เยี่ยนเว่ยฉือในห้องนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ฟ้าผ่าลงมาเป็นฝีมือนางจริง น้ำมันตุงก็เป็นนางที่เทราดลงไปจริง แต่ไม่น่าจะทำให้เปลงเพลิงโหมรุนแรงถึงเพียงนี้ได้ จวนหายไปถึงสองในสามเชียวหรือ?เยี่ยนเว่ยฉือสูญเสียความง่วงงุนไปทันทีนางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะออกไปสืบข่าวเพิ่มเติมเสียหน่อยเพิ่งจะก้าวออกจากห้องก็เห็นพ่อบ้านจางเดินตรงมาพ่อบ้านจางพูดว่า “โอ้ พระชายา ท่านยังไม่นอนหรือ เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ขุนนางจากสำนักตมาถึงแล้ว ยังกล่าวว่าจะเชิญท่านไปสอบถาม”“สำนักต?” เยี่ยนเว่ยฉือก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน หรือว่าเรื่องที่นางทำถูกเปิดเผยแล้ว?พ่อบ้านจางพยักหน้า “พระชายาอย่าได้กังวล องค์ชายรัชทายาทก็อยู่ที่โถงด้านหน้า ย่อมไม่ให้ท่านประสบความเดือดร้อนแน่ ทว่าองค์ชายรัชทายาทสั่งไว้ว่า พระชายาต้องให้การอย่างระมัดระวัง ปฏิเสธทุกอย่าง!”ซ่างกวนซีก็อยู่ด้วยหรือ?เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็รีบเดินเร็วขึ้นนางไม่ได้สนใจว่าองค์ชายรองจะรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือนางแม้จะรู้ พวกเขาก็ไม่มีหลักฐานสิ่งที่นางเป็นห่วงในตอนนี้คือร่างกายของซ่างกวนซี ผู้ชายคนนี้นี่ ทำไมถึงวิ่งโร่ออกไปข้างนอกอีกแล้ว ไม่รู
“ถูกต้องแล้ว!” อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพูดเสริมเช่นกัน “คนกล่าวว่าเห็นก็เชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ? คนเราหน้าตาคล้ายคลึงกันถมเถ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็อาจบังเอิญคล้ายคลึงกัน อาจมองผิดไปก็ได้!”เจียงโม่ไร้เรี่ยวแรงจะโต้แย้งเขาก็รู้สึกว่าการชี้ตัวขององค์ชายรองนั้นดูจะไร้เหตุผลอยู่บ้าง จึงได้มาสอบถามที่จวนรัชทายาทโดยตรง แทนที่จะนำตัวคนไปที่สำนักตรวจสอบโดยตรงเมื่อได้ยินเยี่ยนเว่ยฉือโต้แย้งเช่นนี้ เจียงโม่ก็พยักหน้า “คำกล่าวของพระชายามีเหตุผล แต่ไม่ทราบว่าในวันนั้น พระชายาได้เสด็จไปใกล้กับจวนองค์ชายรองหรือไม่?”คำถามนี้ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบหากกล่าวว่าไม่ได้ไป ก็มีพยานที่เห็นนางในวันนั้นมากกว่าหนึ่งคน หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่านางจงใจโกหก ก็จะดูเหมือนว่านางกำลังหลบหนีความผิดหากกล่าวว่าไป แต่นั่นก็ยามค่ำคืนแล้ว นางไปทำสิ่งใดล่ะ?ด้านข้าง ซ่างกวนซีเห็นนางไม่ตอบ จึงตัดสินใจตอบแทน “นาง...”“ไปสิ!” เยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างเด็ดเดี่ยวซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองเยี่ยนเว่ยฉือ เขาไม่ได้สั่งให้พ่อบ้านจางสั่งกำชับนางให้ปฏิเสธทั้งหมดหรอกหรือ? แล้วนางเป็นอะไรไปเจียงโม่ก็แสดงสีหน้าแปลกใจไม่แพ้กันเขาเอ่ยถาม “ท่าน... ท
เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก “พะ... พูดอะไรน่ะ? พวกท่านเดาได้กันตั้งแต่ต้นแล้วมิใช่หรือ!”อวี๋เฟยเหยียนฮึดฮัด “เดาได้ก็จริงอยู่ แต่เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน แล้วศิษย์พี่ใหญ่จะปกป้องเจ้าได้อย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองซ่างกวนซี พบว่าเขากำลังจ้องมองนางนิ่ง ๆสายตาที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายทะลุทะลวงนั้น ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่มีที่ให้หลบซ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจำใจกล่าว “ได้ ได้ ข้าจะพูด ข้าเป็นคนทำเอง แต่ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะบานปลายไปถึงขั้นนี้ มีคนตายหรือไม่?”นี่คือสิ่งที่เยี่ยนเว่ยฉือกังวลที่สุดหากเป็นองค์ชายรองซ่างกวนหลีที่ตายก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ที่ทำชั่วย่อมได้รับผลกรรมแต่หากเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตาย นางก็จะกลายเป็นผู้ทำบาปมหันต์ซ่างกวนซีกล่าว “ตามที่เจียงโม่กล่าว มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากการดับเพลิง แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต”เยี่ยนเว่ยฉือตบหน้าอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”“เวลานี้เพิ่งจะรู้จักกลัวหรือ? เจ้ามีฝีมือเก่งกาจนัก น้ำมันตุงมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าไปหามาจากที่ใด?” ซ่างกวนซีซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็ร
บัดนี้ นางกลับเอ่ยถ้อยคำว่า ‘ตัดปีก’ ออกมาได้ ก็ทำให้รู้สึกว่านางมีความคิดลึกซึ้งยิ่งนักหรือว่านางจะเข้าใจเรื่องกลอุบายทางการเมืองด้วย?อวี๋เฟยเหยียนเอ่ยถามเพื่อทดสอบ “หักปีก หมายความว่ากระไร?”เยี่ยนเว่ยฉือหันมามองเขา แล้วเบ้ปากกล่าวว่า “ท่านผู้นี้ รูปโฉมเฉลียวฉลาด แต่เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนี้เล่า? บัดนี้ อันกั๋วกงและพวกซ่างกวนหลีในเมืองหลวงนั้นล้วนมีอำนาจรากลึก ยากจะสั่นคลอน แต่ในโลกนี้มีคำกล่าวว่า ‘ต้นไม้เดี่ยวไม่อาจต้านพายุ’ หากเราไม่สามารถโค่นล้มเขาได้ในคราวเดียว ก็จงค่อย ๆ ตัดกิ่งก้านของเขาออกทีละน้อย จนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ยืนหยัดไม่ได้ แล้วอำนาจในเมืองหลวงก็จะต้องมีการแบ่งขั้วใหม่ มิใช่หรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มหวานมองอวี๋เฟยเหยียน ส่วนอวี๋เฟยเหยียนก็มองซ่างกวนซีด้วยความกังวลซ่างกวนซีลุกขึ้น หยุดยืนตรงหน้าเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”รอยยิ้มของเยี่ยนเว่ยฉือแข็งค้าง!นาง... นางแสดงความฉลาดมากเกินไปจนน่าหวาดระแวงหรือ?ซ่างกวนซีขมวดคิ้วกล่าว “บุตรีอนุที่ไม่เคยได้รับการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เด็กสาวผู้โดดเดี่ยวที่เติบโตมา
ฮวาอวี๋หลบเลี่ยงคำถามของเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วพูดต่อว่า “เรื่องเหล่านี้ แค่สืบถามเล็กน้อยก็รู้แล้ว ไม่ใช่ความลับอะไรเลย มารดาที่ให้กำเนิดซ่างกวนซีนั้นมาจากตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ในเวลานั้นอีกด้วย ในสองแคว้นสี่นคร มีคำเล่าลือกันมาโดยตลอดว่า ผู้ใดได้ตบแต่งสตรีผู้นี้ไว้ในครอบครอง ผู้นั้นจะได้ครองแผ่นดิน”“ดังนั้น ฮ่องเต้คังอู่ถึงได้อภิเษกสมรสกับมารดาของซ่างกวนซีหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือซักถามฮวาอวี๋พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะการอภิเษกสมรสของเหล่าองค์ชาย โดยปกติจะต้องเลือกผู้ที่สามารถสนับสนุนฐานะของตนเองได้ อย่างน้อยก็ต้องเหมาะสมคู่ควรกัน จะไปเลือกหญิงสาวกำพร้าที่ทั้งตระกูลถูกกวาดล้างมาตบแต่งได้อย่างไร?”ความจริงตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในเวลานั้น เหลือเพียงมารดาของซ่างกวนซีเท่านั้นที่มีสายเลือดของตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์และในปัจจุบัน ซ่างกวนซีก็เป็นสายเลือดตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของเยี่ยนเว่ยฉือก็สว่างขึ้น “อ๋อ มิน่าแปลกใจ มิน่าแปลกใจเลยที่ซ่างกวนซีถูกตัดสิน
ฮวาอวี๋หัวเราะเบา ๆ “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อก่อนตระกูลเยวี่ยไม่มีผู้ใดรอดชีวิต พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารจนสิ้นซาก ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเยวี่ยหรอก”“แล้วเจ้าเป็นใคร? เหตุใดต้องมาตามหาข้า?” เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวังฮวาอวี๋ยกมือขึ้นปลดมวยผมของตนออก เยี่ยนเว่ยฉือประหลาดใจเมื่อพบว่าเครื่องประดับหยกที่ฮวาอวี๋ใช้รัดผมนั้นก็เป็นกำไลหยกเช่นกันกำไลหยกเส้นนั้นมีรูปร่างคล้ายกับกำไลสีขาวที่เยี่ยนเว่ยฉือสวมใส่แทบจะทุกประการ ทั้งสองเส้นมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ มีทั้งส่วนที่หนาและบาง ส่วนที่กลมและแบนราวกับทำมาคู่กันอย่างไรอย่างนั้น!เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองฮวาอวี๋ด้วยความประหลาดใจ รอคอยคำอธิบายจากเขาฮวาอวี๋กล่าวต่อ “นี่คือของหมั้นหมายของตระกูลฮวาและตระกูลเยวี่ย เรียกว่า...คู่พรหมลิขิต กิ่งทองใบหยก รักใคร่กลมเกลียว เคียงข้างจนแก่เฒ่า ครองรักชั่วนิรันดร์ นกปี่อี้โบยบินเคียงกัน… กำไลหยกปี่อี้”เยี่ยนเว่ยฉือกระตุกมุมปาก “เจ้าช่างพูดจาเหลวไหลได้ดีเสียจริง ใครกันจะตั้งชื่อได้ยาวเหยียดเพียงนี้!”ฮวาอวี๋ยิ้ม “นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า”“อะไรนะ?!” เยี่ยนเว่ยฉือตกใจจนตัวสั่น
เยี่ยนเว่ยฉือเอ่ยปากว่าไม่เชื่อคำพูดของฮวาอวี๋ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกหวั่นไหวไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ประโยคที่ว่า ‘ตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย’ นั้น ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นางได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเจ้าของร่างเดิมและมารดาผู้ให้กำเนิดเยวี่ยฉงหรงอยู่ด้วยกันมาหกปี ตลอดหกปีนั้น นางแทบไม่เคยเห็นเยวี่ยฉงหรงยิ้มเลยเยวี่ยฉงหรงเป็นคนพูดน้อย พูดมากที่สุดก็คือประโยคนี้ “เว่ยฉือ เจ้าต้องจำไว้ว่าตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย ตระกูลเยวี่ยเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ไม่มีทางเป็นกบฏได้เลย”เยี่ยนเว่ยฉือก้มมองกำไลของตนเอง ความรู้สึกช่างซับซ้อนนางเป็นผู้ที่เดินทางข้ามเวลา เรื่องราวความรักความแค้นเหล่านี้เดิมทีไม่ใช่สิ่งที่นางควรแบกรับ แต่ทุกครั้งที่นางนึกถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาก็ยังรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางตัดสินใจอยู่เคียงข้างซ่างกวนซีบางทีสักวันหนึ่ง นางอาจจะใช้บารมีของซ่างกวนซีเพื่อสืบหาความจริงในคดีของตระกูลเยวี่ย เพื่อให้เยวี่ยฉงหรงได้พักผ่อนอย่างสงบในปรโลกได้“คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของซ่างกวนซีดังขึ้นโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือสะดุ้งโหยงเยี่
มุมปากของเยี่ยนเว่ยฉือกระตุกเล็กน้อย “อ๋อ… ที่แท้ก็เพื่อปกป้องข้านี่เอง”“มิเช่นนั้นเล่า?” ซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองนาง นางคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ?เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะแห้ง ๆ “ปะ… เปล่า ข้าแค่คิด… ข้าแค่คิดว่าข้าพอจะปกป้องตนเองได้อยู่บ้าง ท่านกลับไปนอนในห้องของตนเองเถิด”ซ่างกวนซีไม่สนใจการปฏิเสธของนาง แต่กลับกางแขนออกแล้วพูดว่า “ถอดเสื้อ!”ยังจะให้ข้าถอดเสื้อผ้าให้อีก!เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนซ่างกวนซีเหลือบมองนาง “ยังมัวยืนงงอะไรอยู่อีก?”เยี่ยนเว่ยฉือจำใจต้องเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดของซ่างกวนซีออกการเคลื่อนไหวของนางช้ามากราวกับจงใจถ่วงเวลามือเล็ก ๆ นั้นลูบไล้ไปตามแผ่นอกและเอวของซ่างกวนซีระเรื่อยแผ่วเบา จนซ่างกวนซีรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเขาผลักเยี่ยนเว่ยฉือออกอย่างหงุดหงิด “โง่สิ้นดี”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ก็ข้าไม่ใช่คนที่ถอดเสื้อผ้าให้ชายอื่นบ่อย ๆ จนชำนาญนี่นา จะเงอะแงะทำสิ่งใดไม่ถูกเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? ข้าถนัดขัดขนหมูมากกว่า ท่านอยากจะลองหรือไม่?”มือที่กำลังปลดเสื้อผ้าขอ
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ