ซ่างกวนซีพยักหน้า กำลังจะสั่งให้อวี๋เฟยเหยียนจากไป แต่จู่ ๆ จางมามาก็เดินเข้ามาทางประตู แล้วกล่าวว่า “ทูลองค์รัชทายาท องค์ชายรองนำข้ารับใช้มายังจวนของพระองค์หลายคน บอกว่าเป็นของกำนัลที่ฝ่าบาททรงโปรดประทานให้”ซ่างกวนซีขมวดคิ้ว “ส่งสายลับมาแล้วสินะ”อวี๋เฟยเหยียนเบ้ปาก “อาจจะมีมือสังหารปะปนอยู่ด้วยก็ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ ให้ข้าช่วยท่านไล่พวกนั้นออกไปเถอะ”ซ่างกวนซีส่ายหน้า “เปล่าประโยชน์ หากปฏิเสธครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที่สอง หากเราปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก็จะถูกอันกั๋วกงกล่าวหาว่าฝ่าฝืนราชโองการ ช่างเถิด ให้พวกเขาเข้ามานั่นแหละ”จางมามาถาม “เช่นนั้น...ให้ หม่อมฉันไปพาพวกเขามาให้ฝ่าบาทพิจารณาดีหรือไม่เพคะ?”ซ่างกวนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าไม่มีเวลาสนใจพวกเขา พาพวกเขาไปให้พระชายาจัดการเถิด”เยี่ยนเว่ยฉือมิได้ปรารถนาจะเป็นพระชายาของเขาหรอกหรือ?ในเมื่ออยากเป็นพระชายา ก็ต้องสามารถจัดการกับปัญหาภายในเรือนได้ซ่างกวนซีอยากจะดูว่า เยี่ยนเว่ยฉือมีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับสัตว์ป่าเหล่านี้หรือไม่จางมามารีบรับคำสั่งแล้วจากไปส่วนอวี๋เฟยเหยียนก็ติดตามออกไปด้วยความตื
“เหอะ เกินไปหรือ? ข้ามาเยี่ยมพี่ชายข้า ตรงไหนที่เรียกว่าเกินเลย?”ปัง! เมื่อซ่างกวนหลีพูดจบ เขาก็เตะเก้าอี้ในห้องตำราจนล้มคว่ำอวี๋เฟยเหยียนโกรธจนอยากจะเข้าไปขวาง แต่ถูกซ่างกวนซีดึงแขนไว้“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่าน...” อวี๋เฟยเหยียนกลืนคำพูดลงคอ เพราะซ่างกวนซีส่ายหน้าให้เขาซ่างกวนหลีเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจวนองค์รัชทายาทที่ทรุดโทรมเช่นนี้ จะมีห้องตำราที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าเสด็จพี่ผู้ขยันหมั่นเพียรของข้า จะตั้งอกตั้งใจทำงานไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม! ใครก็ได้ จัดการทุบทำลายเสียให้หมด!”องครักษ์ของซ่างกวนหลีรีบเข้ามา แล้วทุบทำลายห้องตำราอย่างไร้ความปรานีอวี๋เฟยเหยียนปกป้องซ่างกวนซีไว้ตรงมุมห้อง ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ“หยุดนะ!” เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นจากลานบ้านทุกคนหันไปมอง เห็นเยี่ยนเว่ยฉือเดินเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยวซ่างกวนหลีมองไปที่เยี่ยนเว่ยฉือ แล้วแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยนึกในใจว่า “นางผู้นี้มีรูปโฉมเช่นนี้เอง วันนั้นที่ออกมาจากคุก ผมเผ้ารุงรัง มองไม่ออกว่ามีรูปโฉมอย่างไร ตอนนี้ล้างหน้าล้างตาแล้ว กลับมีรูปโฉมที่งด
ซ่างกวนหลีชักมือกลับอย่างโกรธแค้น ตำหนิว่า “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง รู้หรือไม่ว่าหากคำพูดเหล่านี้แพร่กระจายออกไป ชื่อเสียงของเจ้าก็จะมัวหมอง เจ้ากล้าล่อลวงน้องเขยของตนเอง ไม่กลัวจะถูกโยนเข้าเล้าหมูหรืออย่างไร?”“น่าขันสิ้นดี!” เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะเสียงดัง “ชื่อเสียงนั้นมีทั้งดีและร้ายอดีตคืออดีต บัดนี้สติสตังข้าไม่อยู่กับร่องกับรอย! ข้าเยี่ยนเว่ยฉือ แม้แต่ความตายก็ไม่กลัว แล้วจะกลัวชื่อเสียงมัวหมองไปไย?”“อุ๊บ...” คำพูดนี้ทำให้อวี๋เฟยเหยียนเกือบหัวเราะออกมาแต่เยี่ยนเว่ยฉือยังพูดไม่จบ นางกล่าวต่อ “ท่านหาว่าข้าล่อลวงน้องเขยตนเองงั้นหรือ? ไม่หัดส่องกระจกดูตัวเองเสียบ้าง ท่านมีอะไรให้ข้าจะต้องเปลืองตัวล่อลวง? หน้าตาอัปลักษณ??ของท่าน หรือจิตใจอันต่ำช้าของท่านกัน?”“บังอาจ!” ซ่างกวนหลีโกรธจนพูดไม่ออก เขาไม่เคยเห็นหญิงใดปากร้ายเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวเสียงเย็นชา “ออกไป! ออกไปจากจวนรัชทายาทเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไปตะโกนกลางถนนว่าท่านบุกเข้ามาในจวนของข้าแล้วข่มขืนข้า! ข้าเยี่ยนเว่ยฉือแม้ตายก็ไม่กลัว ว่าแต่ท่านเถอะ ซ่างกวนหลี หน้าท่านหนาขนาดนั้นหรือไม่?”เยี่ยนเว
เยี่ยนเว่ยฉือพูดจบก็เดินออกไปนอกประตูอวี๋เฟยเหยียนเห็นดังนั้นก็รีบพูดว่า “เอ๋? พี่สะใภ้ เจ้าจะไปไหน อย่าได้ทำลายชื่อเสียงตัวเองบนถนนเชียวนะ”เยี่ยนเว่ยฉือไม่สนใจ เดินจากไปอย่างรวดเร็วอวี๋เฟยเหยียนหันไปมองซ่างกวนซีอย่างเป็นกังวล แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เราต้องออกไปดูสักหน่อยแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่ได้พูดเล่น”ซ่างกวนซีตอบอย่างเฉยชา “มีปัญญาก่อเรื่อง ก็ต้องมีปัญญายุติเรื่อง”กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่สนใจเลย!อยากรู้เช่นกันว่าเยี่ยนเว่ยฉือมีฝีมือเพียงไหน!“โอ๊ย ท่านไม่ไปก็ช่างเถอะ ข้าไปดูเองก็ได้ ประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจริง ๆ” อวี๋เฟยเหยียนวิ่งตามออกไปด้วยความไม่สบายใจซ่างกวนซีหันมองตามทิศทางที่ทั้งสองคนหายลับสายตาไปพลางครุ่นคิดนึกถึงคำพูดสุดท้ายของเยี่ยนเว่ยฉือ ‘ข้าเยี่ยนเว่ยฉือ ในชีวิตนี้ ข้ากล้ำกลืนได้ทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมเสียเปรียบเด็ดขาด! ข้าทนได้ทุกเรื่อง แต่จะไม่ทนให้ใครมาข่มเหง!’ซ่างกวนซีขมวดคิ้ว “น่าแปลก นางพูดเช่นนี้ได้อย่างไร อดีตของนางบ่งชัดว่านางกล้ำกลืนความทุกข์และความคับแค้นใจมาสิบหกปีเต็มแล้วมิใช่หรือ?”ใช่แล้ว เยี่ยนเว่ยฉือนอนอยู่ในเล้าหมูมาสิบหกปี
ซ่างกวนซีนั่งตัวตรงอยู่ข้างหน้า มองดูอวี๋เฟยเหยียนที่เริ่มทานอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รออาหารมาวางให้ครบก่อน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “พวกเจ้าออกไปข้างนอกกันมาทั้งวัน ไม่ได้กินอะไรเลยหรือ?”อวี๋เฟยเหยียนพูดออกมาทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในปาก “ไม่! พวกเราไปข้างนอกกันมาทั้งวันก็จริง แต่มีแค่ข้าคนเดียวที่ยังไม่ได้กินอะไร ส่วนนางน่ะกินนั่นกินนี่ไม่หยุดเลย!”อวี๋เฟยเหยียนกลืนอาหารพลางพูดต่อ “เกาลัดคั่วน้ำตาล ขนมแปดขุมทรัพย์ พุทรายัดไส้แป้งข้าวเหนียว มันฮ่อเคลือบอำพัน...ปากเคี้ยวนั่นนี่ตลอดทาง ท่านก็ดูสิ นางกลับมาถึงก็ตรงดิ่งไปที่เรือนไม่กินข้าวเลยด้วยซ้ำ”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีแต่ของหวานทั้งนั้นนี่”อวี๋เฟยเหยียนสะดุ้งโหยง จากนั้นก็พยักหน้า “ใช่ พวกสาว ๆ ก็ชอบกินของว่างกันแบบนี้ทั้งนั้น”“แต่จะไม่กินข้าวไม่ได้!” ซ่างกวนซีขมวดคิ้วและพูดทันที “จางมามา เจ้า…”ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค ซ่างกวนซีก็หยุดชะงักเขาพบว่าตนเริ่มเป็นห่วงสุขภาพของเยี่ยนเว่ยฉือเข้าแล้วนี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางพูดเปลี่ยนเรื่อง “ตักน้ำแกงมาให้เฟยเหยียนสักชามเถิด”อวี๋เฟยเหยียนรีบ
ซ่างกวนซีทำอะไรไม่ถูก เพราะสาเหตุหลักมาจากท่าทางของเยี่ยนเว่ยฉือที่ทำราวกับเห็นโจรโรคจิตซ่างกวนซีขมวดคิ้ว ไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ เขาจึงทำเป็นใจสู้พูดตอบอย่างเย็นชา “ข้าไม่ควรอยู่ตรงนี้รึ?”เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้างและพูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า? ก็นี่มันห้องของข้านี่!”ซ่างกวนซีตอบอย่างไม่แยแส “ที่นี่คือจวนองค์รัชทายาท ข้าเป็นองค์รัชทายาท และเจ้าก็เป็นชายาองค์รัชทายาท การที่สามีภรรยาอยู่ห้องเดียวกันมันผิดตรงไหนหรือ?”“หา? เอ่อ…” เยี่ยนเว่ยฉือได้ยินสิ่งที่ทำให้พูดไม่ออกแต่...แต่หมอนี่ไม่ใช่ว่ากำลังหลบหน้านางหรอกหรือ?เยี่ยนเว่ยฉือมีท่าทีอึดอัด คิดอยากเอ่ยปากไล่อีกฝ่าย แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรซ่างกวนซีสังเกตอีกฝ่ายด้วยความสนใจใคร่รู้ จนเขาได้ค้นพบว่าเยี่ยนเว่ยฉือคนนี้…ดูเหมือนจะเป็นเพียงเสือกระดาษดูเหมือนนางจะสนใจบุรุษที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ได้เป็นพิเศษเมื่อคิดได้ดังนั้น ซ่างกวนซีก็เลิกคิ้วแล้วเดินตรงไปที่เตียงเขากางแขนออกแล้วพูดว่า “ถอดเสื้อให้ข้า!”ถอดเสื้อ?!เยี่ยนเว่ยฉือมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง พลางคิดว่าตนได้ยินผิดไปหมอนี
“อึก!” ขณะที่กำลังครุ่นคิด ซ่างกวนซีก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกเขากุมหน้าอกโดยอัตโนมัติ แต่ก็มีชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาพิษกู่เย็นกำเริบแล้ว!ขณะที่ซ่างกวนซีกำลังกำหนดลมหายใจส่งพลังปราณไปที่จุดจุดเดียว เขาก็พูดกับตัวเองในใจว่า ‘อาการกำเริบเกิดขึ้นถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นจริงดังที่ท่านอาจารย์พูดเอาไว้ หากไม่มีมัจฉาทองคำจิ่วหยาง เราก็คงมีอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปีสินะ?’ซ่างกวนซีใช้วิชาสหัสเหมันต์ เพื่อขับไล่ไอหนาวออกจากร่างกายไอหนาวนั้นค่อย ๆ ควบแน่นเป็นน้ำแข็งเกาะตัวอยู่ตามร่างกายของเขา ทำให้เขากลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหมดสติ ความคิดแปลก ๆ ก็แวบขึ้นมาในหัวของซ่างกวนซี“ดีแล้ว โชคดีแล้วที่วันนี้นางปฏิเสธเรา ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ก็ถือว่าดีไป สักวันหนึ่งหากนางได้พบกับคนที่รักก็จะได้แต่งงานออกเรือนไปอย่างมีความสุข” ซ่างกวนซีค่อย ๆ หลับตาและตกอยู่ในสภาวะไร้สติ……เช้าวันรุ่งขึ้น“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ตื่นสิ ศิษย์พี่!”“ศิษย์พี่ใหญ่ ตื่นเถอะ!”เสียงเรียกของอวี๋เฟยเหยียนและเย่เทียนซูดังเข้ามาในโสตประสาทซ่างกวนซีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองทั้งสองคนด
เย่เทียนซูขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าจะกลับไปเพิ่มรางวัลตอบแทน ปล่อยข่าวไปทั้งใต้ดินบนดิน พวกเขาต้องหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอภายในหนึ่งปีอย่างแน่นอน ศิษย์พี่ หากครั้งหน้าท่านอาการกำเริบอีก ท่านต้องแจ้งให้พวกเราทราบ พวกเราสองคนจะได้ทำการถ่ายพลังปราณแต่กำเนิดให้ท่าน ท่านจะได้สามารถควบคุมวิชาสหัสเหมันต์ ได้ดีขึ้น”อวี๋เฟยเหยียนก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “ใช่แล้ว! ศิษย์พี่ ที่ท่านอาจารย์สั่งให้พวกเราลงจากเขามากับท่าน ไม่ใช่เพื่อปกป้องท่านหรอกรึ ท่านจะเกรงใจพวกเราไปทำไมเล่า?”ซ่างกวนซียิ้มและพยักหน้าเขาไม่ได้เกรงใจ แต่เขากลัวว่าจะบอกไม่ทันการกำเริบระยะต้นของพิษกู่เย็นนั้นมีลำดับขั้น แต่ในช่วงหลายปีมานี้กลับตรงกันข้ามยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่อาการกำเริบ เขาก็ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ทันท่วงที และรับมือไม่ทันอยู่ร่ำไปดูเหมือนว่าพิษนี้จะซึมลึกเข้าไปในอวัยวะภายในแล้วเพื่อไม่ให้ศิษย์น้องทั้งสองของเขาต้องกังวล ซ่างกวนซีจึงตอบรับ “ได้ คราวหน้าข้าเรียกพวกเจ้าแน่นอน”“ทูลองค์รัชทายาท มีคนมาที่จวนอีกแล้วเพคะ” เสียงของจางมามาดังขึ้นที่หน้าประตูซ่างกวนซีกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ซ่างกวนหลีมาส่งคนรับใช้แต่ก็ล้มเ
โดยไม่รอให้หานอวี่เฟยเอ่ยตอบ เยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยปาก “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านหญิงอิ๋นตาง ท่านดูสิ แม้แต่ท่านกั๋วกงก็คิดว่าท่านจะแพ้ ยังจะกล้าเสี่ยงอีกหรือ?”“เหลวไหล! ใครบอกว่าข้าจะแพ้? ข้าจะแพ้ให้กับนางชั้นต่ำที่เลี้ยงหมูงั้นรึ? หึ! ประชันก็ประชัน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน ในเมื่อเจ้าต้องการเดิมพันที่ยิ่งใหญ่จากข้า เช่นนั้นข้าก็จะเพิ่มเดิมพันขึ้นไปอีก!”หานอวี่เฟยเป็นคนอารมณ์ร้อนไร้สมอง คำยั่วยุของเยี่ยนเว่ยฉือ เมื่อใช้กับนาง ออกแรงเพียงนิดก็ได้ผลเกินคาดเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มมองนาง “ได้ เช่นนั้นก็ลองว่ามา”หานอวี่เฟยเหลือบมองเยี่ยนเว่ยฉือ คิดแล้วเอ่ยต่อ “เดิมทีข้ายังคิดจะให้ตำแหน่งชายารองแก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าท้าทายข้า เช่นนั้นหากเจ้าแพ้ ก็จงไสหัวออกจากจวนรัชทายาทไป กลับไปยังไร่นาของเจ้า ชั่วชีวิตนี้ต้องเลี้ยงหมู ห้ามแต่งงานกับผู้ใด! ข้าจะให้เจ้าอยู่ตัวคนเดียวจนแก่เฒ่า! หึ!”คำพูดนี้ดังขึ้น อวี๋เฟยเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเขาเอ่ยเตือน “นี่ … พี่สะใภ้ ท่านไม่ถามก่อนหรือว่าจะประชันอะไร?”เขาเองก็กลัวว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะแพ้ไม่เพียงแต่จะสูญเสียชีวิตในภายภาคหน้าของตนเอง แต่ยังสูญเส
ฮ่องเต้คังอู่ อันกั๋วกง ซ่างกวนซี ฉินเซียงหรู...เหล่าคนฉลาดที่อยู่ในที่นี้ ล้วนเข้าใจว่าเยี่ยนเว่ยฉือกำลังวางแผนทุกคนต่างหันไปมองนางแต่ไม่ว่าจะเป็นอ๋องจ่างซิ่น หรือท่านหญิงอิ๋นตาง หานอวี่เฟย ล้วนไม่ใช่คนฉลาดหานอวี่เฟยขมวดคิ้วทันที “ผลประโยชน์? เจ้าต้องการอะไร? ทองคำหมื่นตำลึง? อิสรภาพ? หรือข้าจะหาบุรุษที่มีชาติตระกูลดีๆ ให้เจ้า แล้วช่วยให้เจ้าได้แต่งเป็นภรรยาเอก? เจ้าต้องการอะไรก็เอ่ยมา!”“ไม่ว่าข้าต้องการอะไร ท่านหญิงอิ๋นตางก็สามารถให้ได้งั้นหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือยั่วยุ“หึ! แน่นอนอยู่แล้ว มีท่านพ่อของข้าอยู่ ในเมืองหลวงนี้ ข้าต้องการอะไรก็ย่อมได้!” คำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนต่างก็หันไปมองฮ่องเต้คังอู่เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้คังอู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่พอใจอันกั๋วกงกุมอำนาจทางการปกครอง อ๋องจ่างซิ่นกุมอำนาจทางการทหารทั้งสองคนล้วนกุมอำนาจคนละฝ่าย หากร่วมมือกันก็สามารถล้มล้างฮ่องเต้คังอู่ได้แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งต่อหน้าหรือลับหลังอันกั๋วกงก็ยังคงทำตามธรรมเนียม ไม่บังอาจล่วงเกินฝ่าบาทแต่อ๋องจ่างซิ่นกลับโอหังยิ่งนักดูสิ แม้แต่บุตรสาวของเขาก็ยังบังอาจพูดจาโอหัง
“ดีตรงไหน? นางดีกว่าข้าตรงไหน?” หานอวี่เฟยพูดจาโอหัง ตะโกนถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราดอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นที่นั่งชมอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็เอ่ยยิ้ม ๆ “ดีตรงไหน เช่นนั้นก็ต้องแข่งกันกันดู ในฐานะพระชายาองค์รัชทายาท คงมิใช่ว่าจะไม่มีความกล้าที่จะรับคำท้ากระมัง? หากไม่กล้ายอมรับคำท้า เช่นนั้นก็ด้อยกว่าท่านหญิงอิ๋นตางจริง ๆ แล้ว”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเห็นดังนั้นก็พยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราชาวเป่ยอิ้น สตรีล้วนกล้าที่จะแย่งชิงบุรุษที่ตนเองหมายปอง ท่านหญิงอิ๋นตางไม่ว่าจะความกล้าหาญหรือความองอาจล้วนไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ ไร้ซึ่งท่าทางของสตรีในห้องหอ”บอกว่านางไร้ซึ่งท่าทางของสตรีในห้องหอ เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเยี่ยนเว่ยฉือมีท่าทางของสตรีในห้องหอเช่นนั้นสิ?ซ่างกวนหลีก็ร่วมวงหยอกเย้า อย่างไม่กลัวเรื่องใหญ่โต เอ่ยพลางยิ้มกว้าง “องค์ชายสามตรัสได้ถูกต้อง เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าคงไม่ขี้ขลาดหรอกกระมัง? เจ้าเก่งกาจนักมิใช่หรือ?”อันกั๋วกงที่นั่งอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว ส่งสายตาตำหนิไปยังซ่างกวนหลี สีหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เขาเติมเชื้อไฟในเรื่องนี้แต่ซ่างกวนหลีมุ่งแต่อยากจะเห็นอีกฝ่ายอับอาย ต้องการเห็นซ่างกว
เห็นได้ชัดว่าหานอวี่เฟยไม่เต็มใจนางขมวดคิ้วกล่าว “ฝ่าบาท ราชทูตจากเป่ยอิ้นมาก็เพื่อการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์มิใช่หรือ? เรื่องนี้ต้องตัดสินกันภายในวันนี้ มิเช่นนั้นหากองค์หญิงห้าเลือกเสด็จพี่องค์รัชทายาท หม่อมฉันก็คงหมดโอกาส องค์หญิงที่มาเชื่อมสัมพันธ์ไม่อาจเป็นอนุได้ หากนางได้เป็นพระชายารัชทายาท แล้วหม่อมฉันจะทำอย่างไร?”“เฟยเอ๋อร์ อย่าเอาแต่ใจ!” อ๋องจ่างซิ่นเอื้อมมือไปดึงบุตรสาวของตน ต้องการให้นางกลับไปนั่งที่แต่ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตและแข็งแรงของนาง ร่างกายที่หนักสองร้อยจินนั้นทำให้อ๋องจ่างซิ่นดึงไม่ไหว!อันกั๋วกงที่อยู่ข้าง ๆ ดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน พลางหัวเราะ “โอ้ อ๋องจ่างซิ่น ท่านจะดึงนางด้วยเหตุใด คำพูดของท่านหญิงก็มีเหตุผลอยู่บ้าง!”อ๋องจ่างซิ่นเหลือบมองอันกั๋วกง จากนั้นมองไปยังบุตรสาวของตนที่ยืนกรานอย่างหนักแน่น ก่อนถามอย่างจนปัญญา “เฟยเอ๋อร์ เจ้าจะไม่แต่งกับคนอื่นนอกจากเขาใช่หรือไม่?”หานอวี่เฟยพยักหน้า “ถูกต้อง ท่านพ่อ ข้าชอบเสด็จพี่องค์รัชทายาทมาตั้งแต่ยังเล็ก ท่านก็รู้ ข้าต้องอภิเษกกับเขาให้ได้!”หานอวี่เฟยหันไปมองซ่างกวนซี ราวกับต้องการเห็นการสนับสนุนจากสีหน้าของเขา
“ความคิดดี!” หานอวี่เฟยอุทานเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันทีเยี่ยนชิงซูตัวแข็งทื่อ แทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้น หลบหนีจากสายตาของทุกคนพี่ญิงลูกพี่ลูกน้องของนาง เหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เรื่องแบบนี้ควรพูดกันเป็นการส่วนตัว เหตุใดต้องตะโกนออกมาดัง ๆ เช่นนี้ด้วย!อ๋องจ่างซิ่นที่อยู่ข้าง ๆ เห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะถาม “เกิดอะไรขึ้น? ความคิดที่ดีอะไร?”หานอวี่เฟยเอ่ยปากทันที “ท่านพ่อ! ข้าอยากอภิเษกกับองค์รัชทายาท ท่านพ่อช่วยทูลขอพระราชทานการอภิเษกสมรสจากฝ่าบาทด้วย”หานอวี่เฟยพูดโดยไม่มีความเกรงใจ ทั้งยังไม่ได้ลดระดับเสียงแม้แต่น้อยกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคนได้ยินคำขออันเหลือเชื่อของนางกันถ้วนทั่วทุกคนตกตะลึง คิดว่าตนเองหูฝาดมีสตรีที่ไหนกันที่กล้าตะโกนต่อหน้าธารกำนัลว่าตนเองต้องการแต่งงานกับใคร?อีกทั้งคนที่นางหมายปอง ยังเป็นบุรุษที่มีภรรยาแล้วอีกด้วย!อ๋องจ่างซิ่นจ้องมองบุตรสาวของตนอย่างงุนงง ขยิบตา แล้วจ้องเขม็งอีกครั้งไม่ผิดแน่ นางปกติดีทุกอย่าง แล้วเหตุใดคำพูดที่พูดออกมาถึงได้เหลือเชื่อเช่นนี้?ชายาอ๋องจ่างซิ่นรีบดึงมือบุตรสาว “เฟยเอ๋อร์ อย่าพูดจาเ
เป็นดังคาด ทันทีที่นางหันไปก็เห็นซ่างกวนซีมองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่งเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มแหย ๆ อย่างกระอักกระอ่วน กำลังจะวางถ้วยชาลง ก็เห็นซ่างกวนซีดึงมืออีกข้างของนางขึ้นมาอุณหภูมิอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาส่งผ่านไปยังมือของเยี่ยนเว่ยฉือเหงื่อเย็นที่มือของนางแห้งเหือดไปในพริบตาแม้ซ่างกวนซีจะไม่พูดอะไรสักคำ แม้กระทั่งในแววตาของเขาจะไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อยแต่เยี่ยนเว่ยฉือก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกปลอบโยนจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาเขากำลังบอกนางว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล สบายใจได้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกซาบซึ้งใจ จึงกางนิ้วออกสอดประสานเข้ากับนิ้วของซ่างกวนซี จับมือนั้นไว้แน่นซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย ก้มลงมองมือของคนทั้งสอง จากนั้นก็ปล่อยให้นางทำเช่นนั้นเพราะเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกพึ่งพาของเยี่ยนเว่ยฉือเด็กสาวที่ฉลาดแกมโกง อยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายในที่สุดก็มีวันที่เริ่มพึ่งพาเขาแล้วซ่างกวนซีค่อย ๆ ยกนิ้วชี้ขึ้น เคาะลงบนหลังมือของเยี่ยนเว่ยฉือสามครั้งเยี่ยนเว่ยฉืองุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้ม เพราะนางคิดว่าการเคาะสามครั้งนั้นหมาย
“จริงหรือเท็จ? อัศจรรย์อะไรเยี่ยงนี้?” อ๋องจ่างซิ่นแสดงความไม่เชื่ออันกั๋วกงก็เอ่ยปาก “ปิ่นหางหงส์ถูกฝังอยู่ใต้ดินมาหลายปี ยังจะมีสรรพคุณนี้เหลืออยู่หรือ? อีกอย่าง เพียงแค่สัมผัสเบา ๆ แล้วคนผู้นั้นกลับไปก็ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย จะยังคงหลงเหลือสรรพคุณของดอกหางหงส์อยู่ได้อย่างไร?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นพยักหน้า “เดิมทีพวกเราก็สงสัยเงื่อนงำนี้ว่าจะสามารถใช้พิสูจน์ได้หรือไม่ จึงได้ซื้อเถาเหลยกงมาเล็กน้อย แล้วลองทดสอบ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นก็หันไปพยักหน้าให้นางกำนัลที่อยู่ข้างกายทุกคนจำนางกำนัลคนนั้นได้ ก็คือนางกำนัลที่เพิ่งถือปิ่นนั้นทุกคนเห็นนางหยิบถ้วยชาต่อหน้าอวี้ฉืออวิ๋นจิ่น จากนั้นหยิบผงบางอย่างออกมาแล้วเทลงในถ้วยชาอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นอธิบาย “นี่คือเถาเหลยกงตากแห้ง จากนั้นนำมาบดเป็นผง”นางกำนัลเทผงลงในน้ำชาแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นใช้นิ้วจุ่ม แล้วทาลงบนฝ่ามือสุดท้ายก็กางฝ่ามือออก ให้ทุกคนดูแน่นอนว่ามีผื่นแดงปรากฏบนฝ่ามือขาวซีดแต่เดิมด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านางกำนัลขมวดคิ้วเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะคันจนทนไม่ไหวอันกั๋วกงตกใจจนยืดตัวตรง จ้องมองมือของตน
อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวและอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นพยักหน้าพร้อมกันอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเอ่ยปาก “ใช่แล้วเพคะ วันนั้นปิ่นปักผมทั้งสองอันสวมอยู่บนศีรษะของนาง แต่ระหว่างการต่อสู้ ทำร่วงหล่นไปหนึ่งอัน”“สารเลว สมบัติของอดีตฮองเฮา พวกมันมีสิทธิ์ใช้ได้อย่างไร? จับพวกมันมาให้ข้า! จับทั้งสองคนมาแล้วลงโทษประหารห้าม้าแยกร่าง!”ลำคอของเยี่ยนเว่ยฉือตึงแน่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากทันใดนั้นนางก็เข้าใจจุดประสงค์ของชาวเป่ยอิ้นพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมอบคัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษรให้เป็นของกำนัลแก่แคว้นหลีพวกเขาเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากอำนาจของแคว้นหลี่ เพื่อค้นหาฮวาอวี๋ในเมืองหลวงแต่พวกเขาก็กังวลว่าแคว้นแคว้นหลีทุ่มเทไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงนำปิ่นหงส์ออกมา เพื่อให้ฮ่องเต้คังอู่ทราบว่าฮวาอวี๋ไม่เพียงแต่ปล้นสุสานหลวงของเป่ยอิ้น แต่ยังปล้นสุสานหลวงของแคว้นหลีด้วยด้วยวิธีนี้ ฮ่องเต้คังอู่จะทรงพิโรธ และจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุ่มเทกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่เหตุผลนั้นถูกต้อง แต่ชาวเป่ยอิ้นมีปิ่นอยู่ในมือได้อย่างไร?ปิ่นปักผมคู่เล็ก ๆ ที่นางซื้อมา เห็นชัดว่าเลือกซื้อจากโรงรับจำนำหรือว่าผู้บงการเบื้องหลังโรงรับจำนำ
“จะให้ข้าระงับโทสะได้อย่างไร? แม้แต่สุสานหลวงก็ดูแลไม่ได้ เช่นนั้นจงประหารองครักษ์ที่ดูแลสุสานหลวงทั้งหมด!” ฮ่องเต้คังอู่ทรงพระพิโรธยิ่งนัก!ยิ่งพระองค์ทรงพระพิโรธ ฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเพราะทุกคนรู้ดีว่า ฮ่องเต้คังอู่ทรงพระพิโรธเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะทรงอาลัยรักอดีตฮองเฮาอย่างแน่นอนเมื่อซ่างกวนซีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า “เสด็จพ่อ โปรดอนุญาตให้ลูกนำทหารไปตรวจสอบสุสานหลวงด้วยตนเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”นั่นเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระมารดา เขาไม่ไปดู จะวางใจได้อย่างไรเรื่องนี้มอบหมายให้ซ่างกวนซี ย่อมเหมาะสมที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ซ่างกวนซีประหลาดใจก็คือ ฮ่องเต้คังอู่ไม่อนุมัติฮ่องเต้คังอู่ทรงปฏิเสธ “มิได้ ให้กงไห่ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารหลงฉี นำทหารม้าสามพันนายไปยังสุสานหลวง”ทหารม้าสามพันนาย?นี่เพียงพอที่จะสังหารองครักษ์ที่ดูแลสุสานหลวงทั้งหมดลงได้เชียวนะทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเอ่ย ทุกคนรู้ดีว่า ฮ่องเต้คังอู่ทรงพระพิโรธจริง ๆ!หลังจากทรงมีพระราชโองการ ฮ่องเต้คังอู่ก็ทรงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงทรงหยิบปิ่นปักผมหงส์ทองคำขึ้นมาอย่างระมัดระวังทรงวางปิ่นปักผมไว้ตรงหน