อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว ทหารองครักษ์เมืองหลวงทั้งกองทัพเสินอู่ เสินเช่อ หลงอู่ และหลงฉี ล้วนเป็นขุนพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋อง ข่าวสารของท่านอ๋องจะช้ากว่าข้าได้อย่างไร!""เจ้าหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าข้าสมคบคิดกับชาวเป่ยอิ้นรึ?" อ๋องจ่างซิ่นโกรธจนหนวดเคราขยับอันกั๋วกงยิ้ม "นั่นคงไม่ใช่ ท่านอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินมาโดยตลอด เพียงแต่เกรงว่า… อาจมีคนปิดบังเบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงประชดประชัน ทำให้อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะมองค้อนเขาฮ่องเต้คังอู่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์เห็นทั้งสองโต้เถียงกันก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแต่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า "พอแล้ว พอแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย ในเมื่อเป่ยอิ้นมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ได้มาประกาศสงคราม พวกเราก็ต้อนรับเขาด้วยไมตรีจิตก็พอ"เอ่ยจบ สายตาของฮ่องเต้คังอู่ก็กวาดมองเหล่าขุนนาง สุดท้ายก็มาหยุดที่ซ่างกวนซี "ชูจิ่ง งานราชการในท้องพระโรงด้านอื่นๆ เจ้าคงไม่ถนัด เช่นนั้นเรื่องต้อนรับคณะทูตจากเป่ยอิ้นก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน"สิ้นสุรเสียง ทุกคนก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองซ่าง
“ไม่อาจอภิเษกได้ แต่ไม่ใช่เพราะองค์หญิงนั้นรูปโฉมไม่งดงาม หากแต่เพราะหลังจากอภิเษกแล้ว ท่านก็จะ… หมดสิ้นโอกาสในราชบัลลังก์!” อันกั๋วกงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักซ่างกวนหลีไม่เข้าใจความหมาย จึงปรายตามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูราวกับไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทำให้อันกั๋วกงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าส่วนองค์ชายสี่ซ่างกวนเจวี๋ยลูบจมูกพลางเงียบงัน ชัดเจนว่าเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วอันกั๋วกงอมยิ้มพลางหันไปทางซ่างกวนเจวี๋ย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายสี่ พวกท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแนบแน่น หากว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้แก่เป่ยอิ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องทรงขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่แทน”ซ่างกวนเจวี๋ยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “อันกั๋วกง ใช่ว่าท่านกำลังทำลายข้าอยู่หรือ เสด็จพี่รองไม่อภิเษก ท่านกลับให้ข้าอภิเษกแทนรึ?”อันกั๋วกงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย องค์ชายสี่ผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก เขายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย ซ่างกวนเจวี๋ยกลับคาดเดาเจตนาของเขาออกแล้วอันกั๋วกงกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ใจย่อมไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน องค์หญิงเป่ยอิ้นนั้นจะขึ้นเป็นฮ
ด้วยเหตุนี้อันกั๋วกงจึงกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วยใบหน้าที่ยับย่นเป็นรอยริ้วอันกั๋วกงเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน บุตรสาวคนเล็กอันหยวนจูก็วิ่งเข้ามาหา“ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”อันกั๋วกงอมยิ้มพลางลูบหัวบุตรสาว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จูเอ๋อร์ตัวสูงขึ้นแล้ว น่าเสียดาย กระนั้นก็ยังช้าเกินไป”อันหยวนจูอายุเพียงสิบสองปี จึงไม่เข้าใจถ้อยคำของอันกั๋วกงนักนางเอียงคอมองอันกั๋วกง กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อว่าจูเอ๋อร์ตัวเตี้ยหรือ พี่ชายกล่าวว่า จูเอ๋อร์ต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไปจึงจะตัวสูงขึ้น”พี่ชายที่นางกล่าวถึง คือบุตรชายคนโตของอันกั๋วกง อันหยวนชิงอันหยวนชิงได้ยินบทสนทนาของพ่อลูก จึงเดินออกมาจากห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว รีบไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารเถิด ท่านพ่อเข้าเฝ้ามาเป็นเวลานาน ย่อมต้องหิวแล้ว”อันหยวนจูพยักหน้า แล้วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริงอันกั๋วกงมองบุตรชายรูปงามของตน พลางถามด้วยใบหน้าย่นว่า “เจ้ากลับมาจากสำนักบัณฑิตแล้วหรือ การสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา เจ้าควรตั้งใจเตรียมตัวสอบเสีย”อันหยวนชิงช่วยอันกั๋วกงถอดเครื่องแต่งกายขุนนาง พลางกล่าวว่า “ท่านพ่
ซ่างกวนหลีเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปที่เขาจะต้องสนับสนุน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายอภิเษกสมรสกับชาวเป่ยอิ้นได้วิธีที่ดีที่สุดที่จะขัดขวางไม่ให้เขาอภิเษกกับชาวเป่ยอิ้น ก็คือสนับสนุนให้เขามีพระชายาโดยเร็วที่สุด เพราะองค์หญิงจากแคว้นอื่นที่ต้องการอภิเษกสมรสด้วยนั้นไม่อาจเป็นสนมได้แต่อันกั๋วกงกลับไม่มีสตรีที่ถึงวัยอันสมควรที่จะอภิเษกสมรสอยู่ในมือส่วนอ๋องจ่างซิ่นกลับมีบุตรสาวอายุสิบเจ็ดปี นามว่าหานอวี่เฟย และหลานสาวอายุสิบห้าปี นามว่าเยี่ยนชิงซูตาเฒ่าผู้นั้นรีบร้อนออกจากวัง ย่อมต้องกำลังวางแผนเรื่องนี้อย่างแน่นอนอันกั๋วกงเดาถูกต้อง เมื่ออ๋องจ่างซิ่นกลับถึงวัง สิ่งแรกที่ทำคือสั่งให้คนไปรับภรรยาและบุตรสาวที่กลับไปเยี่ยมบ้านกลับมาโดยเร็วสิ่งที่สองคือสั่งให้คนไปยังจวนผิงอี้โหว เพื่อเชิญท่านหญิงหมิงหยางมาพบท่านหญิงหมิงหยางเดินเข้ามาในจวนอ๋องจ่างซิ่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นอ๋องจ่างซิ่นก็ไม่ได้แสดงความเคารพ แต่กลับถามด้วยใบหน้ายู่ว่า “พี่ใหญ่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ถึงกับต้องลากคนออกจากเตียง รบกวนการนอนหลับพักผ่อน”แท้จริงแล้วท่านหญิงหมิงหยางยังไม่ตื่
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่??” อวี๋เฟยเหยียนเข้าไปหาเขา แล้วยกมือขึ้นโบกไปมาต่อหน้าซ่างกวนซีย่นคิ้วมองเขา กล่าวว่า “มีเรื่องอะไร?”มุมปากของอวี๋เฟยเหยียนกระตุก กล่าวว่า “ที่ข้าพูดมาตั้งนาน ท่านไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียวหรือ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?”ซ่างกวนซีหันไปมองทางลานบ้านของเรือนหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “เมื่อคืนนี้เว่ยฉือออกไปข้างนอก”“ออกไป? ไปที่ไหน?”ซ่างกวนซีส่ายหน้า “นางไม่ได้กล่าว”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจแล้ว ไม่ใช่แค่ ‘ไม่ได้กล่าว’ แต่เป็นการปกปิดอย่างจงใจ มิฉะนั้นซ่างกวนซีคงไม่มีท่าทางกังวลใจเช่นนี้อวี๋เฟยเหยียนกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่ายว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ หากท่านอยากรู้ก็ถามตรงๆ สิ ทำไมต้องมาทุกข์ใจอยู่คนเดียวเช่นนี้”ซ่างกวนซีถอนหายใจ กล่าวว่า “ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตนเอง ยิ่งรู้จักกันมากเท่าใดก็ยิ่งยากที่จะตัดใจ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจากลาก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”อารมณ์ของซ่างกวนซีไม่ค่อยดีนัก อวี๋เฟยเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พะวงเรื่องพิษของตนเองหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือกระฉับกระเฉง ดูเหมือนจะมีอายุยืนยาวสิ่งที่ทำให้พวกเขาแยกจากกันได้ ก็มีเพีย
แต่ถ้อยคำเช่นนี้ จะให้เขากล่าวกับฉินเซียงหรูได้อย่างไรฉินเซียงหรูมีข้อตกลงว่าจะรับใช้ซ่างกวนซีเพียงสามปี กล่าวโดยสรุปแล้ว เขาก็ยังถือเป็นคนนอกอยู่อวี๋เฟยเหยียนโบกมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่เห็นเจ้าทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด เจ้าไม่ได้หญ้าหางสุนัขเขียวมาแล้วหรอกหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ไปจับมัจฉาทองคำจิ่วหยางมาสิ!”“ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน? ข้าหรือ?” ฉินเซียงหรูชี้ไปที่จมูกตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจอวี๋เฟยเหยียนถลึงตาใส่ กล่าวว่า “หรือจะเถียงว่าข้าใสร้ายเจ้า?”ฉินเซียงหรูกดริมฝีปาก กำลังจะอธิบาย จู่ ๆ ก็มีเสียงสตรีดังขึ้นว่า “รัฐทายาทอวี๋พูดเช่นนี้ถือว่าใส่ร้ายหมอฉินแล้ว!”ทั้งสองหันไปมองตามเสียง ก็เห็นเยี่ยนเว่ยฉือเดินเข้ามาอวี๋เฟยเหยียนไม่เข้าใจ จึงใช้สายตามองเป็นเชิงถาม อยากรู้ว่าตนใส่ร้ายฉินเซียงหรูอย่างไรเยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่สมุนไพรบนพื้นกล่าวว่า “นี่คือใบชงโคดิน มีสรรพคุณในการล้างพิษที่ดีมาก ส่วนนี่คือหญ้าแก้วขาว มีฤทธิ์ขับพิษเช่นกัน นี่คือหญ้าลิ้นมังกร มีฤทธิ์แก้พิษ สมุนไพรมากมายกว่าสี่สิบชนิด ล้วนแต่เป็นสมุนไพรแก้พิษทั้งสิ้น หมอ
เยี่ยนเว่ยฉืออธิบายต่อ “ที่ข้าพูดว่า ‘ซ่อนเร้นอย่างยิ่งยวด’ หมายความว่าพิษนี้ก่อนจะกำเริบนั้น แม้นตรวจชีพจรขององค์รัชทายาทก็จะพบว่าปกติดีทุกประการ หากหมอธรรมดาตรวจดูย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเขาถูกพิษ”ฉินเซียงหรูผู้ยืนเคียงข้างพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้องแล้ว”“ที่ข้าพูดว่า ‘แปรเปลี่ยนได้’ หมายความว่าพิษนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ตลอดเวลา บางคราวถึงกับทำให้ชีพจรของเขาแข็งแรง กำยำยิ่งกว่าคนทั่วไป”ฉินเซียงหรูยังคงพยักหน้า “ถูกต้องอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ องค์รัชทายาทจึงสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ ‘สหัสเหมันต์’ ได้ ขณะที่ท่านกับคุณชายเย่ฝึกไม่ได้ เพราะ ‘สหัสเหมันต์’ นั้นร้ายกาจเย็นยะเยือก หากปราณไม่ล้ำลึก พลังแท้จริงไม่แข็งแกร่ง ย่อมถูก ‘สหัสเหมันต์’ กลืนกิน”อวี๋เฟยเหยียนเบิกตากว้าง กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ฟังท่านทั้งสองกล่าวแล้ว เหตุใดพิษกู่เย็นนี้จึงคล้ายเป็นสิ่งดีเล่า?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ ๆ หากมันสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งดี แต่พิษกู่เย็นนี้ มีทั้งหนอนกู่และทั้งพิษ เมื่อหลายปีมานี้ หากไม่สามารถแก้พิษได้ เหตุใดเราจึงไม่เปลี่ยนวิธี ไปลองจัดการกับ ‘หนอนกู่’ ตัวนั้นดูเ
เยี่ยนเว่ยฉืออดไม่ได้ที่จะกลอกตา รู้สึกว่าการสื่อสารกับอวี๋เฟยเหยียนเป็นเรื่องยากนางจึงหันไปมองหมอฉินผู้สง่างามดุจหยกฉินเซียงหรูครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน พยักหน้า “หนอนกู่พิษอยู่ในร่างกายขององค์รัชทายาท มันกินอะไรย่อมขึ้นอยู่กับว่าองค์รัชทายาทรับประทานอะไร แม่นางเยี่ยนหมายความว่า ให้องค์รัชทายาทลองรับประทานอาหารรสเลิศนานาชนิด แล้วคอยสังเกตชีพจรของเขา หากชีพจรผิดปกติ พิษกำเริบ แสดงว่าหนอนกู่พิษไม่ชอบ หากชีพจรแข็งแรง พลังแท้จริงพลุ่งพล่าน แสดงว่าหนอนกู่พิษชอบ ใช่หรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ถูกต้อง หากชีพจรลื่นไหลแผ่วเบา อาจเป็นอันตรายต่อหนอนกู่พิษ บางทีอาจสามารถฆ่าหนอนกู่ตัวนั้นได้โดยไม่ทำร้ายองค์รัชทายาทก็เป็นได้!”เรื่องการแก้คุณไสยพิษกู่นั้น เยี่ยนเว่ยฉือเคยเห็นแต่ในบันทึกประวัติศาสตร์ เพราะในโลกอนาคตมีเครื่องมือที่ทันสมัยมากมาย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรักษาแบบอ้อมค้อมเช่นนี้แล้วดังนั้น แม้ความรู้ที่นางสั่งสมมามีมากมาย แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นศูนย์หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้ต้องร่วมมือกับฉินเซียงหรูฉินเซียงหรูพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะดูแปลกประหลาด แต่ก็ใช่ว
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ