“ถูกต้องแล้ว!” อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพูดเสริมเช่นกัน “คนกล่าวว่าเห็นก็เชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ? คนเราหน้าตาคล้ายคลึงกันถมเถ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็อาจบังเอิญคล้ายคลึงกัน อาจมองผิดไปก็ได้!”เจียงโม่ไร้เรี่ยวแรงจะโต้แย้งเขาก็รู้สึกว่าการชี้ตัวขององค์ชายรองนั้นดูจะไร้เหตุผลอยู่บ้าง จึงได้มาสอบถามที่จวนรัชทายาทโดยตรง แทนที่จะนำตัวคนไปที่สำนักตรวจสอบโดยตรงเมื่อได้ยินเยี่ยนเว่ยฉือโต้แย้งเช่นนี้ เจียงโม่ก็พยักหน้า “คำกล่าวของพระชายามีเหตุผล แต่ไม่ทราบว่าในวันนั้น พระชายาได้เสด็จไปใกล้กับจวนองค์ชายรองหรือไม่?”คำถามนี้ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบหากกล่าวว่าไม่ได้ไป ก็มีพยานที่เห็นนางในวันนั้นมากกว่าหนึ่งคน หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่านางจงใจโกหก ก็จะดูเหมือนว่านางกำลังหลบหนีความผิดหากกล่าวว่าไป แต่นั่นก็ยามค่ำคืนแล้ว นางไปทำสิ่งใดล่ะ?ด้านข้าง ซ่างกวนซีเห็นนางไม่ตอบ จึงตัดสินใจตอบแทน “นาง...”“ไปสิ!” เยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างเด็ดเดี่ยวซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองเยี่ยนเว่ยฉือ เขาไม่ได้สั่งให้พ่อบ้านจางสั่งกำชับนางให้ปฏิเสธทั้งหมดหรอกหรือ? แล้วนางเป็นอะไรไปเจียงโม่ก็แสดงสีหน้าแปลกใจไม่แพ้กันเขาเอ่ยถาม “ท่าน... ท
เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก “พะ... พูดอะไรน่ะ? พวกท่านเดาได้กันตั้งแต่ต้นแล้วมิใช่หรือ!”อวี๋เฟยเหยียนฮึดฮัด “เดาได้ก็จริงอยู่ แต่เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน แล้วศิษย์พี่ใหญ่จะปกป้องเจ้าได้อย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองซ่างกวนซี พบว่าเขากำลังจ้องมองนางนิ่ง ๆสายตาที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายทะลุทะลวงนั้น ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่มีที่ให้หลบซ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจำใจกล่าว “ได้ ได้ ข้าจะพูด ข้าเป็นคนทำเอง แต่ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะบานปลายไปถึงขั้นนี้ มีคนตายหรือไม่?”นี่คือสิ่งที่เยี่ยนเว่ยฉือกังวลที่สุดหากเป็นองค์ชายรองซ่างกวนหลีที่ตายก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ที่ทำชั่วย่อมได้รับผลกรรมแต่หากเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตาย นางก็จะกลายเป็นผู้ทำบาปมหันต์ซ่างกวนซีกล่าว “ตามที่เจียงโม่กล่าว มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากการดับเพลิง แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต”เยี่ยนเว่ยฉือตบหน้าอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”“เวลานี้เพิ่งจะรู้จักกลัวหรือ? เจ้ามีฝีมือเก่งกาจนัก น้ำมันตุงมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าไปหามาจากที่ใด?” ซ่างกวนซีซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็ร
บัดนี้ นางกลับเอ่ยถ้อยคำว่า ‘ตัดปีก’ ออกมาได้ ก็ทำให้รู้สึกว่านางมีความคิดลึกซึ้งยิ่งนักหรือว่านางจะเข้าใจเรื่องกลอุบายทางการเมืองด้วย?อวี๋เฟยเหยียนเอ่ยถามเพื่อทดสอบ “หักปีก หมายความว่ากระไร?”เยี่ยนเว่ยฉือหันมามองเขา แล้วเบ้ปากกล่าวว่า “ท่านผู้นี้ รูปโฉมเฉลียวฉลาด แต่เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนี้เล่า? บัดนี้ อันกั๋วกงและพวกซ่างกวนหลีในเมืองหลวงนั้นล้วนมีอำนาจรากลึก ยากจะสั่นคลอน แต่ในโลกนี้มีคำกล่าวว่า ‘ต้นไม้เดี่ยวไม่อาจต้านพายุ’ หากเราไม่สามารถโค่นล้มเขาได้ในคราวเดียว ก็จงค่อย ๆ ตัดกิ่งก้านของเขาออกทีละน้อย จนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ยืนหยัดไม่ได้ แล้วอำนาจในเมืองหลวงก็จะต้องมีการแบ่งขั้วใหม่ มิใช่หรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มหวานมองอวี๋เฟยเหยียน ส่วนอวี๋เฟยเหยียนก็มองซ่างกวนซีด้วยความกังวลซ่างกวนซีลุกขึ้น หยุดยืนตรงหน้าเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”รอยยิ้มของเยี่ยนเว่ยฉือแข็งค้าง!นาง... นางแสดงความฉลาดมากเกินไปจนน่าหวาดระแวงหรือ?ซ่างกวนซีขมวดคิ้วกล่าว “บุตรีอนุที่ไม่เคยได้รับการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เด็กสาวผู้โดดเดี่ยวที่เติบโตมา
ฮวาอวี๋หลบเลี่ยงคำถามของเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วพูดต่อว่า “เรื่องเหล่านี้ แค่สืบถามเล็กน้อยก็รู้แล้ว ไม่ใช่ความลับอะไรเลย มารดาที่ให้กำเนิดซ่างกวนซีนั้นมาจากตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ในเวลานั้นอีกด้วย ในสองแคว้นสี่นคร มีคำเล่าลือกันมาโดยตลอดว่า ผู้ใดได้ตบแต่งสตรีผู้นี้ไว้ในครอบครอง ผู้นั้นจะได้ครองแผ่นดิน”“ดังนั้น ฮ่องเต้คังอู่ถึงได้อภิเษกสมรสกับมารดาของซ่างกวนซีหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือซักถามฮวาอวี๋พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะการอภิเษกสมรสของเหล่าองค์ชาย โดยปกติจะต้องเลือกผู้ที่สามารถสนับสนุนฐานะของตนเองได้ อย่างน้อยก็ต้องเหมาะสมคู่ควรกัน จะไปเลือกหญิงสาวกำพร้าที่ทั้งตระกูลถูกกวาดล้างมาตบแต่งได้อย่างไร?”ความจริงตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในเวลานั้น เหลือเพียงมารดาของซ่างกวนซีเท่านั้นที่มีสายเลือดของตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์และในปัจจุบัน ซ่างกวนซีก็เป็นสายเลือดตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของเยี่ยนเว่ยฉือก็สว่างขึ้น “อ๋อ มิน่าแปลกใจ มิน่าแปลกใจเลยที่ซ่างกวนซีถูกตัดสิน
ฮวาอวี๋หัวเราะเบา ๆ “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อก่อนตระกูลเยวี่ยไม่มีผู้ใดรอดชีวิต พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารจนสิ้นซาก ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเยวี่ยหรอก”“แล้วเจ้าเป็นใคร? เหตุใดต้องมาตามหาข้า?” เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวังฮวาอวี๋ยกมือขึ้นปลดมวยผมของตนออก เยี่ยนเว่ยฉือประหลาดใจเมื่อพบว่าเครื่องประดับหยกที่ฮวาอวี๋ใช้รัดผมนั้นก็เป็นกำไลหยกเช่นกันกำไลหยกเส้นนั้นมีรูปร่างคล้ายกับกำไลสีขาวที่เยี่ยนเว่ยฉือสวมใส่แทบจะทุกประการ ทั้งสองเส้นมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ มีทั้งส่วนที่หนาและบาง ส่วนที่กลมและแบนราวกับทำมาคู่กันอย่างไรอย่างนั้น!เยี่ยนเว่ยฉือจ้องมองฮวาอวี๋ด้วยความประหลาดใจ รอคอยคำอธิบายจากเขาฮวาอวี๋กล่าวต่อ “นี่คือของหมั้นหมายของตระกูลฮวาและตระกูลเยวี่ย เรียกว่า...คู่พรหมลิขิต กิ่งทองใบหยก รักใคร่กลมเกลียว เคียงข้างจนแก่เฒ่า ครองรักชั่วนิรันดร์ นกปี่อี้โบยบินเคียงกัน… กำไลหยกปี่อี้”เยี่ยนเว่ยฉือกระตุกมุมปาก “เจ้าช่างพูดจาเหลวไหลได้ดีเสียจริง ใครกันจะตั้งชื่อได้ยาวเหยียดเพียงนี้!”ฮวาอวี๋ยิ้ม “นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า”“อะไรนะ?!” เยี่ยนเว่ยฉือตกใจจนตัวสั่น
เยี่ยนเว่ยฉือเอ่ยปากว่าไม่เชื่อคำพูดของฮวาอวี๋ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกหวั่นไหวไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ประโยคที่ว่า ‘ตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย’ นั้น ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นางได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเจ้าของร่างเดิมและมารดาผู้ให้กำเนิดเยวี่ยฉงหรงอยู่ด้วยกันมาหกปี ตลอดหกปีนั้น นางแทบไม่เคยเห็นเยวี่ยฉงหรงยิ้มเลยเยวี่ยฉงหรงเป็นคนพูดน้อย พูดมากที่สุดก็คือประโยคนี้ “เว่ยฉือ เจ้าต้องจำไว้ว่าตระกูลเยวี่ยถูกใส่ร้าย ตระกูลเยวี่ยเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ไม่มีทางเป็นกบฏได้เลย”เยี่ยนเว่ยฉือก้มมองกำไลของตนเอง ความรู้สึกช่างซับซ้อนนางเป็นผู้ที่เดินทางข้ามเวลา เรื่องราวความรักความแค้นเหล่านี้เดิมทีไม่ใช่สิ่งที่นางควรแบกรับ แต่ทุกครั้งที่นางนึกถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาก็ยังรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางตัดสินใจอยู่เคียงข้างซ่างกวนซีบางทีสักวันหนึ่ง นางอาจจะใช้บารมีของซ่างกวนซีเพื่อสืบหาความจริงในคดีของตระกูลเยวี่ย เพื่อให้เยวี่ยฉงหรงได้พักผ่อนอย่างสงบในปรโลกได้“คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของซ่างกวนซีดังขึ้นโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือสะดุ้งโหยงเยี่
มุมปากของเยี่ยนเว่ยฉือกระตุกเล็กน้อย “อ๋อ… ที่แท้ก็เพื่อปกป้องข้านี่เอง”“มิเช่นนั้นเล่า?” ซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองนาง นางคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ?เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะแห้ง ๆ “ปะ… เปล่า ข้าแค่คิด… ข้าแค่คิดว่าข้าพอจะปกป้องตนเองได้อยู่บ้าง ท่านกลับไปนอนในห้องของตนเองเถิด”ซ่างกวนซีไม่สนใจการปฏิเสธของนาง แต่กลับกางแขนออกแล้วพูดว่า “ถอดเสื้อ!”ยังจะให้ข้าถอดเสื้อผ้าให้อีก!เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนซ่างกวนซีเหลือบมองนาง “ยังมัวยืนงงอะไรอยู่อีก?”เยี่ยนเว่ยฉือจำใจต้องเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดของซ่างกวนซีออกการเคลื่อนไหวของนางช้ามากราวกับจงใจถ่วงเวลามือเล็ก ๆ นั้นลูบไล้ไปตามแผ่นอกและเอวของซ่างกวนซีระเรื่อยแผ่วเบา จนซ่างกวนซีรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเขาผลักเยี่ยนเว่ยฉือออกอย่างหงุดหงิด “โง่สิ้นดี”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ก็ข้าไม่ใช่คนที่ถอดเสื้อผ้าให้ชายอื่นบ่อย ๆ จนชำนาญนี่นา จะเงอะแงะทำสิ่งใดไม่ถูกเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? ข้าถนัดขัดขนหมูมากกว่า ท่านอยากจะลองหรือไม่?”มือที่กำลังปลดเสื้อผ้าขอ
ทว่ากับเยี่ยนเว่ยฉือ เกรงว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางคงไม่เคยได้รับความใส่ใจใด ๆ จากคนในครอบครัวเลยแม้ไม่รู้ว่านางซ่อนความลับอะไรเอาไว้ หรือไม่อาจล่วงรู้ว่านางร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ มาจากที่ใดก็ตามแต่จนถึงทุกวันนี้ นางก็ยังคอยช่วยเหลือเขา รักษาเขา และไม่เคยทำร้ายเขาไม่ใช่หรือ?ซ่างกวนซีเหลือบมองเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วครุ่นคิดในใจ ‘บางที… ข้าควรจะไว้ใจนางให้มากขึ้น’ซ่างกวนซีเหลือบมองเครื่องนอนในมือ แล้วตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าไปในตู้ จากนั้นก็นอนลงข้าง ๆ เยี่ยนเว่ยฉือเดิมทีเขาคิดว่ามีหมอนกั้นอยู่ตรงกลาง อีกทั้งเยี่ยนเว่ยฉือก็หลับไปแล้ว ทั้งสองคงจะนอนหลับอย่างสงบสุขได้ตลอดคืนแต่ซ่างกวนซีไม่คาดคิดเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะนอนด้วยความกระสับกระส่ายถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางพลิกตัวมากอดหมอนใบนั้นไว้ จากนั้นพลิกตัวไปมาจนหมอนร่วงตกลงจากเตียงด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างคนทั้งสองอีกต่อไปหากต่างคนต่างนอนนิ่ง ๆ เช่นนี้ตลอดคืนก็คงไม่เป็นไรแต่เยี่ยนเว่ยฉือยิ่งหลับลึกขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ย้ายจากหมอนของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวมากอดเขาไว้แทยร่างกายของซ่างกวนซีแข็งทื่อเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้ว