ฮวาอวี๋หัวเราะเบา ๆ “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อก่อนตระกูลเยวี่ยไม่มีผู้ใดรอดชีวิต พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารจนสิ้นซาก ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเยวี่ยหรอก”“แล้วเจ้าเป็นใคร? เหตุใดต้องมาตามหาข้า?” เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวังฮวาอวี๋ยกมือขึ้นปลดมวยผมของตนออก เยี่ยนเว่ยฉือประหลาดใจเมื่อพบว่าเครื่องประดับหยกที่ฮวาอวี๋ใช้รัดผมนั้นก็เป็นกำไลหยกเช่นกันกำไลหยกเส้นนั้นมีรูปร่างคล้ายกับกำไลสีขาวที่เยี่ยนเว่ยฉือสวมใส่แทบจะทุกประการ ทั้งสองเส้นมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ มีทั้งส่วนที่หนาและบาง ส่วนที่กลมและแบนราวกับทำมาคู่กันอย่างไรอย่างนั้น!เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองฮวาอวี๋ด้วยความประหลาดใจ รอคอยคำอธิบายจากเขาฮวาอวี๋กล่าวต่อ “นี่คือของหมั้นหมายของตระกูลฮวาและตระกูลเยวี่ย เรียกว่า...คู่พรหมลิขิต กิ่งทองใบหยก รักใคร่กลมเกลียว เคียงข้างจนแก่เฒ่า ครองรักชั่วนิรันดร์ นกปี่อี้โบยบินเคียงกัน… กำไลหยกปี่อี้”เยี่ยนเว่ยฉือกระตุกมุมปาก “เจ้าช่างพูดจาเหลวไหลได้ดีเสียจริง ใครกันจะตั้งชื่อได้ยาวเหยียดเพียงนี้!”ฮวาอวี๋ยิ้ม “นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า”“อะไรนะ?!” เยี่ยนเว่ยฉือตกใจจนตัวสั่น
เยี่ยนเว่ยฉือเอ่ยปากว่าไม่เชื่อคำพูดของฮวาอวี๋ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกหวั่นไหวไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ประโยคที่ว่า ‘ตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย’ นั้น ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นางได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเจ้าของร่างเดิมและมารดาผู้ให้กำเนิดเยวี่ยฉงหรงอยู่ด้วยกันมาหกปี ตลอดหกปีนั้น นางแทบไม่เคยเห็นเยวี่ยฉงหรงยิ้มเลยเยวี่ยฉงหรงเป็นคนพูดน้อย พูดมากที่สุดก็คือประโยคนี้ “เว่ยฉือ เจ้าต้องจำไว้ว่าตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย ตระกูลเยวี่ยเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ไม่มีทางเป็นกบฏได้เลย”เยี่ยนเว่ยฉือก้มมองกำไลของตนเอง ความรู้สึกช่างซับซ้อนนางเป็นผู้ที่เดินทางข้ามเวลา เรื่องราวความรักความแค้นเหล่านี้เดิมทีไม่ใช่สิ่งที่นางควรแบกรับ แต่ทุกครั้งที่นางนึกถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาก็ยังรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางตัดสินใจอยู่เคียงข้างซ่างกวนซีบางทีสักวันหนึ่ง นางอาจจะใช้บารมีของซ่างกวนซีเพื่อสืบหาความจริงในคดีของตระกูลเยวี่ย เพื่อให้เยวี่ยฉงหรงได้พักผ่อนอย่างสงบในปรโลกได้“คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของซ่างกวนซีดังขึ้นโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือสะดุ้งโหยงเยี่
มุมปากของเยี่ยนเว่ยฉือกระตุกเล็กน้อย “อ๋อ… ที่แท้ก็เพื่อปกป้องข้านี่เอง”“มิเช่นนั้นเล่า?” ซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองนาง นางคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ?เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะแห้ง ๆ “ปะ… เปล่า ข้าแค่คิด… ข้าแค่คิดว่าข้าพอจะปกป้องตนเองได้อยู่บ้าง ท่านกลับไปนอนในห้องของตนเองเถิด”ซ่างกวนซีไม่สนใจการปฏิเสธของนาง แต่กลับกางแขนออกแล้วพูดว่า “ถอดเสื้อ!”ยังจะให้ข้าถอดเสื้อผ้าให้อีก!เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนซ่างกวนซีเหลือบมองนาง “ยังมัวยืนงงอะไรอยู่อีก?”เยี่ยนเว่ยฉือจำใจต้องเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดของซ่างกวนซีออกการเคลื่อนไหวของนางช้ามากราวกับจงใจถ่วงเวลามือเล็ก ๆ นั้นลูบไล้ไปตามแผ่นอกและเอวของซ่างกวนซีระเรื่อยแผ่วเบา จนซ่างกวนซีรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเขาผลักเยี่ยนเว่ยฉือออกอย่างหงุดหงิด “โง่สิ้นดี”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ก็ข้าไม่ใช่คนที่ถอดเสื้อผ้าให้ชายอื่นบ่อย ๆ จนชำนาญนี่นา จะเงอะแงะทำสิ่งใดไม่ถูกเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? ข้าถนัดขัดขนหมูมากกว่า ท่านอยากจะลองหรือไม่?”มือที่กำลังปลดเสื้อผ้าขอ
ทว่ากับเยี่ยนเว่ยฉือ เกรงว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางคงไม่เคยได้รับความใส่ใจใด ๆ จากคนในครอบครัวเลยแม้ไม่รู้ว่านางซ่อนความลับอะไรเอาไว้ หรือไม่อาจล่วงรู้ว่านางร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ มาจากที่ใดก็ตามแต่จนถึงทุกวันนี้ นางก็ยังคอยช่วยเหลือเขา รักษาเขา และไม่เคยทำร้ายเขาไม่ใช่หรือ?ซ่างกวนซีเหลือบมองเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วครุ่นคิดในใจ ‘บางที… ข้าควรจะไว้ใจนางให้มากขึ้น’ซ่างกวนซีเหลือบมองเครื่องนอนในมือ แล้วตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าไปในตู้ จากนั้นก็นอนลงข้าง ๆ เยี่ยนเว่ยฉือเดิมทีเขาคิดว่ามีหมอนกั้นอยู่ตรงกลาง อีกทั้งเยี่ยนเว่ยฉือก็หลับไปแล้ว ทั้งสองคงจะนอนหลับอย่างสงบสุขได้ตลอดคืนแต่ซ่างกวนซีไม่คาดคิดเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะนอนด้วยความกระสับกระส่ายถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางพลิกตัวมากอดหมอนใบนั้นไว้ จากนั้นพลิกตัวไปมาจนหมอนร่วงตกลงจากเตียงด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างคนทั้งสองอีกต่อไปหากต่างคนต่างนอนนิ่ง ๆ เช่นนี้ตลอดคืนก็คงไม่เป็นไรแต่เยี่ยนเว่ยฉือยิ่งหลับลึกขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ย้ายจากหมอนของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวมากอดเขาไว้แทยร่างกายของซ่างกวนซีแข็งทื่อเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้ว
ความรู้สึกตกตะลึงระคนวิงเวียนนั้นเหมือนกับตอนที่เขาเปิดผ้าห่มของเยี่ยนเว่ยฉือเมื่อวันนั้นไม่มีผิดอายุยังน้อย แต่กลับมีรูปร่างที่… ยอดเยี่ยมเช่นนี้“อึก...” ซ่างกวนซีได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายเวรเอ๊ย!จิตใจของเขากระเจิดกระเจิงอีกแล้ว!ซ่างกวนซีรู้ตัวว่าเขาควรรีบออกไปจากที่นี่ แต่ร่างกายของเขากลับไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าใดนักเหตุใดมนุษย์เราถึงได้แตกแยกเช่นนี้ สมองนั้นมีเหตุผลและสติปัญญา แต่ร่างกายกลับละโมบจนไม่อาจสั่งการควบคุมได้ลองสัมผัสดีหรือไม่?ไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำแต่พวกเขาไม่ได้เป็นสามีภรรยากันหรอกหรือ?ไม่ ไม่ได้ ยังไม่ได้ผ่านพิธีไหว้ฟ้าดินแต่พวกเขาทั้งสองต่างก็มีความจริงใจต่อกัน ตราบใดที่เขาสามารถรับผิดชอบได้ แล้วมันจะผิดอย่างไร?ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ได้สัมผัสครั้งหนึ่ง ย่อมอยากสัมผัสครั้งที่สอง สัมผัสครั้งที่สอง ก็ย่อมอยากปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก สัมผัสครั้งที่สาม คงหนีไม่พ้นอยากตระกองกอดรัดให้แน่นหนาคนเรายิ่งได้ยิ่งโลภ ไม่มีคำว่าพอ!เขาทำไม่ได้ เขาทำเช่นนั้นไม่ได้!ซ่างกวนซีรู้สึกว่าตัวเองเจียนจะคลั่งตายเพราะเยี่ยนเว่ยฉือเต็มทีเขาจึงรีบรุดออ
นางตบหน้าอกเบา ๆ รู้สึกดีใจราวกับรอดชีวิตมาจากความตายเยี่ยนเว่ยฉือสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว พลางพูดด้วยความสิ้นหวัง “เมื่อไหร่กันที่ข้าถึงจะเลิกนิสัยชอบนอนเปลือยได้ ก่อนนอนยังสวมเสื้อผ้าดี ๆ อยู่เลย แต่พอหลับไปก็ถอดออกหมดเสียแล้ว คนยุคโบราณเหล่านี้ล้วนมีวิทยายุทธ์สูงส่ง สามารถลักลอบเข้ามาในห้องของผู้อื่นได้ราวกับเดินบนพื้นราบ หากถูกผู้อื่นมองเห็นเข้า ข้าคงต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่ ๆ”แต่หารู้ไม่ว่าเรือนร่างของนางนั้นได้ถูกซ่างกวนซีจ้องมองและสลักลงในใจเรียบร้อยแล้ว…… โถงหลักอวี๋เฟยเหยียนยื่นมือออกไป โบกไปมาตรงหน้าซ่างกวนซีซ่างกวนซีขมวดคิ้ว ผลักมือเขาออก “ทำอะไร?”อวี๋เฟยเหยียนมองซ่างกวนซีด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้ท่านดูแปลกไปนะ เหม่อลอยไปถึงไหนกัน? ไม่สบายหรือ? หรือเมื่อคืนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม”เมื่อคืน...ซ่างกวนซีเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่า โกหกไปว่า “ไม่มีอะไร แค่เป็นกังวลเรื่องน้ำมันตุงเท่านั้น”เรื่องนี้ทำให้อวี๋เฟยเหยียนหันเหความสนใจไปได้อวี๋เฟยเหยียนกล่าว “เมื่อวานนี้ข้าไปสืบมาแล้ว ทีแรกเพลิงไหม้บนหลังคาจวนองค์ชายรองนั้นกินรัศมีไม่กว้างนัก แต่มีสะเก็ดไฟปลิวไ
ซ่างกวนซีหันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือ พบว่าใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับจะหยดเป็นเลือดลงมาได้สองมือเล็ก ๆ กำเข้าหากันจนข้อนิ้วซีดขาวซ่างกวนซีรู้สึกสับสนในใจ รีบคว้าข้อมือของอวี๋เฟยเหยียนขึ้นมาจับไว้ “ในเมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกไปกับข้า!”“เดี๋ยวสิ ๆ ๆ! ศิษย์พี่ใหญ่ อาหารยังไม่มาเลย กินอิ่มอะไรกัน!” ซ่างกวนซีไม่สนใจเสียงบ่นของอวี๋เฟยเหยียน ลากตัวเขาออกไปจากโถงหลักส่วนเยี่ยนเว่ยฉือนั้นนั่งตัวแข็งทื่อ ปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอายอย่างที่สุดโอ้สวรรค์ นางทำอะไรลงไปกันนี่!ซ่างกวนซีลากอวี๋เฟยเหยียนออกไปจากจวนรัชทายาทเขาไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน เพียงแค่รู้สึกว่าหากยังอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นต่อไป เยี่ยนเว่ยฉือคงจะยิ่งอับอายเข้าไปใหญ่อวี๋เฟยเหยียนลอบสังเกตซ่างกวนซีอยู่ตลอดเวลา อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเองก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือก็เป็นว่าที่พระชายาที่ฝ่าบาททรงประกาศให้เหล่าขุนนางทราบโดยทั่วกัน แม้จะทำอะไรเกินเลยลงไปก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นต้องทำท่าทางรู้สึกผิดเช่นนี้เลย!”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองเขา “ยังจะพูดอีกหรือ?”อวี๋เฟยเหยียนหัวเราะ “ก็ได้ ๆ ๆ ข้าไม่พูดแล้วก
การสนทนาของทั้งสามคนนั้น ซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนได้ยินทุกคำสีหน้าของซ่างกวนซีเคร่งขรึม ส่วนอวี๋เฟยเหยียนก็กลั้นหัวเราะเสียปวดกรามซ่างกวนซีผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง อวี๋เฟยเหยียนรีบวางเงินลงกับโต๊ะแล้วตามออกไป“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าโกรธเคืองไปเลย ในสถานการณ์เช่นนั้น เยี่ยนเว่ยฉือไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำเป็นต้องทำ”“ข้าไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกว่าสตรีนางนี้ประหลาดเกินไป คำกล่าวที่ว่า ‘ทำได้ทุกสิ่ง ยกเว้นเรื่องทางกามารมณ์’ นางสามารถพูดออกมาโดยไม่กระดากปากได้อย่างไรกัน? ไร้กฎเกณฑ์! ไร้ยางอายสิ้นดี!” ซ่างกวนซีสะบัดแขนเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดคำจะกล่าวอวี๋เฟยเหยียนหัวเราะ “ใช่แล้ว ๆ เยี่ยนเว่ยฉืออาจแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง แต่จุดประสงค์ของนางก็ยังดีอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่ คำกล่าวของเยี่ยนเว่ยฉือนี้ นางพูดเฉพาะเมื่ออยู่ในวังเท่านั้น โดยปกติแล้วไม่น่าจะแพร่กระจายออกไปสู่ภายนอกได้เร็วเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาการป่วยขององค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นด้วย ตอนนี้ข่าวแพร่กระจายออกไป เห็นทีเรื่องนี้น่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง”เมื่อได้ยินคำกล่าวของอวี๋เฟยเหยียน ซ