ฝูกวงเห็นดังนั้นจึงเตะหมิงตาวจนกระเด็น ก่อนจะสะบัดกระบี่โหรวฉางพันรอบข้อเท้าของพั่วจวิน พั่วจวินเห็นดังนั้นจึงรีบหมุนตัวกลางอากาศ แก้พันธนาการจากกระบี่โหรวฉาง หากเขาแกะกระบี่โหรวฉางไม่ออก ขาของเขาคงถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเขาแกะกระบี่โหรวฉางออกได้ ร่างกายของเขากลับร่วงลงสู่พื้นอย่างแรง ไม่อาจลุกขึ้น “ข้า... เหตุใดข้าจึงระบายลมปราณไม่ได้”พั่วจวินไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่พอเขาพูดจบ หมิงตาวก็ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง ยันกระบี่กับพื้นจึงประคองร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนฝูกวงก็ถอยหลังไปพิงต้นไม้ใหญ่ มือข้างหนึ่งจับลำต้นเอาไว้ ในชั่วพริบตา กำลังภายในของทั้งสามก็หายไปราวกับโดนดูดออก หมิงตาวเอ่ยอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา?”เยี่ยนเว่ยฉือกลอกตาแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขยับตัวไม่ได้แล้วยังจะถามอีก โดนพิษน่ะสิ เจ้าโง่เอ๊ย!”โดนพิษหรือ?ฝูกวงเหลือบมองไปที่กระถางธูปที่เยี่ยนเว่ยฉือเพิ่งจุด จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็น “แยบยลยิ่งนัก”พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่ากระถางธูปมีพิษ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครเห็นว่าเยี่ยนเว่ยฉือถือกระถางธูปอยู่ และไม่มีใครทันเห็นนางจุดธูป แน่นอนว่าพว
ฉับพลัน! เยี่ยนเว่ยฉือหยิบตะเกียงไฟขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงสว่างวาบขึ้น ทว่าทันใดนั้น เสียงของซ่างกวนซีก็ดังมาจากนอกห้อง“เว่ยฉือ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบปีนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วขอให้รอดพ้นเถิด! ชุดแฝงตัวของนางยังไม่ได้เปลี่ยนเลย!เหตุใดซ่างกวนซีจึงมาหาขณะนี้?เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที เยี่ยนเว่ยฉือไม่อาจคิดมากได้ จึงรีบคลุมผ้าห่มทั้งผืนห่อตัวไว้เสียงไม้กระทบกันดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูห้องถูกเปิดออกซ่างกวนซีในชุดประจำตำแหน่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม“ฝะ… ฝ่าบาท...” เยี่ยนเว่ยฉือตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลอาบกายซ่างกวนซีมองนางด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถาม“ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้า เห็นว่าห้องเจ้าสว่างจึงแวะมาดู วันนี้เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”ซ่างกวนซีถามด้วยความห่วงใย เดินไปที่เตียง ยื่นมือไปวัดไข้ที่หน้าผากนางเยี่ยนเว่ยฉือหลบอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากให้ซ่างกวนซีสัมผัสถูกเหงื่อเย็นบนหน้าผากเยี่ยนเว่ยฉือตอบด้วยความประหม่าและอึดอัด “ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไร ข้าเพียงแต่กระหายน้ำ จึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำเท่านั้น”ซ่างกวนซีหันไปมองโต๊ะ
จวนองค์รัชทายาทปูด้วยอิฐสีเขียว ไม่อาจมีรอยเท้าโคลนได้รอยเท้าเช่นนี้ แสดงว่ามีผู้ไปยังสถานที่ที่เปื้อนโคลนแล้วกลับมาและบุคคลนั้น… ก็คือเยี่ยนเว่ยฉือที่อ้างว่าตนนอนเปลือยเปล่าซ่างกวนซีมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เปิดโปงคำโกหกที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของนาง แต่ก้าวเดินไปเข้าเฝ้า…… เมืองหลวง โรงเตี๊ยมที่ห่างไกลหลังเที่ยงวัน พิษในร่างกายของพั่วจวินก็สลายไป เขากลับมายังโรงเตี๊ยมที่พี่น้องจากเป่ยอิ้นพักอาศัยอยู่เมื่อเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงถามขององค์หญิงแห่งเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจิ่น“ตลอดทั้งเช้า เจ้าหายไปไหนมา?”พั่วจวินตอบด้วยความเคารพ “ทูลองค์หญิง เมื่อคืนนี้กระหม่อมพบปัญหาเล็กน้อย เฉี่ยงหวู่ถูกสังหาร กระหม่อมไล่ตามฆาตกร ต่อสู้กับเขาตลอดคืน”“อะไรนะ?” อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นผุดลุกขึ้น “เฉี่ยงหวู่ตายแล้วหรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ใครฆ่าเฉี่ยงหวู่?”พั่วจวินกล่าวต่อ “เป็นฝูกวงแห่งศาลาจิ่วโยวพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝูกวง?” สองพี่น้องต่างส่งเสียงด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าต่างประหลาดใจอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวกล่าว “ฝูกวงไม่ได้ปรากฏตัวมาสามปีแล้ว ในยุทธภพต่างกล่าวกั
พั่วจวินกราบทูล "เรื่องราวโดยละเอียด กระหม่อมยังสืบเสาะได้ไม่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อคืนวาน นางน่าจะไปล้างแค้นลู่อู๋ พระชายาผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามและฝีมือร้ายกาจ เล่นงานลู่อู๋จนไม่อาจตอบโต้ได้ เกือบจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว!"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "ข้าได้ยินมาว่าซ่างกวนซีกลับเมืองหลวงก็แต่งงานกับหญิงเลี้ยงหมูอย่างลับ ๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่านางผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่ลู่อู๋ที่อยู่ในอันดับสี่ของบัญชีอู๋ซินยังมิอาจเป็นคู่มือของนาง?"พั่วจวินครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อคืนเขาไม่ได้เห็นเยี่ยนเว่ยฉีลงมือกับตาเยี่ยนเว่ยฉีปราบลู่อู๋ได้อย่างไร เขาก็ไม่อาจทราบได้แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ชัดเจน"ฝ่าบาท พระชายาผู้นั้น นางชำนาญด้านพิษพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อคืนวาน..." พูดถึงตรงนี้ พั่วจวินก็มีสีหน้าละอายใจ"เจ้าพลาดท่าเสียทีแก่นางเช่นกันรึ?" อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเอ่ยถามพั่วจวินพยักหน้า กราบทูลเรื่องราวการต่อสู้ที่บ้านร้างเมื่อคืนวานตามความเป็นจริงอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวสูดหายใจเข้าลึก ๆ "ซ่างกวนซีคนเดียวก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว ไม่นึกเ
อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว ทหารองครักษ์เมืองหลวงทั้งกองทัพเสินอู่ เสินเช่อ หลงอู่ และหลงฉี ล้วนเป็นขุนพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋อง ข่าวสารของท่านอ๋องจะช้ากว่าข้าได้อย่างไร!""เจ้าหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าข้าสมคบคิดกับชาวเป่ยอิ้นรึ?" อ๋องจ่างซิ่นโกรธจนหนวดเคราขยับอันกั๋วกงยิ้ม "นั่นคงไม่ใช่ ท่านอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินมาโดยตลอด เพียงแต่เกรงว่า… อาจมีคนปิดบังเบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงประชดประชัน ทำให้อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะมองค้อนเขาฮ่องเต้คังอู่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์เห็นทั้งสองโต้เถียงกันก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแต่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า "พอแล้ว พอแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย ในเมื่อเป่ยอิ้นมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ได้มาประกาศสงคราม พวกเราก็ต้อนรับเขาด้วยไมตรีจิตก็พอ"เอ่ยจบ สายตาของฮ่องเต้คังอู่ก็กวาดมองเหล่าขุนนาง สุดท้ายก็มาหยุดที่ซ่างกวนซี "ชูจิ่ง งานราชการในท้องพระโรงด้านอื่นๆ เจ้าคงไม่ถนัด เช่นนั้นเรื่องต้อนรับคณะทูตจากเป่ยอิ้นก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน"สิ้นสุรเสียง ทุกคนก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองซ่าง
“ไม่อาจอภิเษกได้ แต่ไม่ใช่เพราะองค์หญิงนั้นรูปโฉมไม่งดงาม หากแต่เพราะหลังจากอภิเษกแล้ว ท่านก็จะ… หมดสิ้นโอกาสในราชบัลลังก์!” อันกั๋วกงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักซ่างกวนหลีไม่เข้าใจความหมาย จึงปรายตามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูราวกับไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทำให้อันกั๋วกงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าส่วนองค์ชายสี่ซ่างกวนเจวี๋ยลูบจมูกพลางเงียบงัน ชัดเจนว่าเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วอันกั๋วกงอมยิ้มพลางหันไปทางซ่างกวนเจวี๋ย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายสี่ พวกท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแนบแน่น หากว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้แก่เป่ยอิ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องทรงขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่แทน”ซ่างกวนเจวี๋ยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “อันกั๋วกง ใช่ว่าท่านกำลังทำลายข้าอยู่หรือ เสด็จพี่รองไม่อภิเษก ท่านกลับให้ข้าอภิเษกแทนรึ?”อันกั๋วกงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย องค์ชายสี่ผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก เขายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย ซ่างกวนเจวี๋ยกลับคาดเดาเจตนาของเขาออกแล้วอันกั๋วกงกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ใจย่อมไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน องค์หญิงเป่ยอิ้นนั้นจะขึ้นเป็นฮ
ด้วยเหตุนี้อันกั๋วกงจึงกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วยใบหน้าที่ยับย่นเป็นรอยริ้วอันกั๋วกงเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน บุตรสาวคนเล็กอันหยวนจูก็วิ่งเข้ามาหา“ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”อันกั๋วกงอมยิ้มพลางลูบหัวบุตรสาว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จูเอ๋อร์ตัวสูงขึ้นแล้ว น่าเสียดาย กระนั้นก็ยังช้าเกินไป”อันหยวนจูอายุเพียงสิบสองปี จึงไม่เข้าใจถ้อยคำของอันกั๋วกงนักนางเอียงคอมองอันกั๋วกง กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อว่าจูเอ๋อร์ตัวเตี้ยหรือ พี่ชายกล่าวว่า จูเอ๋อร์ต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไปจึงจะตัวสูงขึ้น”พี่ชายที่นางกล่าวถึง คือบุตรชายคนโตของอันกั๋วกง อันหยวนชิงอันหยวนชิงได้ยินบทสนทนาของพ่อลูก จึงเดินออกมาจากห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว รีบไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารเถิด ท่านพ่อเข้าเฝ้ามาเป็นเวลานาน ย่อมต้องหิวแล้ว”อันหยวนจูพยักหน้า แล้วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริงอันกั๋วกงมองบุตรชายรูปงามของตน พลางถามด้วยใบหน้าย่นว่า “เจ้ากลับมาจากสำนักบัณฑิตแล้วหรือ การสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา เจ้าควรตั้งใจเตรียมตัวสอบเสีย”อันหยวนชิงช่วยอันกั๋วกงถอดเครื่องแต่งกายขุนนาง พลางกล่าวว่า “ท่านพ่
ซ่างกวนหลีเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปที่เขาจะต้องสนับสนุน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายอภิเษกสมรสกับชาวเป่ยอิ้นได้วิธีที่ดีที่สุดที่จะขัดขวางไม่ให้เขาอภิเษกกับชาวเป่ยอิ้น ก็คือสนับสนุนให้เขามีพระชายาโดยเร็วที่สุด เพราะองค์หญิงจากแคว้นอื่นที่ต้องการอภิเษกสมรสด้วยนั้นไม่อาจเป็นสนมได้แต่อันกั๋วกงกลับไม่มีสตรีที่ถึงวัยอันสมควรที่จะอภิเษกสมรสอยู่ในมือส่วนอ๋องจ่างซิ่นกลับมีบุตรสาวอายุสิบเจ็ดปี นามว่าหานอวี่เฟย และหลานสาวอายุสิบห้าปี นามว่าเยี่ยนชิงซูตาเฒ่าผู้นั้นรีบร้อนออกจากวัง ย่อมต้องกำลังวางแผนเรื่องนี้อย่างแน่นอนอันกั๋วกงเดาถูกต้อง เมื่ออ๋องจ่างซิ่นกลับถึงวัง สิ่งแรกที่ทำคือสั่งให้คนไปรับภรรยาและบุตรสาวที่กลับไปเยี่ยมบ้านกลับมาโดยเร็วสิ่งที่สองคือสั่งให้คนไปยังจวนผิงอี้โหว เพื่อเชิญท่านหญิงหมิงหยางมาพบท่านหญิงหมิงหยางเดินเข้ามาในจวนอ๋องจ่างซิ่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นอ๋องจ่างซิ่นก็ไม่ได้แสดงความเคารพ แต่กลับถามด้วยใบหน้ายู่ว่า “พี่ใหญ่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ถึงกับต้องลากคนออกจากเตียง รบกวนการนอนหลับพักผ่อน”แท้จริงแล้วท่านหญิงหมิงหยางยังไม่ตื่
สายตาของเยี่ยนเว่ยฉือมองข้ามไหล่ของหานอวี่เฟยไปยังรถม้าที่อยู่หน้าประตูจวนรัชทายาท ยกยิ้มเย็นกล่าวว่า “ตกลงกันแล้วว่าคนของทั้งสองฝ่ายต้องลองทั้งหมด เหตุใดท่านหญิงอิ๋นตางยังซ่อนใครไว้ในรถม้าอีกคน?”หานอวี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองข้างหลัง แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “นางไม่ใช่คนของอ๋องจ่างซิ่น”“แต่นางเป็นคนที่เจ้าพามาใช่หรือ?” เมื่อเยี่ยนเว่ยฉือพูดจบ ก็เดินตรงไปยังรถม้าหานอวี่เฟยก็ไม่ได้ห้ามปราม คนเยอะถึงเพียงนี้ เยี่ยนเว่ยฉือจะหาเรื่องเยี่ยนชิงซูได้หรือ?เยี่ยนเว่ยฉือมาถึงข้างรถม้า กล่าวว่า “น้องรอง มาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่ลงมาคารวะพี่สาวหน่อยหรือ?”เยี่ยนชิงซูเปิดม่านรถอย่างไม่เต็มใจ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้ามาหาพี่หญิงอวี่เฟย ไม่ได้มาหาเจ้า”“จะมาหาข้าหรือไม่ ตอนที่เจ้าเจอข้าก็ควรจะทำความเคารพมิใช่หรือ? ข้าคือพระชายาองค์รัชทายาท! หรือเจ้าคิดจะล่วงเกินผู้สูงศักดิ์?”เยี่ยนเว่ยฉือเอามือสองข้างกอดอก มองเยี่ยนชิงซูอย่างหยิ่งผยอง ท่าทางราวกับหากอีกฝ่ายไม่ทำความเคารพ นางก็จะไม่ยอมแน่นอนว่าเยี่ยนชิงซูไม่อยากทำความเคารพ แต่คนมากมายมองอยู่ หากนางล่วงเกินผู้สูงศักดิ์โดยพลการ นี่ก็เท่ากั
เยี่ยนเว่ยฉือไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งโดยตรงว่า “พ่อบ้านจาง ไปเชิญหมอหลวงมา”พ่อบ้านจางรีบรับคำสั่งจากไปรอจนกระทั่งฉินเซียงหรูบดเถาเหลยกงจนเป็นผงเสร็จ หมอหลวงก็มาถึงพอดีฉินเซียงหรูส่งผงยาให้หมอหลวง หมอหลวงดูแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นเถาเหลยกงจริง ๆ”หานอวี่เฟยหัวเราะเยาะ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีจริง ๆ งั้นก็ได้ ลองตอนนี้เลยสิ”อวี๋เฟยเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าว่านะท่านหญิงอิ๋นตาง เจ้าฟังคนไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร? พี่สะใภ้ข้าพูดไปแล้วว่าพวกเราไม่เคยสัมผัสปิ่นหางหงส์ ถึงจะสัมผัสเถาเหลยก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เจ้าบุกมาหาเรื่องก็เพื่อดูว่าพวกเรามีเถาเหลยกงหรือไม่ ตอนนี้ก็เห็นแล้ว ยังไม่ไปอีก?”“ใครบอกว่าข้ามาดูว่าพวกเจ้ามียาหรือไม่? ข้ามาดูพวกเจ้าทดสอบต่างหาก”หานอวี่เฟยยกยิ้มเย็น หันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือ กล่าวต่อว่า “การใช้น้ำเถาเหลยกงทดสอบผู้คน จุดประสงค์ไม่ใช่แค่การประลอง แต่ที่สำคัญกว่าคือการหาโจรขุดสุสาน พวกเจ้าทดสอบกันเอง จะทำให้คนเชื่อได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องให้ข้าทดสอบพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าค่อยทดสอบข้า! ใครก็ได้ ยกอ่างน้ำมา!”ด้านหลังมีคนยกอ่างน้ำที่ผสมผงเถาเหลยกงมาหา
“จะลองอะไรกัน? ถึงจะลอง พวกเราเป็นคนของจวนรัชทายาท ก็ต้องให้พระชายาองค์รัชทายาทบันทึกด้วยตนเอง ไม่ใช่บันทึกในชื่อของเจ้า!” เสียงของอวี๋เฟยเหยียนดังมาจากข้างหลังของเยี่ยนเว่ยฉือทุกคนหันไปตามเสียง ก็เห็นเขาพาฉินเซียงหรูเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยหานอวี่เฟยขมวดคิ้วมองเขา พูดอย่างไม่พอใจว่า “รัฐทายาทอวี๋ ท่านนี่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริง ๆ!”อวี๋เฟยเหยียนเท้าสะเอวมองหานอวี่เฟย กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ใช่ แล้วอย่างไร? ไม่ได้หรือ? เก่งจริงก็กัดข้าสิ!”“ท่าน! ท่านมันรนหาที่ตาย!” หานอวี่เฟยโกรธจนกัดฟัน แต่ก็รู้ว่าไม่อาจลงมือกับอวี๋เฟยเหยียนได้ถึงแม้พ่อของทั้งสองจะเป็นอ๋องที่มีบรรดาศักดิ์สองอักษร ซึ่งมีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกันแต่อวี๋เฟยเหยียนเป็นถึงรัฐทายาท ในขณะที่นางเป็นเพียงแค่ท่านหญิงหากลงมือกับอวี๋เฟยเหยียนจริง ๆ ข้อหาล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ก็คงหนีไม่พ้นหานอวี่เฟยแค่นเสียงเย็นชา กล่าวว่า “ดี ในเมื่อพวกเจ้าอยากลองเอง ก็ลองดูสิ ข้าจะคอยดูอยู่ตรงนี้ ดูซิว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรมาลอง”ฉินเซียงหรูที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบเถาเหลยกงที่ตากแห้งออกมาต้นหนึ่ง กล่าวว่า “พระชายารัชทายาทได้ส
“อ่า ไม่! ไม่ ๆ ๆ คำถามนี้ดี คำถามนี้ดีมาก!” อวี๋เฟยเหยียนถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็รีบยกย่องซ่างกวนซีทันที“แน่นอนว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้องเป็นคนทำอยู่แล้ว ข้าและท่านหมอฉินจะมีความสามารถในการจดจำได้แม่นยำเช่นนั้นได้อย่างไร จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อวานเจ้าทำอาหารอะไรบ้าง เฮ้อ ศิษย์พี่คนนี้ปากแข็งแต่ใจอ่อน หลังจากทำลายข้าวของเมื่อวาน ตอนกลางคืนกลับไปคงจะโทษตัวเองน่าดู วันนี้ถึงได้ทำเช่นนี้!”เยี่ยนเว่ยฉือเม้มปาก พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “อ้อ เช่นนั้นเมื่อวานเขา… ทำผิดจริง ๆ น่ะสิ! ฮึ่ม!”อวี๋เฟยเหยียนยิ้มตาหยี “เช่นนั้นวันนี้เขาก็ชดเชยแล้ว พี่สะใภ้ก็ยกโทษให้เขาเถอะ!”เยี่ยนเว่ยฉือทำปากยื่น “ข้าไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้นหรอก ข้าขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์มั่นคง ใครกันจะเหมือนเขา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่เห็นแก่ที่ต้นตอของเรื่องมีเหตุผล ผู้ใหญ่อย่างข้าก็จะไม่ถือสาคนใจแคบแล้วกัน!”อวี๋เฟยเหยียนถอนหายใจโล่งอก “ดีแล้ว ดีแล้ว ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี!”“ไม่ง่ายดายเช่นนั้น อย่างน้อยพวกท่านก็ต้องบอกข้าว่าอดีตฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”เยี่ยนเว่ยฉืออยากจะทำความเข้าใจซ่างกวนซีให้มากขึ้น เพื่อที่ตั
เมื่อเยี่ยนเว่ยฉือมาถึงลานหน้า ก็พบว่าชายฉกรรจ์สามคนของจวนรัชทายาทกำลังล้อมวงอยู่หน้าโต๊ะซ่างกวนซีนั่งตัวตรง มองนางอย่างใจเย็นอวี๋เฟยเหยียนยิ้มแหย อย่างกระอักกระอ่วนฉินเซียงหรูลูบจมูก ยิ้มอย่างมีความหมาย‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น?’เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกงงงวย“พระชายาที่ไหนตื่นสายป่านนี้ เจ้าไม่หิวหรือ?” คำพูดของซ่างกวนซีไม่ค่อยดีนัก แต่โทนเสียงกลับอ่อนโยนเขายื่นมือไปหาเยี่ยนเว่ยฉือ “มาทานอาหารเร็ว!”“โอ้!” เยี่ยนเว่ยฉือเดินไปนั่งข้าง ๆ ซ่างกวนซีภายใต้สายตาของคนทั้งสามทันทีที่นั่งลง นางก็พบว่าอาหารวันนี้ไม่ธรรมดานี่… อาหารหกอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ไม่ใช่อาหารเดียวกันกับที่นางทำเมื่อวานนี้หรอกหรือ?ยังมีขนมผิงวันเกิดรูปร่างแปลกประหลาด ที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกหรือ?“นี่… นี่คือ?” เยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีอย่างสงสัยซ่างกวนซีขมวดคิ้ว “พวกเขาสองคนทำ บอกว่าเมื่อวานไม่ได้ทานอาหารเหล่านั้น รู้สึกเสียดาย วันนี้ก็เลยรบเร้าไคจือและซ่านเย่ทำขึ้นมาใหม่ เจ้าลองชิมดู หมูสามชั้นอบบ๊วย รสชาติถูกต้องหรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนถามอย่างไม่เชื่อว่า “รัฐท
จนกระทั่งลมหายใจของเด็กสาวในอ้อมแขนสม่ำเสมอ นอนหลับสนิท ซ่างกวนซีถึงได้สติกลับคืนมาจากอาการประหม่าเมื่อครู่เขาอุ้มเยี่ยนเว่ยฉือในท่าเจ้าหญิง เดินตรงไปที่เตียงจากนั้นก็วางนางลงบนเตียงอย่างเบามือมองดูใบหน้าแดงปลั่งของนาง ซ่างกวนซีอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลง อยากจะลิ้มลองจูบเมื่อครู่ที่หยุดอยู่แค่ริมฝีปากอีกครั้งทว่าตอนที่ปลายจมูกของคนทั้งสองสัมผัสกัน ความขัดแย้งในใจของซ่างกวนซีก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเขาไม่สามารถใกล้ชิดกับเยี่ยนเว่ยฉือมากเกินไปได้ เพราะไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาตลอดชีวิตกับนางได้เขาไม่กล้าที่จะร่วมเรียงเคียงหมอนกับเยี่ยนเว่ยฉือ ด้วยกลัวว่าพิษกู่เย็นบ้านี่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของเยี่ยนเว่ยฉือชีวิตของเขาเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม โซ่ตรวน ภาระ และความไม่แน่นอนเขาจะทนดึงหญิงสาวที่เขาชอบใจเข้าสู่วังวนเช่นนี้ได้อย่างไร?เขามั่นใจในความรักของตนเอง เพียงแต่ไม่มั่นใจในโชคชะตาของตนเองก็เท่านั้นซ่างกวนซีถอนหายใจ จุมพิตที่เต็มไปด้วยความรักประทับลงกลางหน้าผากของเยี่ยนเว่ยฉือใช่ บางทีอาจจะเป็นตอนที่นางจูบเขาเมื่อครู่ ทำให้เขายืนยันความรู้สึกของตนเองได้แล้วเขาชอบนางมาก แม้ว่านาง…
เมื่อเห็นว่าเยี่ยนเว่ยฉือกำลังจะหงายหลัง ซ่างกวนซีก็คว้าเอวของนางไว้โดยสัญชาตญาณ โอบนางไว้แน่นเยี่ยนเว่ยฉือนั่งลงได้มั่นคงอีกครั้ง จู่ ๆ ก็ยกยิ้ม “เป็นอย่างไร เอวข้าคอดดีใช่หรือไม่?”นี่… นี่มันคำถามอะไรกัน?ซ่างกวนซีรู้สึกว่าหายใจติดขัดเล็กน้อย เหตุใดหลังจากเมานางถึงเป็นเช่นนี้?เยี่ยนเว่ยฉือฮึดฮัดในลำคอ ทำปากยื่น บ่นต่อ “มีภรรยาเอวคอด ขาเรียว ผิวขาวสวยเช่นนี้ ท่านไม่ทะนุถนอมไม่พอ ยังดุข้าอีก ทำตัวเช่นนี้สมควรเป็นลูกผู้ชายหรือ? ช่าง…ช่าง…”ซ่างกวนซีพูดต่อโดยไม่รู้ตัว “ทำลายของดี!”“ใช่! คำนี้แหละ! ซ่างกวนซี ข้าจะบอกท่านไว้ สุภาพบุรุษไม่ควรทำตัวเช่นท่าน ลูกผู้ชายอกสามศอก สิ่งแรกคือ ไม่ควรโกรธง่าย นี่แสดงว่าท่านใจแคบ สอง ไม่ควรพูดพล่อย นี่แสดงว่าท่านไม่รู้จักคิด สาม ข้อสามสำคัญที่สุด…”ยังไม่ทันที่เยี่ยนเว่ยฉือจะพูดจบ ซ่างกวนซีก็ถามด้วยความอยากรู้ “สามคืออะไร?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มตาหยี “สาม คือไม่ควรแสดงความกำหนัดโดยไม่เลือกที่เลือกทาง นี่แสดงว่าท่านไม่มี… ทักษะชีวิตคู่”พรวด!หากตอนนี้ซ่างกวนซีมีน้ำอยู่ในปาก คงจะพ่นใส่หน้าเยี่ยนเว่ยฉือไปแล้วยายเด็กแก่แดด กล้าพูดอะไรเช่นนี้ออ
“ใครกันทำตัวเหลวไหลเช่นนี้?!” ซ่างกวนซีมองไปที่ประตูอย่างประหลาดใจผลปรากฏว่าเห็นเยี่ยนเว่ยฉือหน้าแดงก่ำ เดินเข้ามาด้วยฝีเท้ามั่นคงซ่างกวนซีลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหานางด้วยความสงสัย “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้ากล้ามาก! ถึงกับกล้า…”“ใช่! ข้ากล้ามาก แล้วทำไม?” เยี่ยนเว่ยฉือตาปรือ แต่คำพูดกลับแข็งกร้าวสิ่งนี้ทำให้ซ่างกวนซีประหลาดใจเล็กน้อยเห็นเพียงเยี่ยนเว่ยฉือเดินโซเซมาหาเขา พูดเสียงดังว่า “มีคำกล่าวว่าสอนลูกต่อหน้าคนอื่น ตักเตือนภรรยาลับหลัง… อ่า ไม่ใช่ ตักเตือนสามีลับหลัง วันนี้ข้าจะสอนท่านถึงหลักการใช้ชีวิตเอง”เยี่ยนเว่ยฉือเดินเข้าไปหาซ่างกวนซีอย่างฮึกเหิม แต่ก้าวพลาด เท้าซ้ายสะดุดเท้าขวา ทำให้ทั้งร่างโถมเข้าไปหาซ่างกวนซีเมื่อเห็นดังนั้น ซ่างกวนซีก็เบิกตากว้าง สัญชาตญาณทำให้เขายื่นมือออกไปรับแต่เนื่องจากแรงเฉื่อยของเยี่ยนเว่ยฉือมากเกินไป ทำให้เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวโชคดีที่ข้างหลังเป็นเก้าอี้ ซ่างกวนซีนั่งลงไปอย่างแรง ใช้มือยันโต๊ะไว้ได้ ทำให้ไม่ล้มลงไปในขณะเดียวกัน เยี่ยนเว่ยฉือก็นั่งคร่อมอยู่บนตักของเขาซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองนาง ถามว่า “เจ้าดื่มสุรามารึ?”บนร่างกายของนางเจือก
“เฮ้อ ก็ได้ ๆ คราวนี้ข้าใจกว้าง จะไม่ถือสา! ไม่ต้องขอโทษข้าแล้ว! ฮึ่ม!” เยี่ยนเว่ยฉือพูดปลอบใจตัวเอง หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะ เตรียมจะดื่มน้ำดับกระหายแต่พอหยิบขึ้นมาก็พบว่ากาน้ำชาว่างเปล่า ทำให้หงุดหงิดมากขึ้นทันที“ไคจือ ซ่านเย่!” เยี่ยนเว่ยฉือตะโกนพอดีกับที่ไคจือถือกาน้ำชาเข้ามา ยิ้มตอบว่า “พระชายากระหายน้ำหรือเพคะ? มีชาดอกสายน้ำผึ้งที่ต้มใหม่ ๆ ช่วยดับกระหายได้ พระชายาจะลองชิมดูหรือไม่เพคะ?”ไคจือรีบรินชาให้เยี่ยนเว่ยฉือหนึ่งแก้วกลิ่นชาหอมอบอวล ทำให้เยี่ยนเว่ยฉืออดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว“เอ๊ะ หอมจัง ในนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ดอกสายน้ำผึ้งนะ?”ไคจือตอบว่า “ได้ยินจากจางมามาว่าเป็นชาดอกไม้ที่ท่านหมอฉินต้ม อาจจะใส่สมุนไพรอื่นด้วยกระมังเพคะ?”เยี่ยนเว่ยฉือยกขึ้นมาดมที่จมูก รู้สึกเพียงแต่กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้หลงใหลเล็กน้อยนางยิ้ม “ของของฉินเซียงหรูต้องเป็นของดีแน่ ๆ”พูดจบ นางก็ดื่มชาจนหมดจอกตอนแรกที่ดื่มเข้าไปจะขมปร่า ตอนที่กลืนลงคอจะหวาน หลังจากขมแล้วรสหวานจะตีตื้นขึ้น หอมละมุนติดปาก“เป็นชาที่ดีจริง ๆ!” เยี่ยนเว่ยฉือพอใจกับรสชาตินี้มากที่สำคัญคือไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากดื่มชาแก้ว