หญิงชราเริ่มพูดออกมาว่า “เรื่องของความร่วมมือ ความสามารถของซูหยิงเซี่ยมีจำกัด ฉันเกรงว่าจะทำให้โครงการเฉิงซีเกิดความล่าช้า”“ความสามารถของซูหยิงเซี่ยไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ก็จริง แต่ความสามารถในการเรียนรู้ของเธอก็ไม่เลวนะครับ ช่วงนี้เธอมีพัฒนาการที่ดีมาโดยตลอด และเป็นคนมีความรับผิดชอบอีกด้วย” จงเหลียงพูด“เด็กน้อยคนนี้มีความรับผิดชอบก็จริง เวลาทำอะไรก็จะทุ่มเทพยายามอย่างเต็มความสามารถ แต่ถึงยังไงความสามารถของมนุษย์ก็มีขีดจำกัด ไม่ว่าเธอจะเรียนรู้อีกสักเท่าไหร่มันย่อมมีขีดจำกัด เพื่อให้พวกเราร่วมมือกันได้ดีขึ้น ฉันก็เลยตั้งใจจะเปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการน่ะค่ะ” หญิงชราพูดออกมาทันทีที่สิ้นเสียงของหญิงชรา ซูไห่เฉาก็พูดต่อว่า “พี่จง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ แต่ว่าสาระสำคัญเฉพาะของโครงการผมรู้ดีที่สุด ผมสามารถพัฒนาต่อได้อย่างสมบูรณ์ พี่ไม่ต้องกังวลใจกับปัญหาใด ๆ เลยครับ”เมื่อเห็นว่าจงเหลียงไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทำให้ซูไห่เฉารู้สึกมั่นใจขึ้นไปอีก และพูดต่อว่า “ในตระกูลซู ผมมีอำนาจและความรู้ที่ล้ำหน้ากว่า ผมจะต้องทำได้ดีกว่าซูหยิงเซ
หญิงชราไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนี้ เพราะการให้อำนาจแก่ซูหยิงเซี่ย สำหรับตระกูลซูแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ดี และมันอันตรายจนถึงชีวิตสำหรับซูไห่เฉาการที่ซูหยิงเซี่ยแทรกซึมเข้ามามีอำนาจลำดับชั้นของบริษัท ภายหลังหากคิดจะลิดรอนสิทธิ์คงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โครงการเฉิงซีเองก็คงจะใช้เวลาในการดำเนินต่อไปอย่างน้อยสองถึงสามปี ในช่วงไม่กี่ปีนี้ซูหยิงเซี่ยสามารถสร้างชื่อเสียงของตัวเองในบริษัทได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลยแต่ว่าเพื่อรักษาความร่วมมือนี้ไว้ เธอจึงจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะมีเพียงแค่ความร่วมมือนี้เท่านั้นที่จะทำให้ตระกูลซูอยู่รอดไปได้หากหญิงชรามีโอกาสอีกครั้ง วันนี้เธอจะไม่นัดพบกับจงเหลียงเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้มันสายไปแล้ว“ผมบอกแล้วว่ามันไม่มีประโยชน์ เจ้านายของผมจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง” พูดจบจงเหลียงก็ตรงออกจากห้องประชุมทันทีซูไห่เฉาพูดกับหญิงชราด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณย่าครับ พวกเราจะทำยังไงกันดีครับ ถ้าหากไม่มีความร่วมมือนี้แล้ว ตระกูลซูได้จบเห่แน่ครับ!”หญิงชราถลึงตาใส่ซูไห่เฉา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาไร้ความสามารถ เรื่องต่าง ๆ ก็คงไม่มาถึงจุดนี้จงเหลียงตรวจสอบประ
เมื่อคนอื่น ๆ ในตระกูลซูรู้ว่าความร่วมมืออาจถูกยกเลิก ก็พากันแตกตื่นอยู่พักหนึ่ง ตระกูลซูวางเดิมพันอย่างหนักกับโครงการเฉิงซี ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีว่าหากไม่มีความร่วมมือนี้ ตระกูลซูก็จะจบเห่เหมือนกัน“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงไม่ปรึกษาพวกเราก่อนล่ะคะ ท่าทีของจงเหลียงเมื่อครั้งก่อนมันก็ชัดเจนมากแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ?”“ใช่ค่ะ คุณย่าความร่วมมือนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซูหยิงเซี่ยก็ทำมันออกมาได้ดีอยู่แล้ว คุณย่าให้ซูไห่เฉาเข้ามาก้าวก่ายแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันคะ”“ถ้าความร่วมมือนี้จบลง พวกเราทุกคนก็จะต้องเดือดร้อนไปด้วย ซูไห่เฉาจะเป็นคนแบกรับความรับผิดชอบนี้ไหวไหม?”บรรดาญาติ ๆ ต่างเริ่มโจมตีซูไห่เฉาซูไห่เฉาและซูกั๋วหลินไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพราะพวกเขารู้ดีว่าผลกระทบของเรื่องนี้มันร้ายแรงมากแค่ไหน “คุณย่าคะ พอจะมีทางทำให้เจ้าของสินสอดคนนั้นปรากฏตัวออกมาได้ไหมคะ เขาน่าจะช่วยตระกูลซูได้” ซูอี้หานพูดออกมา เรื่องสินสอดทองหมั้นซูอี้หานไม่อาจจะลืมมันได้ แม้กระทั่งตอนนี้ก็อยากจะเอาเครื่องประดับทองคำหยกและเงินสดพวกนั้นกลับบ้านใจจะขาดอีกทั้งตอนนี้ซูหยิงเซี่ยได้เข้าไปอาศัยอย
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ซูหยิงเซี่ยได้รับการสนับสนุนจากทุกคน ในการประชุมภายในของตระกูลซู หลังจากการประชุม ซูไห่เฉากลับมาที่ห้องทำงานอย่างไม่พอใจ เขารู้ว่าถ้าหากซูหยิงเซี่ยทำสำเร็จ ตำแหน่งของเขาในบริษัทมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลง หลังจากนี้ซูหยิงเซี่ยคงจะเหยียบย่ำเขา และมีความเป็นไปได้ว่าเธอจะสั่นคลอนตำแหน่งประธานกรรมการในอนาคตของเขาอีกด้วย“ไม่ได้ ฉันจะต้องหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้” ซูไห่เฉาพูดพลางกัดฟันแน่นทันใดนั้นเอง ซูกั๋วหลินก็มาถึงที่ห้องทำงานด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน“ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยได้อยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขา แถมยังมีอำนาจควบคุมบริษัทอีก มันน่าโมโหนัก” ซูกั๋วหลินพูดอย่างเดือดดาล“พ่อครับ พ่อช่วยผมคิดหาวิธีจัดการที ผมจะต้องทวงอำนาจกลับคืนมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องอยู่เบื้องล่างของซูหยิงเซี่ยตลอดไปแน่” ซูไห่เฉากล่าวซูกั๋วหลินถอนหายใจออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งหญิงชราก็ได้ออกคำสั่งออกมาแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้“ไห่เฉา พ่อมาหาแกไม่ใช่เพื่อช่วยแกหาวิธีจัดการ แต่มาเพื่อเตือนแกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งอะไรในช่วงนี้” ซูกั๋
ซูหยิงเซี่ยบอกเรื่องที่หญิงชรากับซูไห่เฉาทำลงไปกับหานซานเฉียนว่า “คุณว่าพวกเขาหาแส่เรื่องใส่ตัวไหม ความร่วมมือกำลังราบรื่น แต่พวกเขาก็หาปัญหาเพิ่ม ตอนนี้คุณจงเหลียงก็ไม่รับโทรศัพท์ของฉัน และไม่ยอมมาพบฉันอีกด้วย ความร่วมมือในการทำงานกับบริษัทลั่วเฉวก็คงล่าช้าออกไปอีก”“นี่มัน…ปัญหาใหญ่เลยนะ ตอนนี้เพื่อนของผมไม่ได้อยู่ในประเทศ ผมเองก็ติดต่อเขาไม่ได้เหมือนกัน” หานซานเฉียนพูดพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปมแน่นซูหยิงเซี่ยลอบมองหานซานเฉียน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้หน้าหนาขอให้หานซานเฉียนช่วยโดยตรง แต่เธอก็พูดไปตั้งมากมาย อันที่จริงมันก็เหมือนพูดอ้อม ๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สามารถช่วยเธอได้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงจบเห่แล้วอย่างแน่นอน“ซานเฉียน” ซูหยิงเซี่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหานซานเฉียนใจกระตุก เขาพยายามกลั้นยิ้มที่มุมปากเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “มีอะไรเหรอ?”ใบหน้าของซูหยิงเซี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว เธอกัดริมฝีปากล่าง และไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนี่งหานซานเฉียนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขารออย่างเงียบ ๆ“คุณ...ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?” ในที่สุดซูหยิงเซี่ยก็เค้นคำพูดนี้ออกมาจากปากของเธอห
“แม่คะ แม่ไปเอาของโกโรโกโสพวกนี้มาจากไหนคะ” ซูหยิงเซี่ยมองไปที่แม่ของเธอแล้วบ่นออกมา หลังจากโดนเธอทำแบบนี้ คฤหาสน์ก็เหมือนกลายเป็นที่เก็บสะสมขยะทันที รสนิยมและสไตล์การแต่งบ้านก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างสมบูรณ์“อะไรคือโกโรโกโส ทั้งหมดนี้แม่ซื้อมาด้วยเงินนะ” เจี่ยงหลานที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอคัดเลือกสิ่งของทุกอย่างมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ และใช้เวลาต่อรองราคากับเถ้าแก่มาตั้งครึ่งวัน แต่ซูหยิงเซี่ยกลับบอกว่ามันเป็นสิ่งของโกโรโกโส“อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ราคาหลายสิบล้านหยวน แต่แม่กลับซื้อของราคาไม่กี่สิบหยวนมาวางประดับไว้ในคฤหาสน์แบบนี้ มันไม่ตลกเหรอคะ? อีกอย่างมันดูดีตรงไหนกัน มันดูไม่ต่างกับขยะเลยต่างหาก” ซูหยิงเซี่ยรู้สึกโกรธจัด การที่หานซานเฉียนตกแต่งบ้าน เขาต้องใช้กำลังกายและกำลังใจอย่างมากแน่นอน แต่สิ่งที่แม่ของเธอทำได้ทำลายรูปแบบการตกแต่งไปทั้งหมด“รังเกียจของถูกงั้นเหรอ? ได้” เจี่ยงหลานยื่นมือของเธอออกไปตรงหน้าซูหยิงเซี่ยและพูดว่า “ลูกก็ให้เงินแม่มาสิ แม่จะซื้อของดี ๆ ที่มีราคาเหมาะสมกับคฤหาสน์หลังนี้กลับมาให้”“แม่คะ…” ซูหยิงเซี่ยโกรธจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
หลังจากที่เจี่ยงหลานเปิดประตู เธอยังคงประหลาดใจและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งคนเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งของที่เธอซื้อมา เจี่ยงหลานก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งทันที “พวกแกกำลังทำอะไร มาเอาของในบ้านของพวกเราไปทำไม?”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแผนกทรัพย์สินมีรูปร่างสูงใหญ่ เจี่ยงหลานจึงทำได้เพียงแค่ตะโกนร้องเอะอะโวยวาย แต่ไม่กล้าเข้าไปขัดขวาง แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่เก่งแต่ปากเท่านั้นหลังจากของที่เจี่ยงหลานซื้อมาถูกขนออกไปจนหมด หานซานเฉียนถึงค่อยเดินออกมาจากห้อง“หานซานเฉียน ทำไมแกยังไม่หยุดพวกเขาอีก พวกเขาเข้ามาปล้นตอนกลางวันแสก ๆ สิ่งของพวกนี้ฉันจ่ายเงินซื้อมานะ” เจี่ยงหลานพูดกับหานซานเฉียนอย่างกระวนกระวาย ราวกับมดที่อยู่บนหม้อไฟ“ผมเรียกพวกเขามาเอง” หานซานเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ“อะไรนะ!” เจี่ยงหลานตกตะลึง ก่อนจะรู้สึกเดือดดาลในทันทีและถามว่า “หานซานเฉียน แกหมายความว่ายังไง แกดูถูกของที่ฉันซื้อกลับมาพวกนี้อย่างงั้นเหรอ”“ใช่ครับ ผมดูถูกมันจริง ๆ นั่นแหละ” หานซานเฉียนพูดเสียงเย็น“แกสั่งให้พวกเขาเอาของ ๆ ฉันกลับมาคืนที่เดิมเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น…” ไสหัวไป
คุณนายคนนั้นพูดพร้อมกับนำกระเป๋าเงินหนัก ๆ ที่อยู่ในมือตีเข้าไปที่หัวของหญิงวัยกลางคนหญิงวัยกลางคนถูกคนอื่นชี้หน้า เธอได้แต่พูดซ้ำ ๆ ว่า “ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้เอาไปจริง ๆ นะเธอใส่ร้ายฉัน”“ใส่ร้ายแกอย่างงั้นเหรอ? ฉันจะใส่ร้ายคนต่ำต้อยอย่างแกไปทำไมกัน ฉันจำเป็นต้องกุเรื่องเพราะเงินแค่นี้เหรอ?” คุณนายคนนั้นพูด พร้อมกับใช้มือตบเข้าที่หน้าหญิงวัยกลางคน แต่ก็ยังไม่สะสาแก่ใจ เธอจึงใช้ส้นสูงเตะหล่อนซ้ำเข้าไปอีกสองที“พวกคุณมองดูฉันให้ดีสิ ๆ ฉันดูเหมือนคนที่ขัดสนกับเงินแค่ไม่กี่หมื่นหยวนเหรอ? ฉันแค่ไม่อยากให้กากเดนมนุษย์แบบนี้ไปทำให้คนอื่นเกิดความเสียหายอีกก็เท่านั้น” คุณนายคนนั้นกล่าวเมื่อมองจากการแต่งกายของเธอ เธอก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนที่ขัดสนเรื่องเงินจริง ๆ ดังนั้นฝูงชนจึงไม่ได้สงสัยในตัวเธอ และยิ่งกล่าวหาหญิงวัยกลางคนอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างช่วยตัวเองพูด คุณนายคนนั้นก็มีสีหน้าพึงพอใจ เธอเหลือบมองหญิงวัยกลางคนพร้อมกับพูดอย่างดูถูกว่า “ยัยหัวขโมย วันนี้ฉันจะทำให้ทุกคนได้เห็นหน้าตาของแก อย่าคิดว่าจะได้งานทำในเมืองหยุนเฉิงนี้อีก”รู้หน้าไม่รู้ใจ คำพูด