Share

บทที่ 9 ทุกการสัมผัสย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้

คนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็สงสัยเช่นกัน

สาวน้อยที่เสื้อผ้าผมเผ้ารุงรังผู้นี้เป็นใครกันแน่?

เหตุใดถึงได้รู้มากเช่นนี้?

ฮองเฮาพูดเสียงแข็งว่า “เหลวไหล เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยจะไปรู้อะไร? อย่าคาดเดาอะไรเรื่อยเปื่อย!”

เยี่ยนเว่ยฉือเบะปากพูดว่า “การกล้าตั้งสมมติฐานและตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่ใช่วิธีการพื้นฐานในการคลี่คลายคดีหรือเพคะ? อีกอย่าง สิ่งที่พวกท่านพบในร่างของสวีเหม่ยเหรินไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทนี่เพคะ!”

ทันทีที่พูดจบ บรรดาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่อยู่ในเหตุการณ์ บ้างก็งุ่มง่ามทำตัวไม่ถูกบ้างก็ก้มหน้าก้มตา

เยี่ยนเว่ยฉือผู้นี้ช่างพูดได้อย่างไม่อายปากเอาเสียเลย!

เมื่อเห็นจากสายตาของฮองเฮาเหมือนต้องการจะโต้เถียง เยี่ยนเว่ยฉือก็พูดต่อทันที “ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเพคะ ในเมื่อตอนนี้ก็ได้รู้สาเหตุการเสียชีวิตของสวีเหม่ยเหรินแล้ว หม่อมฉันแค่ต้องตามหาฆาตกรตัวจริงเท่านั้น ก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์รัชทายาทได้อย่างไรเล่าเพคะ!”

ฮ่องเต้คังอู่ตรัสถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าสามารถตามหาฆาตกรตัวจริงได้หรือ?”

เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าและพูดต่อ “ทูลฝ่าบาท เพื่อทำให้คนคนหนึ่งเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มิใช่เพียงแค่ดอกท้อไม่กี่ดอก ต้องใช้ดอกท้อเป็นจำนวนมาก หรือต้องใช้ของที่ทำจากดอกท้อที่มีความเข้มข้นสูง ตัวอย่างเช่น น้ำมันดอกท้อ เหล้าดอกท้อชั้นดี หรือขนมดอกท้อเป็นต้นเพคะ”

ฮ่องเต้คังอู่ทอดพระเนตรไปยังนางกำนัลที่เฝ้าศพอยู่ในห้อง และตรัสถามอย่างเคร่งขรึมว่า “ในตำหนักของพวกเจ้ามีสิ่งของที่ว่าหรือไม่?”

นางกำนัลชื่อเฟินเอ๋อร์รีบคุกเข่าลงแล้วตอบว่า “ทูลฝ่าบาท สวีเหม่ยเหรินไม่ชอบดอกท้อ ในห้องจึงไม่มีสิ่งของที่ทำจากดอกท้อเลย แม้แต่ต้นท้อที่เดิมถูกตั้งไว้ในห้องก็ถูกย้ายไปยังสวนไป่หยวนเพคะ”

“ได้ยินรึยัง ที่ตำหนักนี้ไม่มีดอกท้อ!” ฮองเฮามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสายตาดุดัน

ทว่าเยี่ยนเว่ยฉือไม่สนใจและพูดต่อ “ฝ่าบาท สวีเหม่ยเหรินได้เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ฆาตกรลงมือสำเร็จ ร่องรอยที่เกี่ยวกับดอกท้อทั้งหมดย่อมถูกกำจัดทิ้งเพคะ”

“นั่นก็หมายความว่าหาไม่เจอไม่ใช่หรือ?” ฮ่องเต้คังอู่ทรงขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความผิดหวัง

เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่ มีคำโบราณที่ว่า ทุกหนแห่งที่ห่านป่าบินผ่านย่อมทิ้งรอยทาง ทุกการสัมผัสย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้เพคะ”

พูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือก็เริ่มเดินไปมาในโถงไว้ทุกข์ ขณะที่เดิน นางก็มองเหล่านางกำนัลและขันทีที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น

“เดิมทีดอกท้อนี้ไม่มีพิษ ดังนั้นหม่อมฉันเดาว่าตอนที่บดผสมดอกท้อหรือสิ่งที่ทำจากดอกท้อ คนที่ลงมือวางยาพิษคงไม่ได้สวมถุงมือ ดังนั้นจะต้องมีร่องรอยดอกท้อบนมือของคนผู้นั้นแน่นอนเพคะ”

ผางเหออวี้ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วและพูดว่า “ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ก็ผ่านมาตั้งเจ็ดวันแล้ว แม้มือของคนผู้นั้นจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกท้อ แต่ตอนนี้ก็คงทำความสะอาดจนเกลี้ยงไปแล้ว”

เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าเล็กน้อย “ที่ใต้เท้าผางพูดนั้นก็ถูก ดังนั้นร่องรอยที่หม่อมฉันพูดถึงจึงไม่ได้หมายถึงกลิ่นหอมของดอกไม้เพคะ ในดอกท้อมีสารที่เรียกว่า ‘ฮวาอวี้ซู่’ หากนำสารนี้มาหยดด้วยน้ำส้มสายชูก่อนแล้วตามด้วยน้ำด่าง มันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และสารนี้ไม่ละลายในน้ำเปล่า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแม้จะล้างมือติดต่อกันเป็นเดือน ๆ ก็ไม่สามารถกำจัดมันได้เพคะ!”

ฮ่องเต้คังอู่ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เจ้าหมายความว่า หากให้คนในตำหนักของสวีเหม่ยเหรินล้างมือด้วยน้ำส้มสายชูก่อนแล้วตามด้วยน้ำด่าง คนที่มือเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน คือฆาตกรตัวจริงอย่างนั้นรึ?”

เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นเพคะ สวีเหม่ยเหรินแพ้ดอกท้อ ดังนั้นนางจึงต้องสั่งห้ามคนในวังไม่ให้สัมผัสดอกท้อ หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของนายและจงใจสัมผัสสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดอกท้อ ย่อมเป็นฆาตกรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเพคะ”

“ไปนำน้ำส้มสายชูและน้ำด่างมา!” เมื่อฮ่องเต้คังอู่ตรัสรับสั่ง นางกำนัลและขันทีทุกคนในตำหนักชิงเหอก็เงียบสนิทราวกับจักจั่นที่จำศีลในหน้าหนาว

เยี่ยนเว่ยฉือลอบสังเกตฝูงชน จากนั้นนางก็ยิ้มมุมปากและยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง

ไม่นาน องครักษ์ก็นำอ่างน้ำส้มสายชูและอ่างน้ำด่างมาวางไว้บนโต๊ะ

เยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่เหล่าคนรับใช้แล้วพูดว่า “มาเลย พวกเจ้าทุกคนไปตรงนั้นทีละคน ขั้นแรกให้เอามือแช่น้ำส้มสายชูก่อนแล้วค่อยแช่ในน้ำด่าง หลังจากที่ทำทั้งสองขั้นตอนแล้วก็จะได้คำตอบที่ชัดเจน”

ทุกคนยืนขึ้น ก้มหน้าเข้าแถว และเดินไปยังอ่างน้ำอย่างขลาดกลัว...

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status