ทุกคนเห็นเจี่ยงเฉิงมีสภาพใบหน้าบวมช้ำหลังจากทะเลาะวิวาทและโดนคนโยนเข้ามาในห้องอาหาร คนข้างหลังที่ดูท่าทางแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ก็เดินตามเข้ามาหลิวฮวาเป็นคนที่ชอบให้ท้ายลูกของตัวเอง เมื่อเห็นลูกชายถูกทุบตีแบบนั้น เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูในทันที“เจี่ยงเฉิง เป็นอย่างไรบ้างลูก ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลิวฮวาถามด้วยความเป็นห่วงเจี่ยงเฉิงตกใจกลัวมากน้ำหูน้ำตาไหล และร้องไห้ราวกับเป็นผู้หญิง“พวกแกเป็นใคร มาทำร้ายลูกฉันทำไม” หลิวฮวาตะโกนขึ้นเสียงดังชายร่างอ้วนพุงพลุ้ยที่สวมสร้อยคอทองคำเดินเข้ามา “จะตะโกนทำไม ยัยผู้หญิงโง่ผู้ให้กำเนิดลูกชายโง่ แม้แต่ผู้หญิงของฉันก็ยังกล้ามาลวนลาม โดนอัดไปหนึ่งทีมันจะเป็นอะไรไป?”เจี่ยงเฉิงที่เพิ่งเข้าห้องน้ำเสร็จ เขาได้พบกับผู้หญิงที่สวมชุดเซ็กซี่ จึงได้เผลอแซวลวนลามไปไม่กี่คำ โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงของใคร ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก เขาก็ถูกอัดจนน่วมทันทีเจี่ยงเฉิงกลัวมากจนร้องไห้ออกมาในที่ตรงนั้น และคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา แม้ว่าเขาจะอ้างชื่อของตระกูลซูก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมให้อภัยเขาเมื่อได้ยินคำพูดของชายอ้วน หลิวฮวาก็พูดอย่างไม่กลัว
“ฝันไปเถอะ” สีหน้าของซูหยิงเซี่ยเปลี่ยนไปมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เธอไม่เกี่ยวข้องด้วย ชายร่างอ้วนก็ยังสามารถลากเธอเข้าไปเกี่ยวจนได้ชายร่างอ้วนยิ้มพลางใช้สายตาแทะโลมมองไปที่ซูหยิงเซี่ย พร้อมกับส่งเสียงอุทานเบา ๆ ว่า “รูปร่างของเธอใช้ได้ทีเดียว ไม่รู้ว่าหลังจากถอดเสื้อผ้าออกแล้วจะเป็นไง คนสวย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเธอจะพูดอะไรก็ได้ ฉันขอแนะนำว่าให้เป็นเด็กดีและเชื่อฟังฉันจะดีกว่านะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ฉันชอบแล้วจะหนีไปได้”“อย่ายุ่งกับเธอนะ เธอเป็นหลานสาวของตระกูลซู และตระกูลซูจะไม่ปล่อยคุณไปแน่” เจี่ยงหลานจะไม่ยอมให้ซูหยิงเซี่ยถูกทำลายโดยชายร่างอ้วนคนนี้ เพราะถ้าคุณย่ารู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ อนาคตของซูหยิงเซี่ยก็จะดับลงไปเช่นกัน“ตระกูลซู?” ชายร่างอ้วนขมวดคิ้ว ทำไมถึงเอาแต่พูดถึงตระกูลซูอะไรนี่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลซูคือใคร จึงถามออกไปว่า “ตระกูลซูคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอ เก่งกาจขนาดนั้นเชียว?”“แม้แต่ตระกูลซูแกยังไม่รู้จัก แกอยู่ในเมืองหยุนเฉิงมาได้ไง เธอคนนี้คือซูหยิงเซี่ย” เจี่ยงเฟิงกวางพูดชายร่างอ้วนเตะเข้าไปที่ร่างของเจี่ยงเฟิงกวาง เขาพูดไปด่าไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนเวลา
เมื่อเจี่ยงหลานเห็นซูหยิงเซี่ยกดหมายเลขโทรศัพท์ของหานซานเฉียน เธอก็กระวนกระวายใจราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนและพูดว่า “หยิงเซี่ย ลูกจะโทรหาเขาให้เสียเวลาทำไม ถ้าหากไอ้อ้วนนั่นกลับมาเร็ว ๆ นี้ล่ะพวกเราจะทำยังไง”“แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะ ทุกคนก็ควรจะเงียบด้วยเหมือนกัน” ซูหยิงเซี่ยขึ้นเสียงและพูดอย่างหมดความอดทนหลิวฮวาจ้องมองไปที่ซูหยิงเซี่ย เด็กผู้หญิงคนนี้มีอารมณ์โกรธที่รุนแรงจริง ๆ แต่เมื่อคิดถึงชายอ้วนที่ต้องการให้ซูหยิงเซี่ยอยู่กับเขาทั้งคืน เพื่อแลกกับการปล่อยเจี่ยงเฉิง เธอก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรราวกับว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหลังจากที่หานซานเฉียนรับสาย เธอรีบถามทันทีว่า “ซานเฉียน คุณอยู่ที่ไหน?”หานซานเฉียนที่เพิ่งทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปได้หนึ่งคำก็พูดตอบกลับมา “ผมอยู่ที่บ้าน”“คุณ...ฉันกำลังมีปัญหา คุณมาช่วยฉันหน่อยได้หรือเปล่า” ซูหยิงเซี่ยพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด เนื่องจากไม่ได้พาเขามาทานข้าวข้างนอกด้วยกัน พอเวลามีปัญหาก็นึกถึงเขาทันที เป็นเพราะเจี่ยงหลานคนเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอ ก็คงไม่ต้องทิ้งหานซานเฉียนไว้ที่บ้านเพียงลำพังแบบนี้“ได้ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” หานซานเฉียนพูดอย่างไม
ชายร่างอ้วนเริ่มหายใจอย่างแผ่วเบาเหมือนคนใกล้ตาย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้ท่าทีของหลินหย่งที่มีต่อเขาดูเคารพน้อบน้อมอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าสถานะของเขาสูงกว่าหลินหย่งแน่ แต่น่าเสียดายที่สถานะของชายร่างอ้วนในตอนนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหานซานเฉียนผู้นี้เป็นใครและแน่นอนว่า เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ คือลูกเขยที่ไร้ค่าของตระกูลซูผู้โด่งดังในเมืองหยุนเฉิงที่ห้องอาหารอีกห้องหนึ่ง เจี่ยงหลานกำลังวิตกกังวลใจเมื่อไม่เห็นว่าหานซานเฉียนปรากฏตัวสักที“หยิงเซี่ย แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าหานซานเฉียนไว้ใจไม่ได้ แม้ว่ามันจะนั่งแท็กซี่มาแต่ก็ควรจะถึงที่นี่ได้แล้ว บางทีตอนนี้มันอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่บ้านไม่กล้าออกมาข้างนอกก็ได้ ทำไมลูกถึงกล้าที่จะเชื่อมันอยู่อีก?” เจี่ยงหลานพูด“เป็นเพราะเธอเชื่อใจไอ้เศษขยะนั่น พวกเราก็เลยต้องมาติดร่างแหไปด้วย” เจี่ยงเฉิงพูดออกมาอย่างไม่อายปาก ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ต้นเหตุเกิดมาจากเขา แต่ว่าตอนนี้เขากลับโยนความผิดไปที่ซูหยิงเซี่ยกับหานซานเฉียน“เจี่ยงหลาน เธอรีบคิดหาวิธ
ที่หน้าประตูโรงแรม คนสองกลุ่มต่างแยกย้ายกัน ก่อนที่หลิวฮวาจะจากไปเธอก็พูดขึ้นว่า “เจี่ยงหลาน ฉันจะพาเจี่ยงเฉิงไปโรงพยาบาลก่อน ส่วนเรื่องเงิน พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปหาเธออีกครั้งนะ”หลังจากนั้นทั้งสามสามก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เจี่ยงหลานได้พูดตอบ“เจี่ยงเฉิง ลูกไม่บาดเจ็บอะไรตรงไหนมากใช่ไหม ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พวกเราก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก เสียเงินเปล่า ๆ” หลังจากเดินออกมาได้สักพัก หลิวฮวาก็ถามเจี่ยงเฉินขึ้นทันทีแม้ว่าเจี่ยงเฉิงจะโดนทุบตีอย่างรุนแรง แต่ก็ได้รับบาดเจ็บแค่บริเวณผิวหนังเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร จะไปหรือไม่ไปโรงโรงพยาบาลเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาเป็นกังวลมากกว่า“พ่อครับ พรุ่งนี้ให้น้าเตรียมเงินให้เลยได้ไหมครับ พอได้เงินแล้วพวกเราก็จะได้รีบกลับกันเลย”“น้าลูกบอกเอาไว้แล้วไงว่าการถอนเงินมันต้องใช้เวลา ไม่ต้องห่วงไปหรอก ภายในวันสองวันนี้เราก็คงได้เงินแล้ว” เจี่ยงเฟิงกวางพูด“พ่อครับ พ่อคิดว่าไอ้อ้วนพวกนั้นมันจะหกล้มจริง ๆ เหรอ? ต้องเป็นหานซานเฉียนที่เรียกพวกนักเลงมาจัดการมันแน่ ๆ คืนนี้ไอ้อ้วนมันเสียเปรียบเพราะคนของมันไม่พอ พ่อคิด
เมื่อซูหยิงเซี่ยกลับมาที่ห้อง หานซานเฉียนเพิ่งจะทานบะหมี่เสร็จและกำลังจะออกไปทิ้งขยะ ก็พบซูหยิงเซี่ยยืนขวางทางอยู่“เดี๋ยวฉันเอาขยะไปทิ้งให้คุณเอง”หานซานเฉียนยังไม่ทันจะทำหรือตอบกลับอะไร ซูหยิงเซี่ยก็คว้าเอาไปแล้วเมื่อเขาเห็นซูหยิงเซี่ยมีท่าทีอึดอัดใจ หานซานเฉียนก็หัวเราะและถามว่า “คุณมีอะไรอยากจะบอกผมไหม?”ซูหยิงเซี่ยก้มหัวลงเล็กน้อย เงินสองแสนหยวนสำหรับแม่ของเธอนั้น เธอไม่สามารถเอาเงินจากในบริษัทมาได้ ญาติทุกคนในตระกูลซู รวมถึงคุณย่า ทุกคนต่างคิดว่าเธอยักยอกเงินในบริษัทมาซื้อรถคันใหม่ แต่เธอไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นอย่างแน่นอนดังนั้นตอนให้สัญญากับแม่ ซูหยิงเซี่ยก็คิดดีแล้วว่ามีเพียงวิธีเดียวคือขอยืมเงินหานซานเฉียน“คืนนี้คุณขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ ฉันอยากนอนพื้นข้างล่าง” ซูหยิงเซี่ยพูดหานซานเฉียนฝืนยิ้มมองไปที่ซูหยิงเซี่ยและพูดว่า “ถ้าคุณอยากจะพูดอะไร ก็พูดออกมาเถอะ”นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ซูหยิงเซี่ยเปิดปากคุยกับหานซานเฉียนเกี่ยวกับเรื่องเงิน เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไร ในลำคอของเธอเหมือนมีก้อนหินอุดเอาไว้อยู่“ต้องการเงินสองแสนหยวนใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยไ
ภายในห้องนั่งเล่น หานซานเฉียนนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเปลี่ยนหน้าเร็วจริง ๆ เมื่อครู่กำลังพูดถึงการนอนบนเตียงแท้ ๆ แล้วทำไมเขาต้องมาอาศัยโซฟาเพื่อความอยู่รอดแบบนี้ด้วยผู้หญิงคือเสือที่ดุร้ายจริง ๆ สินะวันรุ่งขึ้น หลังจากหานซานเฉียนพาซูหยิงเซี่ยไปส่งที่บริษัท เขาก็ไปที่ธนาคารรอคิวอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็ถึงหมายเลขของเขา แต่พนักงานกลับบอกว่าหากต้องการถอนเงินสดสองแสนหยวนจะต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อน พนักงานหญิงตรงเคาน์เตอร์มองบัตรเครดิตในมือของเขาและส่ายหัว เธอไม่รู้ว่าคนบ้านนอกคอกนาคนนี้มาจากไหน แม้แต่ระเบียบข้อบังคับขั้นต้นนี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง“บัตรเครดิตของผมไม่จำเป็นต้องนัดหมายไม่ใช่เหรอ?” หานซานเฉียนถามการที่หานซานเฉียนไม่ไปที่ห้อง VIP โดยตรง ก็ถือว่าเป็นการถ่อมตนมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าต้องมาโดนพนักงานดูถูกแบบนี้“บัตรเครดิตของคุณใบนี้มีสิทธิพิเศษอะไรเหรอคะ?” พนักงานหญิงหัวเราะออกมา เธอทำงานที่นี่มาจะครึ่งปีแล้วแต่ไม่เคยเห็นรูปแบบบัตรเครดิตที่อยู่ในมือของหานซานเฉียนมาก่อนเลย เธอถึงขั้นสงสัยด้วยซ้ำว่าหานซานเฉียนมาผิดธนาคารหรือเปล่า“ให้ประธานธนาคารของพว
หานซานเฉียนยังไม่ถึงบ้าน ซูหยิงเซี่ยก็โทรมาหาเพื่อบอกว่าครอบครัวของหลิวฮวามาถึงที่บ้านแล้ว เจี่ยงหลานเร่งให้ซูหยิงเซี่ยรีบหาวิธีเอาเงินกลับมาบ้านให้เร็วที่สุด“ผมถอนเงินเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน” หานซานเฉียนพูดในเรื่องนี้ซูหยิงเซี่ยเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องเมื่อวานที่ไปทานอาหารที่โรงแรมแต่ไม่ได้พาเขาไปด้วย ปล่อยให้เขาอยู่บ้านเพียงคนเดียวและต้องทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แถมยังรบกวนให้เขาไปที่โรงแรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้อีก“คืนนี้คุณไม่ต้องทำอาหารที่บ้านนะ” ซูหยิงเซี่ยพูดหานซานเฉียนหัวเราะและพูดออกมาว่า “ถ้าผมไม่ทำอาหาร แล้วพ่อกับแม่จะทานอะไรล่ะ?”“พวกเขาไม่มีมือทำเองเหรอ ปล่อยให้พวกเขาหากินกันเอาเองสิ” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างขุ่นเคือง“งั้นก็ได้”เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลิวฮวาเห็นกระเป๋าในมือของหานซานเฉียน เธอตัดสินเอาเองว่ามันคือกระเป๋าเงิน ก่อนที่หานซานเฉียนจะมอบมันให้กับเธอ เธอก็อดไม่ไหวที่จะคว้ามันมาเอง และแอบมองเงินในกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ ภายในมีธนบัตรสีแดงสวยสดงดงาม จากนั้นสีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ตื่นเต้น"ไปไหนมา ทำไมถึงได้ล่าช้าแบบนี้" หลิวฮวากล่าวโทษหานซ