทอดตระกูลได้ “พี่หย่ง นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา ฉันซาบซึ้งมากที่คุณให้ความช่วยเหลือ คุณต้องการเงินเท่าไหร่ก็เอ่ยขอได้เต็มที่” คุณย่าบอกกับหลินหย่ง การมาเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาของหลินหย่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เรื่องนี้เป็นคำสั่งของหานซานเฉียน เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น “ในเมื่อคุณย่าตรงไปตรงมาแบบนี้ ผมหลินหย่งก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ท่านจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยมาหาท่านอีกครั้งก็แล้วกัน” พูดจบหลินหย่งก็พาเฉิงกังออกไปจากบริษัท ห้องประชุมเงียบสงัด ซูไห่เฉาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณย่า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ญาติคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบ อย่างไรก็ตาม ซูหยิงเซี่ยเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ในอนาคต
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง หานซานเฉียนปรากฏตัวขึ้นที่ร้านขายของเล็ก ๆ แต่ร้านยังไม่เปิด นั่นทำให้เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี หรือว่าในบ้านจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า? ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมอยู่ ๆ ถึงปิดประตูเงียบแบบนี้ล่ะหลังจากรับซูหยิงเซี่ยแล้ว เขาเห็นแก้มของเธอป่องอย่างกับปลาทอง ชัดเจนว่ากำลังงอนอยู่ เขาจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอะไรไป? ปัญหาก็จัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณย่าไม่ชมเชยคุณ?”ซูหยิงเซี่ยทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วบอกว่า “วันนี้หลินหย่งพาเฉิงกังมาที่นี่เพื่อเปิดโปงทุกอย่างที่ซูไห่เฉาทำ แต่คุณย่าแค่ขอให้ซูไห่เฉากลับบ้านไปพิจารณาตัวเองเท่านั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานซานเฉียนก็ยิ้มเยาะออกมาในสายตาของเขา แม้ว่าคุณย่าจะเข้าข้างซูไห่เฉา แต่เขาก็ต้องถูกลดตำแหน่งลงให้คนอื่น ๆ ได้เห็นบ้าง แต่เธอกลับใช้คำว่าพิจารณาตัวเองกับเรื่องนี้ มันออกจะน่าขันไปหน่อยยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าไม่ใช่แค่เข้าข้างซูไห่เฉาเฉย ๆ เธอยังไม่เห็นซูหยิงเซี่ยอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของซูหยิงเซี่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยไม่สนใจซูหยิงเซี่ย โดยไม่กลัวเลยว่าเธอจะแตกหักกับตระกูลซู?
หานซานเฉียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ถ้าคุณมีธุระก็ไปเถอะ แต่ว่า...” คำพูดของซูหยิงเซี่ยหยุดลงกลางคัน “แต่ว่าอะไร?” หานซานเฉียนถามอย่างแปลกใจ “ไม่มีอะไร” ซูหยิงเซี่ยรีบกลับไปที่ห้อง เธออยากจะบอกว่าห้ามเขาไปหาผู้หญิง แต่คำพูดแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลก แม้ว่าทั้งสองจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ การเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของหานซานเฉียนจนเกินไป ซูหยิงเซี่ยยังรู้สึกไม่คุ้นชิน ซูหยิงเซี่ยนั่งลงที่หัวเตียงพลางยกหมอนขึ้น มีกรรไกรเล่มหนึ่งอยู่ข้างใต้ มันถูกวางไว้ตรงนี้เมื่อสามปีก่อน ในปีแรก ซูหยิงเซี่ยจับกรรไกรไว้ทุกคืนจนผล็อยหลับไป จนต่อมาเธอค่อย ๆ ผ่อนคลายการระมัดระวังตัวลง และตอนนี้เธอรู้สึกว่าถึงเวลาต้องเก็บกรรไกรแล้ว “ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณข่มใจตัวเองได้ยังไง เมื่ออยู่กับสาวสวยอย่างฉัน” ซูหยิงเซี่ยพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกตแก้มที่แดงระเรื่อของตัวเอง ก่อนจะเอากรรไกรเก็บเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่หน้ากระจก มองดูรูปร่างและใบหน้าอันละเอียดอ่อนไร้จุดบกพร่องของตัวเอง เขาไม่ใจเต้นเลยงั้นเหรอ? “เฮ้อ นี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย” ซูหยิงเซี่ยห
สปาหลงเหมิน ติดธงสัญลักษณ์นวดผ่อนคลายและแช่เท้า ในความเป็นจริงสปาหลงเหมินนั้นเป็นแค่ป้ายที่แขวนไว้บังหน้าเท่านั้น คนที่รู้เรื่องดีจะเรียกที่นี่ว่าบ่อนใต้ดินหลงเหมิน ที่ชั้นหนึ่งของสปามีบ่อนการพนันที่มีพื้นที่กว้างขวาง นักพนันทั่วทุกสารทิศจมปลักอยู่ที่นี่จนถอนตัวไม่ขึ้น บางคนหน้าตาซีดเซียว บางคนหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทแรก เพราะถึงอย่างไรการพนันก็มีเสียมากกว่าได้ ความเป็นไปได้ที่จะชนะในบ่อนไม่สูงไปกว่าการซื้อหวยสักเท่าไหร่ เวลานี้หน้าโต๊ะพนันบาคาร่ามีเสียงผู้คนดังเอะอะ ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่นชนะสิบตาติดต่อกัน ชิปตรงหน้าเขากองสุมเท่าภูเขา ผู้คนไม่น้อยที่มุงดูกันคึกคักต่างตะโกนเชียร์เขา ชายหนุ่มคนนี้คือหานซานเฉียน ข้างกายของเขาคือหลินหย่งที่เหงื่อแตกพลั่ก หากยังเล่นชนะในลักษณะนี้ต่อไป พวกเขาจะตกเป็นเป้าสายตาในบ่อนอย่างแน่นอน ถ้าเกิดหานซานเฉียนถูกคนจับไต๋ได้ว่าโกง ชีวิตของพวกเขาจะต้องจบลงที่นี่แน่ หลินหย่งไม่รู้ว่าหานซานเฉียนไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้มาบ่อนแค่พวกเขาสองคนโดยไม่พาลูกน้องมาด้วย หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วยได้ ขณะนั้นเองเจ้าหน้าที่ดูกล้องวงจ
“ฉางปิน แกทำอย่างนี้ได้ยังไง” ม่อหยางมองฉางปินด้วยดวงตาแดงก่ำ และพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะฝังแกในหลุมศพแน่” ฉางปินไม่กลัวคำขู่ของม่อหยางเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ไอ้สวะอย่างแกจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ในสายตาของฉัน แกก็เหมือนมดตัวหนึ่งเท่านั้น ฉันจะบี้แกให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แกไม่ต้องกังวลไป ฉันยังเล่นสนุกไม่พอ ให้แกตายตอนนี้มันง่ายเกินไป” หลังจากนั้นฉางปินก็ออกจากห้องทำงานไป ม่อหยางถูกคนของเขากระหน่ำตีอีกชุดใหญ่ หานซานเฉียนได้รับเชิญเข้ามาในห้องวีไอพี ไม่นานฉางปินก็ปรากฏตัวขึ้น พอฉางปินเห็นหลินหย่งก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ฉันก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่หย่งนี่เอง ให้เกียรติมาเยือนถึงถิ่น ทำไมถึงมีเวลาว่างมาผ่อนคลายในพื้นที่เล็ก ๆ ของฉันได้ล่ะ” หลินหย่งไม่กล้าพูดอะไร เพราะที่นี่คือถิ่นของฉางปิน ถ้าเกิดไปยั่วโมโหฉางปินเข้า ตายที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ หานซานเฉียนคาดหวังในตัวหลินหย่งสูงมาก แต่การแสดงออกของเขาน่าผิดหวังจริง ๆ ท่าทางแบบนี้จะทำการใหญ่สำเร็จได้อย่างไร? “แล้วคุณล่ะเป็นใคร นั่งอยู่หน้าพี่หย่ง ภูมิหลังคงไม่ธรรมดาสินะ” ฉางปินมองไปที่หานซานเฉียนและถามขึ้น “ห
ฉางปินไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่หลินหย่งเห็นมันจัง ๆ เขาตกใจอึ้งตัวแข็งทื่อไปแล้วลูกสมุนของฉางปิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าหานซานเฉียนก็เหมือนกับกระดาษ พวกมันไม่มีพลังในการต่อสู้เลย แถมยังถูกหานซานเฉียนล้มลงได้อย่างง่ายดายนี่เขา...ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?“ฉันอนุญาตให้แกไปได้แล้วเหรอ?” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกดังผ่านหูฉางปินเข้ามาฉางปินเริ่มมีสีหน้าหวาดกลัว เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นหานซานเฉียน เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ“หานซานเฉียน นี่แกจะทำอะไร ถ้าแกมีเรื่องกับฉัน ตระกูลซูได้จบเห่แน่ โดยเฉพาะแกยิ่งไม่ต้องพูดถึง” ฉางปินพูด“พาฉันไปหาม่อหยางเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแกซะ” หานซานเฉียนพูดเสียงเย็น“แกกล้าเหรอ!”มือของหานซานเฉียนค่อย ๆ เพิ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฉางปินรู้สึกว่าการหายใจของเขาเริ่มยากขึ้น ในที่สุดความหวาดหวั่นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา“แก...แกปล่อยฉันก่อนสิ ฉันจะพาไปเอง!” ฉางปินพูด“ไป”กลุ่มคนสามคนออกมาจากห้องวีไอพี เมื่อลูกน้องของฉางปินเห็นฉากนี้ก็ล้อมเข้ามาทีละคน“หานซานเฉียน แกกำลังรนหาที่ตาย ฉันจะไม่มีวันปล่อยแกไปแน่ และทุกคนในตระกูลซูจะต้องจะต้องติดร่างแหไปกับแกด
“ฉางปินฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย ภรรยาของฉันอยู่ที่ไหน?” ม่อหยางถามอย่างเยือกเย็น ใบหน้าเปื้อนเลือดทำให้เขาดูเหมือนปีศาจฉางปินยังคงดูเหมือนคนรนหาที่ตาย เพราะเขาคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นม่อหยางหรือหานซานเฉียน ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาอย่างแน่นอน“ฉันยังพูดไม่ชัดอีกเหรอว่าเธอตายแล้ว เธอตายตั้งแต่แกถูกจับมาที่นี่แล้ว” ฉางปินพูดม่อหยางไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังสงบลงอย่างผิดปกติ แต่หานซานเฉียนรู้สึกได้ว่าม่อหยางในตอนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยอารณ์อาฆาต“โทรเรียกลูกน้องของนายมาซะ มีกี่คนเรียกมาให้หมด” หานซานเฉียนบอกกับหลินหย่ง ถ้าหากม่อหยางฆ่าฉางปินที่นี่จริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาสามคนจะออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บหลินหย่งหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความตื่นตระหนกและกดหมายเลขโทรออกหาลูกน้องของเขาทันที“ถ้าเธอตายแล้ว งั้นแกก็ไปอยู่ที่ยมโลกกับเธอด้วยแล้วกัน เพราะเธอกลัวความมืด” ม่อหยางพูดฉางปินมองม่อหยางอย่างดูถูกและพูดว่า “แกกล้าฆ่าฉันจริง ๆ เหรอ? แกรู้ไหมว่าถ้าฉันตายจะทำให้เกิดผลกระทบลูกโซ่ขนาดใหญ่แค่ไหน? เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ใช่เพียงแค่แกคนเดียว แต่เป็นพวกแกทั้งสามคนๅ และคนตระกูลซูทั
ขณะเดียวกันที่บ้านหยิงเซี่ยหลังจากหานซานเฉียนออกไป ซูหยิงเซี่ยก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ซูหยิงเซี่ยที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีท่าทีว่าจะหลับเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาแทบจะทุกวินาที จนตอนนี้ใกล้จะห้าทุ่มแล้วโดยปกติเวลานี้ซูหยิงเซี่ยจะนอนหลับไปแล้ว เพราะเธอต้องออกไปวิ่งในตอนเช้า แต่วันนี้เธอไม่สามารถหลับตาลงได้เลยตอนนั้นเอง ซูหยิงเซี่ยก็ตระหนักได้ว่าหานซานเฉียนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเธอไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะนอนบนพื้นข้างเตียง แต่เขาสำคัญในหัวใจของเธอซูหยิงเซี่ยอยากโทรหาหานซานเฉียน และถามเขาว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่ แต่ก่อนที่เขาจะออกไป เขาได้บอกอย่างชัดเจนว่าเขามีธุระที่ต้องทำ เธอจึงไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป เวลาผ่านไปหนึ่งคืนโดยที่ซูหยิงเซี่ยยังไม่ได้นอน ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว เธอได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา จึงรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็วและแกล้งทำเป็นหลับหานซานเฉียนไม่คิดว่าเมื่อคืนจะเสียเวลานานขนาดนี้ เขาเขย่งเท้าเข้าไปในห้อง และพบว่าซูหยิงเซี่ยยังหลับอยู่ เขาจึงรู้สึกโล่งใจแต่เมื่อเขาเห็นขนตาของซูหยิงเซี่ยสั่นเล็กน้อยและถุงใต้ตาของเธอก็บวมเป่ง ใต้ตาของเธอ