ในคฤหาสน์ เจี่ยงหลานยังคงดื่มด่ำอยู่กับรสชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากของหมั้นที่เธอนำมา สำหรับเธอ ในสายตามีแต่เรื่องเงิน ในตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นใดอีกแล้ว “เอ๊ะ?” ทันใดนั้นเจี่ยงหลานก็เห็นปิ่นปักผมสีทองมีรอยขีดข่วนอยู่มากมาย เธอมีสีหน้าตกตะลึงในทันที พลางตะโกนบอกหานซานเฉียนว่า “หานซานเฉียน นายมาดูนี่เร็วสิ” หานซานเฉียนเดินเข้าไปหาเจี่ยงหลานด้วยความงุนงง แล้วถามว่า “มีอะไรเหรอครับ?” “ดูปิ่นปักผมนี่สิ มีคนจงใจถูมันจนเป็นรอยหรือเปล่า” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่พอใจ ดูเหมือนว่ารอยขีดข่วนนั้นเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ซูอี้หานน่าจะเป็นคนตั้งใจทำให้เกิดรอยขีดข่วนนี้ขึ้นมาแน่นอน “ดูจากสภาพแล้วน่าจะใช่นะครับ” หานซานเฉียนเอ่ย “ต้องเป็นฝีมือยัยนั่นแน่ ๆ ฉันจะไปคิดบัญชีกับเธอ” เจี่ยงหลานพูดอย่างโกรธเคือง “เรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นเลย ขอแค่น้ำหนักไม่ขาดไปก็พอแล้วครับ” หานซานเฉียนพูดอย่างเฉยเมย ด้วยนิสัยของเจี่ยงหลาน เธอจะต้องไปคิดบัญชีกับซูอี้หานอย่างแน่นอน ปิ่นปักผมดี ๆ ถูกทำลายอย่างมีเจตนาร้าย เธอจะยอมทนได้อย่างไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหานซานเฉียน ความ
คุกเข่าขอโทษอย่างนั้นเหรอ? เซี่ยอวี๋ฟู๋จะไม่คิดเรื่องนี้ได้อย่างไร เธออยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในความฝัน หานซานเฉียนทำลายแผนการของเธอ และยังทำให้เธอถูกเซี่ยจิ่นเหยียนด่าทอจนเกือบทำให้เธอยุติเรื่องราวไม่ได้เพราะไปล่วงเกินตาแก่ม่อหยางเข้า ความแค้นนี้ฝังอยู่ในใจของเซี่ยอวี๋ฟู๋ ถ้าไม่แก้แค้นก็จะอยู่ไม่เป็นสุข อันที่จริงหลิวฉีเป็นฝ่ายตามจีบเธอ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะขอให้สุนัขขี้ประจบคนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเธอ “หลิวฉี ถ้าคุณสามารถทำให้เขาคุกเข่าขอโทษฉันได้ ฉันจะยอมไปกินข้าวกับคุณ” เซี่ยอวี๋ฟู๋กล่าว หลิวฉีมีความสุขมากที่ได้ยินประโยคนี้ เมื่อเขาชวนเซี่ยอวี๋ฟู๋ไปกินข้าว เขากลับถูกปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการให้ทันที ไม่เพียงแค่ให้เขาคุกเข่าขอโทษคุณเท่านั้น แต่ผมยังทำให้เขาเห่าเหมือนสุนัขได้ด้วย” หลิวฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาคือหานซานเฉียน คุณน่าจะรู้ว่าเขาเป็นใครใช่ไหม” เซี่ยอวี๋ฟู๋กล่าว หานซานเฉียนอย่างนั้นเหรอ? เมื่อได้ยินชื่อนี้ หลิวฉีก็รู้สึกตกตะลึง นั่นไม่ใช่คนไร้ประโยชน์แห่งตระกูลซูหรอกหรือ?
“หลิวฉี ที่นี่คือพื้นที่ของม่อหยาง ถ้าเราก่อเรื่องที่นี่ มันจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาใช่ไหม?” ใครบางคนถามหลิวฉีอย่างเป็นกังวล หลิวฉีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดว่า “แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่พวกเราไม่ทำให้เรื่องใหญ่จนเกินไป ม่อหยางจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เหรอ ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลิวฉีจะปกป้องพวกคุณเอง” หลิวฉีจงใจแสร้งทำเป็นกล้าหาญต่อหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ แต่อันที่จริงแล้วเขาก็มีความกังวลอยู่บ้างเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ม่อหยางก็เป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพื้นที่สีเทาของเมืองหยุนเฉิง ถ้าก่อเรื่องในพื้นที่ของเขานั้นก็เท่ากับเป็นการสร้างปัญหาให้ม่อหยาง หากม่อหยางรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องมีจุดจบที่น่าสังเวชแน่นอน แต่เพื่อแลกกับรอยยิ้มของของเซี่ยอวี๋ฟู๋คนสวย หลิวฉีก็ยินดีเดิมพัน ขอเพียงแค่เขาจัดการกับหานซานเฉียนได้โดยที่ม่อหยางไม่รู้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉี คนอื่น ๆ ก็พากันรู้สึกโล่งใจ ยิ่งไปกว่านั้น การมีเรื่องกับบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จัก ก็คงไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่อะไร “อวี๋ฟู๋ คุณรอให้คนไร้ประโยชน์คนนั้นมาคุกเข่าขอโทษคุณเถอะ” หลิวฉีพ
เมื่อได้ยินคำพูดของหานซานเฉียน หลิวฉีก็รู้สึกกลัวจนผงะถอยหลังไปหลายก้าว เขาคิดไม่ถึงว่าหานซานเฉียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แม้แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าจะฝืนสู้ไป ก็ไม่พ้นถูกอัดจนเละเทะเท่านั้น อันที่จริงแล้วเขาต้องการโชว์ต่อหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ แต่หลิวฉีไม่ใช่คนโง่ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องถูกอัดเละเทะก็ยังโง่เสนอหน้าเข้าไปทำ เขาไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน “หานซานเฉียน อย่าคิดว่าแกมีตระกูลซูคอยหนุนหลังแล้วตัวเองจะใหญ่ไปกว่าใคร รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?” หลิวฉีพูดข่มขู่ เขาต้องการเอาภูมิหลังของครอบครัวมากดดันหานซานเฉียน เพราะครอบครัวของเขามีศักยภาพพอ ๆ กับตระกูลซูตอนนี้ แน่นอนว่าในอีกไม่กี่ปี เงินทุนของโครงการเฉิงซีก็จะเริ่มส่งผลตอบแทน ตระกูลหลิวก็จะเทียบกับตระกูลซูไม่ได้อีกแล้ว “คุณเป็นใคร บอกให้ผมฟังหน่อยสิ” ทันใดนั้นประตูห้องวีไอพีถูกเปิดออก ม่อหยางกับหลินหย่งก็เดินเข้ามา เมื่อหลิวฉีเห็นสองคนนี้ก็รู้สึกกลัวมาก เขาสามารถเอาตระกูลหลิวมาข่มขู่หานซานเฉียนได้ แต่เขาไม่กล้าที่จะเอาตระกูลหลิวมาอวดอ้างต่อหน้าม่อหยางแม้แต่น้อย ด้วยอิทธิพลของม่อหยางในเ
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่เดือดร้อนหรอก!” หลิวฉีเองก็โหดร้ายเช่นกัน เมื่อเขาพูดจบก็ต่อยหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ไปหนึ่งครั้ง เซี่ยอวี๋ฟู๋เห็นหลิวฉีเป็นสุนัขขี้ประจบมาโดยตลอด จะให้เขาทำอะไร เขาก็ต้องทำทุกอย่างแต่โดยดี เธอวางตัวอยู่เหนือกว่าหลิวฉีเสมอมา หลิวฉีเอาชนะเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? “หลิวฉี คุณไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ?” เซี่ยอวี๋ฟู๋เอ่ยถาม หลิวฉียิ้มเยาะแล้วพูดว่า “โสเภณีอย่างคุณ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณหลอกใช้ผมเพื่อช่วยคุณจัดการเรื่องต่าง ๆ ใช่ไหมล่ะ? ผมรู้เสมอว่าคุณดูถูกผม ผมไม่อยากเสียเวลากับคุณอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงสวย ๆ แบบคุณ ผมแค่จ่ายเงินก็มีมาให้เลือกมากมาย คุณถือว่าตัวเองเป็นราชินี ต้องการให้ผมปรนนิบัติคุณงั้นเหรอ?” เมื่อเซี่ยอวี๋ฟู๋ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด เป็นเพราะการมีตัวตนอยู่ของหลิวฉีที่สร้างความมั่นใจให้เซี่ยอวี๋ฟู๋ ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองสูงส่งดั่งราชินี และคำพูดของหลิวฉีก็ทำให้เธอตกลงในหุบเขาน้ำแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คุณยังกล้าที่จะล่วงเกินเพื่อนของพี่ใหญ่ม่ออีกด้วย ถ้าผมไม่สั่งสอนบทเรียนคุณ แล้ว
เมื่อเซี่ยจิ่นเหยียนได้รับโทรศัพท์ ขณะนั้นเขากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนในแวดวงธุรกิจห้างสรรพสินค้า ขณะนี้ตระกูลซูกำลังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีเพราะโครงการเฉิงซี เขาย่อมหวังอยู่แล้วว่าตระกูลเซี่ยจะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นในช่วงเวลานี้ เขาจึงประจบสอพลอคนใหญ่คนโตในแวดวงธุรกิจมากมาย ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เพื่อให้ตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในเมืองหยุนเฉิง เรื่องที่เซี่ยอวี๋ฟู๋ไปล่วงเกินม่อหยางจนเกือบทำลายตระกูลเซี่ยนั้นโชคดีที่ไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น เซี่ยจิ่นเหยียนได้สั่งสอนบทเรียนให้เซี่ยอวี๋ฟู๋อย่างเต็มที่ เขาเชื่อว่าลูกสาวของเขาจะได้รับบทเรียนมากพอแล้ว แต่เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามา สีหน้าของเซี่ยจิ่นเหยียนซีดเผือดลงทันที แม้ในโทรศัพท์เซี่ยอวี๋ฟู๋จะไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำให้เขาต้องไปที่คลับเมจิกซิตี้โดยเร็ว นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น! นอกจากนี้คลับเมจิกซิตี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของม่อหยาง เธอคงไม่ได้ไปล่วงเกินม่อหยางอีกหรอกนะ “หัวหน้าเซี่ย คุณเป็นอะไรไป? ทำไมสีหน้าคุณดูแย่จัง” “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” “ถ้ามีเรื่องอะไรบอกพวกเราได้เลย ถ้าพวกเ
สำหรับเซี่ยจิ่นเหยียนเขาคิดว่าบุคคลที่สำคัญที่สุดในห้องนี้คือม่อหยาง ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจเฉพาะม่อหยางโดยอัตโนมัติ หลังจากได้ยินสิ่งที่ม่อหยางพูด เขาจึงเห็นหานซานเฉียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เซี่ยจิ่นเหยียนค่อนข้างคุ้นเคยกับหานซานเฉียนเป็นอย่างดี ในงานวันเกิดของเทียนฉางเฉิง เขาเองก็เห็นกับตาว่าหานซานเฉียนนั่งอยู่ข้างเทียนฉางเฉิงด้วยเมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวลือแพร่ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับหานซานเฉียนในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองหยุนเฉิง ข่าวลือมีหลากหลายรูปแบบโผล่ขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งผลลัพธ์มีแค่อย่างเดียวคือ ทุกคนรู้ว่าหานซานเฉียนไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ในเมืองหยุนเฉิงอีกต่อไป แม้ในอดีตเขาจะเป็นคนไร้ประโยชน์จริง ๆ แต่ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลเทียน แม้แต่กองโคลนก็ยังสามารถปีนข้ามกำแพงได้ “คุณหานซานเฉียน ผมต้องขอโทษกับสิ่งที่ลูกสาวผมทำลงไปด้วยครับ” เซี่ยจิ่นเหยียนกล่าว “เธอทุบรถของผม แถมยังให้คนมาทำร้ายผมด้วย ลูกสาวคนนี้ของคุณเป็นคนหยาบคายมากเลยนะ” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชา นิสัยเจ้าหญิงเอาแต่ใจของเซี่ยอวี๋ฟู๋นั้น เซี่ยจิ่นเหยียนเป็นคนเลี้ยงดูเธอมากับมือ เขาจะไม่รู้นิสัยลูกตัวเองได
หลังจากส่งหานซานเฉียนที่ประตูทางเข้าคลับเมจิกซิตี้แล้ว ม่อหยางก็ถามว่า “ฉันต้องช่วยหลิวฉีหรือเปล่า เกรงว่าด้วยศักยภาพของเขา มันคงไม่ง่ายที่จะให้เขาจัดการกับตระกูลเซี่ย” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องหรอก ถ้าสุนัขฉันกัดไม่ได้ มันจะมีค่าอะไร?” ม่อหยางได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกตกตะลึง เขามองดูหานซานเฉียนอย่างเคร่งขรึม ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “มีอะไรเหรอ?” หานซานเฉียนถามด้วยความสงสัย ม่อหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร รีบกลับบ้านเถอะ ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้ฉันจะเป็นห่วงนายอีก” หลังจากหานซานเฉียนจากไปแล้ว ม่อหยางก็ถอนหายใจแล้วพูดกับตัวเองว่า “ฉันแค่อยากจะบอกว่า นายมีศักยภาพที่จะเป็นหัวหน้าใหญ่ได้เลย แต่ด้วยตัวตนของนาย ฉันไม่คิดว่านายจะใช้เส้นทางนี้ นี่คือ… ตระกูลหานสินะ”เมื่อพูดจบ ม่อหยางก็รู้สึกขนลุกทันที แม้เขาจะคาดเดาได้ว่าตัวตนของหานซานเฉียนนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าตัวตนที่แท้จริงของหานซานเฉียนจะทำให้เขารู้สึกตกใจมากขนาดนี้ แม้ตระกูลหานจะไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มชนชั้นนำในประเทศจีน แต่ก็อยู่ห่างจากยอดพีระมิดแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น! แลมโบกิ