ขณะเดียวกันที่บ้านหยิงเซี่ยหลังจากหานซานเฉียนออกไป ซูหยิงเซี่ยก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ซูหยิงเซี่ยที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีท่าทีว่าจะหลับเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาแทบจะทุกวินาที จนตอนนี้ใกล้จะห้าทุ่มแล้วโดยปกติเวลานี้ซูหยิงเซี่ยจะนอนหลับไปแล้ว เพราะเธอต้องออกไปวิ่งในตอนเช้า แต่วันนี้เธอไม่สามารถหลับตาลงได้เลยตอนนั้นเอง ซูหยิงเซี่ยก็ตระหนักได้ว่าหานซานเฉียนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเธอไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะนอนบนพื้นข้างเตียง แต่เขาสำคัญในหัวใจของเธอซูหยิงเซี่ยอยากโทรหาหานซานเฉียน และถามเขาว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่ แต่ก่อนที่เขาจะออกไป เขาได้บอกอย่างชัดเจนว่าเขามีธุระที่ต้องทำ เธอจึงไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป เวลาผ่านไปหนึ่งคืนโดยที่ซูหยิงเซี่ยยังไม่ได้นอน ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว เธอได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา จึงรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็วและแกล้งทำเป็นหลับหานซานเฉียนไม่คิดว่าเมื่อคืนจะเสียเวลานานขนาดนี้ เขาเขย่งเท้าเข้าไปในห้อง และพบว่าซูหยิงเซี่ยยังหลับอยู่ เขาจึงรู้สึกโล่งใจแต่เมื่อเขาเห็นขนตาของซูหยิงเซี่ยสั่นเล็กน้อยและถุงใต้ตาของเธอก็บวมเป่ง ใต้ตาของเธอ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หานซานเฉียนก็ไปส่งซูหยิงเซี่ยที่บริษัท ร้านขายของก็เปิดตามปกติแล้ว แถมมีลูกค้าเข้าออกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และดูไม่เหมือนคนทั่วไปเลยด้วย“นายจะเอายังไงต่อ?” หานซานเฉียนถามม่อหยาง“ฉางปินตายแล้ว ความยุ่งเหยิงที่มันทิ้งไว้เบื้องหลังต้องมีใครสักคนมาทำความสะอาดไม่ใช่รึไง” ม่อหยางพูดหานซานเฉียนพยักหน้า ดูเหมือนว่าม่อหยางพร้อมที่จะกลับเข้าสู่วงการนักเลงมาเฟียแล้ว นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะหลินหย่งไม่สามารถทำงานที่สำคัญได้ ในใจของหานซานเฉียนไม่ได้ให้หลินหย่งเป็นเป้าหมายของการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป “ถ้าหากนายต้องการอะไรก็พูดมาได้เลย” หานซานเฉียนกล่าวม่อหยางหัวเราะออกมาและพูดว่า “ฉางปินตายแล้ว แต่หยุนเฉิงก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ความช่วยเหลือนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว นายต่างหาก ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาได้เลย”“คำนี้ฉันจำขึ้นใจแล้วนะ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ” หานซานเฉียนพูดยิ้ม ๆม่อหยางหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนแล้วยื่นให้หานซานเฉียนและถามว่า “นายนิ่งเฉยมาสามปีแล้ว กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”หานซานเฉียนโบกมือและพูดว่า “ฉันยังมีงานรออยู่ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”ม่อหยาง
“แม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี คงไม่ใช่ให้ผมชดใช้หรอกใช่ไหม?” เจี่ยงเฉิงพูดด้วยอาการอกสั่นขวัญหายหลิวฮวามองไปที่หานซานเฉียน เธอปล่อยให้ลูกชายของเธอเป็นคนรับผิดชอบไม่ได้ อย่างไรซะหานซานเฉียนก็ถูกตระกูลซูดูถูกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ให้เขาเป็นแพะรับบาปคงไม่มีปัญหาอะไร“ผมยังต้องไปรับหยิงเซี่ยกลับจากที่ทำงาน พวกคุณขึ้นไปข้างบนกันเองก็แล้วกัน” หานซานเฉียนพูดเจี่ยงเฟิงกวางรู้สึกโกรธมาก นี่เป็นมารยาทในการรับแขกอย่างนั้นเหรอ? เขากำลังจะพูด แต่ก็ถูกหลิวฮวาแทรกขึ้นซะก่อน “นายรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา”เจี่ยงเฟิงกวางมองหลิวฮวาอย่างสงสัย ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงเปลี่ยนไป พวกเราเป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้าน จะทิ้งพวกเราไว้ข้างล่างแบบนี้ได้ยังไง“หลิวฮวา คุณกำลังทำอะไรน่ะ ทำไมถึงไม่ให้เจ้าคนไร้ค่านั่นพาพวกเราขึ้นไปข้างบน?” หลังจากที่หานซานเฉียนขับรถออกไป เจี่ยงเฟิงกวางก็รีบถามหลิวฮวาทันที“ถ้าเขาไม่ไป พวกเราจะโยนความผิดให้เขาได้ยังไงล่ะ?” หลิวฮวาพูดพลางหัวเราะ “อีกเดี๋ยวพอขึ้นไปข้างบนแล้ว พวกคุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันจะเป็นคนพูดเอง”เมื่อทั้งสามคนเดินขึ้นไปข้างบน เจี่ยงหลานก็ได้รอต้อนรับพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว“พี่ชา
หลังจากที่ซูหยิงเซี่ยเลิกงาน เธอเห็นรถมีร่องรอยของการชน แต่เธอก็ไม่ได้ต่อว่าหานซานเฉียน เธอเพียงแค่พูดว่า “ทำไมคุณถึงไม่ระวังขนาดนี้?”“วันนี้ไปรับคุณลุงที่สถานีรถไฟ พอเจี่ยงเฉิงเห็น เขาก็อยากขับน่ะ เขาไม่ทันได้ระวังก็เลยไปเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” หานซานเฉียนพูด“เจี่ยงเฉิง?” ซูหยิงเซี่ยขมวดคิ้วทันที เธอเกลียดเจี่ยงเฉิงมาก อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เอาแต่เอ้อระเหยลอยชายไม่ยอมทำมาหากิน และก็เอาแต่เรียนรู้การโอ้อวดจากเจี่ยงเฟิงกวาง แล้วยังขับรถคนอื่นไปชนแบบนี้อีก“ถ้าแม่ฉันรู้เรื่องนี้ ฉันจะดูสิว่าเจี่ยงเฉิงเขาจะทำยังไง” ซูหยิงเซี่ยพูดเมื่อขับถมาถึงบ้าน เจี่ยงหลาน ซูกั๋วเย่า และยังมีครอบครัวของเจี่ยงเฟิงกวางยืนรออยู่ที่ข้างล่าง ในสถานการณ์เช่นนี้ หานซานเฉียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาคงไม่ได้มารอซูหยิงเซี่ยหรอกใช่ไหม?หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว เจี่ยงหลานและซูกั๋วเย่า ทั้งคู่ต่างรีบพากันมาดูที่ด้านหน้ารถด้วยความตึงเครียด พวเขารู้สึกเจ็บปวดใจเพราะว่ามันเป็นรถคันใหม่“หานซานเฉียนเอากุญแจรถมาให้ฉัน” เจี่ยงหลานเดินไปหาหานซานเฉียนและพูดอย่างเย็นชาหานซานเฉียนรู้สึกมึนงง แต่เขาก็ยอมส่งกุญแจรถให้
เมื่อถึงห้องทานอาหารแบบห้องเดี่ยวพิเศษ พวกเขาได้ดื่มไวน์กันจำนวนหนึ่ง อาศัยช่วงที่ซูกั๋วเย่ากับเจี่ยงหลานทั้งสองคนมึนงงสติเลอะเลือน หลิวฮวาก็ได้เตือนสติเจี่ยงเฟิงกวางให้พูดในสิ่งที่เตรียมการกันมา “เจี่ยงหลาน พี่มีเรื่องอยากจะขอร้องให้เธอช่วยหน่อย”เจี่ยงหลานโบกมือไปมาและพูดด้วยอารมรณ์ที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “พี่มีอะไรก็พูดมาได้เลย ถ้าฉันช่วยได้ ฉันก็จะช่วยพี่อย่างแน่นอน”“ช่วงนี้พี่ค่อนข้างร้อนเงินและลำบากนิดหน่อย หยิงเซี่ยตอนนี้ก็กำลังประสบความสำเร็จ พี่เลยคิดว่าจะมาขอยืมเงินนิดหน่อย” เจี่ยงเฟิงกวางพูดหลิวฮวารีบสมทบทันที “ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้วจริง ๆ พวกเราก็คงไม่เอ่ยปากแบบนี้ เจี่ยงหลาน ตอนนี้เธอร่ำรวยแล้วคงไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยพวกเราหรอกนะ”เมื่อเจี่ยงหลานได้ยินเรื่องขอยืมเงิน สติของเธอก็กลับมาทันที เธอรู้ดีว่าเจี่ยงเฟิงกวางเป็นคนอย่างไร ถ้าหากว่าให้ยืมเงินนี้ไปแล้วล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์จะไม่มีทางได้คืน“พี่จะยืมเงินเท่าไหร่ล่ะ?” เจี่ยงหลานถามเจี่ยงเฟิงกวางชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว เจี่ยงหลานพูดว่า “สองพันหยวน?”“เจี่ยงหลาน เธอหมายความว่ายังไง ถ้าแค่สองพันห
ทุกคนเห็นเจี่ยงเฉิงมีสภาพใบหน้าบวมช้ำหลังจากทะเลาะวิวาทและโดนคนโยนเข้ามาในห้องอาหาร คนข้างหลังที่ดูท่าทางแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ก็เดินตามเข้ามาหลิวฮวาเป็นคนที่ชอบให้ท้ายลูกของตัวเอง เมื่อเห็นลูกชายถูกทุบตีแบบนั้น เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูในทันที“เจี่ยงเฉิง เป็นอย่างไรบ้างลูก ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลิวฮวาถามด้วยความเป็นห่วงเจี่ยงเฉิงตกใจกลัวมากน้ำหูน้ำตาไหล และร้องไห้ราวกับเป็นผู้หญิง“พวกแกเป็นใคร มาทำร้ายลูกฉันทำไม” หลิวฮวาตะโกนขึ้นเสียงดังชายร่างอ้วนพุงพลุ้ยที่สวมสร้อยคอทองคำเดินเข้ามา “จะตะโกนทำไม ยัยผู้หญิงโง่ผู้ให้กำเนิดลูกชายโง่ แม้แต่ผู้หญิงของฉันก็ยังกล้ามาลวนลาม โดนอัดไปหนึ่งทีมันจะเป็นอะไรไป?”เจี่ยงเฉิงที่เพิ่งเข้าห้องน้ำเสร็จ เขาได้พบกับผู้หญิงที่สวมชุดเซ็กซี่ จึงได้เผลอแซวลวนลามไปไม่กี่คำ โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงของใคร ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก เขาก็ถูกอัดจนน่วมทันทีเจี่ยงเฉิงกลัวมากจนร้องไห้ออกมาในที่ตรงนั้น และคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา แม้ว่าเขาจะอ้างชื่อของตระกูลซูก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมให้อภัยเขาเมื่อได้ยินคำพูดของชายอ้วน หลิวฮวาก็พูดอย่างไม่กลัว
“ฝันไปเถอะ” สีหน้าของซูหยิงเซี่ยเปลี่ยนไปมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เธอไม่เกี่ยวข้องด้วย ชายร่างอ้วนก็ยังสามารถลากเธอเข้าไปเกี่ยวจนได้ชายร่างอ้วนยิ้มพลางใช้สายตาแทะโลมมองไปที่ซูหยิงเซี่ย พร้อมกับส่งเสียงอุทานเบา ๆ ว่า “รูปร่างของเธอใช้ได้ทีเดียว ไม่รู้ว่าหลังจากถอดเสื้อผ้าออกแล้วจะเป็นไง คนสวย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเธอจะพูดอะไรก็ได้ ฉันขอแนะนำว่าให้เป็นเด็กดีและเชื่อฟังฉันจะดีกว่านะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ฉันชอบแล้วจะหนีไปได้”“อย่ายุ่งกับเธอนะ เธอเป็นหลานสาวของตระกูลซู และตระกูลซูจะไม่ปล่อยคุณไปแน่” เจี่ยงหลานจะไม่ยอมให้ซูหยิงเซี่ยถูกทำลายโดยชายร่างอ้วนคนนี้ เพราะถ้าคุณย่ารู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ อนาคตของซูหยิงเซี่ยก็จะดับลงไปเช่นกัน“ตระกูลซู?” ชายร่างอ้วนขมวดคิ้ว ทำไมถึงเอาแต่พูดถึงตระกูลซูอะไรนี่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลซูคือใคร จึงถามออกไปว่า “ตระกูลซูคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอ เก่งกาจขนาดนั้นเชียว?”“แม้แต่ตระกูลซูแกยังไม่รู้จัก แกอยู่ในเมืองหยุนเฉิงมาได้ไง เธอคนนี้คือซูหยิงเซี่ย” เจี่ยงเฟิงกวางพูดชายร่างอ้วนเตะเข้าไปที่ร่างของเจี่ยงเฟิงกวาง เขาพูดไปด่าไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนเวลา
เมื่อเจี่ยงหลานเห็นซูหยิงเซี่ยกดหมายเลขโทรศัพท์ของหานซานเฉียน เธอก็กระวนกระวายใจราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนและพูดว่า “หยิงเซี่ย ลูกจะโทรหาเขาให้เสียเวลาทำไม ถ้าหากไอ้อ้วนนั่นกลับมาเร็ว ๆ นี้ล่ะพวกเราจะทำยังไง”“แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะ ทุกคนก็ควรจะเงียบด้วยเหมือนกัน” ซูหยิงเซี่ยขึ้นเสียงและพูดอย่างหมดความอดทนหลิวฮวาจ้องมองไปที่ซูหยิงเซี่ย เด็กผู้หญิงคนนี้มีอารมณ์โกรธที่รุนแรงจริง ๆ แต่เมื่อคิดถึงชายอ้วนที่ต้องการให้ซูหยิงเซี่ยอยู่กับเขาทั้งคืน เพื่อแลกกับการปล่อยเจี่ยงเฉิง เธอก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรราวกับว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหลังจากที่หานซานเฉียนรับสาย เธอรีบถามทันทีว่า “ซานเฉียน คุณอยู่ที่ไหน?”หานซานเฉียนที่เพิ่งทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปได้หนึ่งคำก็พูดตอบกลับมา “ผมอยู่ที่บ้าน”“คุณ...ฉันกำลังมีปัญหา คุณมาช่วยฉันหน่อยได้หรือเปล่า” ซูหยิงเซี่ยพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด เนื่องจากไม่ได้พาเขามาทานข้าวข้างนอกด้วยกัน พอเวลามีปัญหาก็นึกถึงเขาทันที เป็นเพราะเจี่ยงหลานคนเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอ ก็คงไม่ต้องทิ้งหานซานเฉียนไว้ที่บ้านเพียงลำพังแบบนี้“ได้ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” หานซานเฉียนพูดอย่างไม