เยี่ยนเว่ยฉืออธิบายต่อ “ที่ข้าพูดว่า ‘ซ่อนเร้นอย่างยิ่งยวด’ หมายความว่าพิษนี้ก่อนจะกำเริบนั้น แม้นตรวจชีพจรขององค์รัชทายาทก็จะพบว่าปกติดีทุกประการ หากหมอธรรมดาตรวจดูย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเขาถูกพิษ”ฉินเซียงหรูผู้ยืนเคียงข้างพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้องแล้ว”“ที่ข้าพูดว่า ‘แปรเปลี่ยนได้’ หมายความว่าพิษนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ตลอดเวลา บางคราวถึงกับทำให้ชีพจรของเขาแข็งแรง กำยำยิ่งกว่าคนทั่วไป”ฉินเซียงหรูยังคงพยักหน้า “ถูกต้องอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ องค์รัชทายาทจึงสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ ‘สหัสเหมันต์’ ได้ ขณะที่ท่านกับคุณชายเย่ฝึกไม่ได้ เพราะ ‘สหัสเหมันต์’ นั้นร้ายกาจเย็นยะเยือก หากปราณไม่ล้ำลึก พลังแท้จริงไม่แข็งแกร่ง ย่อมถูก ‘สหัสเหมันต์’ กลืนกิน”อวี๋เฟยเหยียนเบิกตากว้าง กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ฟังท่านทั้งสองกล่าวแล้ว เหตุใดพิษกู่เย็นนี้จึงคล้ายเป็นสิ่งดีเล่า?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ ๆ หากมันสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งดี แต่พิษกู่เย็นนี้ มีทั้งหนอนกู่และทั้งพิษ เมื่อหลายปีมานี้ หากไม่สามารถแก้พิษได้ เหตุใดเราจึงไม่เปลี่ยนวิธี ไปลองจัดการกับ ‘หนอนกู่’ ตัวนั้นดูเ
เยี่ยนเว่ยฉืออดไม่ได้ที่จะกลอกตา รู้สึกว่าการสื่อสารกับอวี๋เฟยเหยียนเป็นเรื่องยากนางจึงหันไปมองหมอฉินผู้สง่างามดุจหยกฉินเซียงหรูครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน พยักหน้า “หนอนกู่พิษอยู่ในร่างกายขององค์รัชทายาท มันกินอะไรย่อมขึ้นอยู่กับว่าองค์รัชทายาทรับประทานอะไร แม่นางเยี่ยนหมายความว่า ให้องค์รัชทายาทลองรับประทานอาหารรสเลิศนานาชนิด แล้วคอยสังเกตชีพจรของเขา หากชีพจรผิดปกติ พิษกำเริบ แสดงว่าหนอนกู่พิษไม่ชอบ หากชีพจรแข็งแรง พลังแท้จริงพลุ่งพล่าน แสดงว่าหนอนกู่พิษชอบ ใช่หรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ถูกต้อง หากชีพจรลื่นไหลแผ่วเบา อาจเป็นอันตรายต่อหนอนกู่พิษ บางทีอาจสามารถฆ่าหนอนกู่ตัวนั้นได้โดยไม่ทำร้ายองค์รัชทายาทก็เป็นได้!”เรื่องการแก้คุณไสยพิษกู่นั้น เยี่ยนเว่ยฉือเคยเห็นแต่ในบันทึกประวัติศาสตร์ เพราะในโลกอนาคตมีเครื่องมือที่ทันสมัยมากมาย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรักษาแบบอ้อมค้อมเช่นนี้แล้วดังนั้น แม้ความรู้ที่นางสั่งสมมามีมากมาย แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นศูนย์หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้ต้องร่วมมือกับฉินเซียงหรูฉินเซียงหรูพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะดูแปลกประหลาด แต่ก็ใช่ว
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท จะทำเช่นไรดี! คุณหนูถูกท่านชนจนสลบไปแล้ว!”เยี่ยนเว่ยฉือเพ่งมองให้ดี ‘สตรีที่พูดอยู่ไม่ใช่ฉางเอ๋อร์แห่งจวนผิงอี้โหวหรอกหรือ?’ดังนั้นหญิงสาวที่ซ่างกวนซีอุ้มอยู่ในอ้อมแขนผู้นี้ซึ่งหมดสติไป คงเป็นเยี่ยนชิงซูเป็นแน่เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว คิดในใจว่า “นี่มันเล่นละครอะไรกัน?”เห็นได้ชัดว่าอวี๋เฟยเหยียนก็เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกันเขาก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปพร้อมกับถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรอยู่?”ซ่างกวนซีประคองเยี่ยนชิงซูที่หมดสติ กำลังจะหาคนมาช่วย พอดีก็เห็นอวี๋เฟยเหยียนเขาไม่ลังเลที่จะผลักเยี่ยนชิงซูไปให้อวี๋เฟยเหยียน อวี๋เฟยเหยียนยื่นมือออกไปรับโดยไม่รู้ตัว ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ“โอ๊ย ๆ ๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน นาง ๆ ๆ...นางเป็นอะไรไป? ตายแล้วหรือ?”ซ่างกวนซีเหลือบมองเยี่ยนเว่ยฉือที่ค่อยๆ เดินเข้ามา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ข้าเดินเพลินไปหน่อย ชนนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เหตุใด นางจึงหมดสติไป”“ฝ่าบาทรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวเดินดุจสายลม คุณหนูของบ่าวอ่อนแอปวกเปียก จะทนทานแรงชนของฝ่าบาทได้อย่างไร ฮือๆๆ คุณหนูจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ!” ฉางเอ๋อร์โวยวาย พยายามโยนความ
“อะไรนะ? ตั้งครรภ์?!” อวี๋เฟยเหยียนถามด้วยความตกใจ “เยี่ยนชิงซูผู้นี้มิใช่ยังไม่ได้แต่งงานหรือ? เหตุใดจึงตั้งครรภ์ได้?”เมื่อพูดเช่นนี้ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็หยุดเดิน มามุงดูฉางเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตกใจจนหน้าซีด รีบพูดว่า “เจ้า...เจ้า เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร คุณหนูจะเป็นไปได้อย่างไร เจ้า...อย่าพูดมั่วซั่ว! คุณหนู คุณหนู ท่านฟื้นเถอะเจ้าค่ะ!”เยี่ยนเว่ยฉือไม่สนใจฉางเอ๋อร์ พูดอย่างเอาจริงเอาจัง “โอ๊ย ๆ ๆ ไม่ใช่แค่ตั้งครรภ์เท่านั้น นี่ยังเป็นแฝดชายหญิงอีกด้วย! พ่อของเด็ก กระบองช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”กระบองยอดเยี่ยม?“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ผู้คนที่มามุงดูต่างก็หัวเราะออกมาอวี๋เฟยเหยียนผู้โง่งมเกาหัว “กระบองยอดเยี่ยม? คุณหนูรองแห่งจวนผิงอี้โหวลักลอบมีลูกกับจอมยุทธ์หรือ?”ซ่างกวนซีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย เยี่ยนเว่ยฉือเริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!ส่วนอวี๋เฟยเหยียนที่ยืนอยู่กับเยี่ยนเว่ยฉือนั้น ก็เหมือนคนโง่เขลาเบาปัญญาเยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างเอาจริงเอาจัง “รัฐทายาทอวี๋กล่าวถูกเพียงครึ่งเดียว”“ครึ่งเดียว?”เยี่ยนเว่ยฉือยกคิ้ว “ใช่แล้ว มิใช่จอมยุทธ์เพียงคนเดียว แต่เป็นสองคน ข้าไม
เยี่ยนเว่ยฉือเบ้ปาก “ข้าไหนเลยจะบังอาจเท่าเยี่ยนชิงซู กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย กลับโผเข้าหาพี่เขยตนเอง เหตุใด ฝ่าบาทชอบคนเสแสร้งเช่นนั้นหรือ?”“เมื่อใดที่ข้าบอกว่าชอบนาง? อย่าใส่ร้ายป้ายสี!”“หากฝ่าบาทไม่ชอบนาง ข้าช่วยฝ่าบาทไล่นางไป เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ชมข้า กลับตำหนิว่าข้าทำตัวเป็นเด็กน้อยเล่า?” เยี่ยนเว่ยฉือไม่ยอมแพ้!ซ่างกวนซียื่นมือออกไป จิ้มไปที่หว่างคิ้วของเยี่ยนเว่ยฉือ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้ใดบอกเจ้าว่า ‘เด็กน้อย’ คือการตำหนิ?”เห็นได้ชัดว่าเขากำลังชมเยี่ยนเว่ยฉือว่ามีจิตใจเยาว์วัย ฉลาดแกมโกง!เยี่ยนเว่ยฉือลูบตำแหน่งที่ซ่างกวนซีจิ้ม อดไม่ได้ที่จะยิ้มด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางรู้สึกว่าการกระทำนี้ทั้งเอ็นดูและคลุมเครืออวี๋เฟยเหยียนมองบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างพวกเขา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ข้าว่า...พวกท่านทั้งสอง ลืมข้าไปแล้วหรือใช่หรือไม่?”เอ่อ...ซ่างกวนซีและเยี่ยนเว่ยฉือหันไปมองอวี๋เฟยเหยียนพร้อมกัน ต่างก็มีสีหน้าเขินอายไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดจริง ๆ ลืมเขาไปแล้วจริง ๆ ด้วย!“อะแฮ่ม!” ซ่างกวนซีกระแอมสองครั้ง ปรับอารมณ์ เอ่ยถาม “พวกเจ้าทั้งสองออกมาด้วยกัน เหต
เยี่ยนชิงซูเสียหน้าเพราะเยี่ยนเว่ยฉือบนท้องถนน เมื่อกลับถึงจวนก็อาละวาดอีกครั้งทำเอาเยี่ยนหานซานรำคาญใจ จึงออกไปข้างนอกเพื่อหลบความวุ่นวายและยังทำให้ท่านหญิงหมิงหยางปวดใจ รีบตามลู่อู๋มาถามไถ่ว่าเหตุใดจึงยังไม่ฆ่าเยี่ยนเว่ยฉืออีกแต่บ่าวไพร่ที่ส่งไปกลับตามหาลู่อู๋ไม่พบท่านหญิงหมิงหยางถามด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะ? ไม่พบ? ไปที่โรงเตี๊ยมที่เขาพักแล้วหรือ?”ลูกน้องพยักหน้า “เรียนท่านหญิง ไปมาแล้วเจ้าค่ะ ลู่อู๋ออกไปแล้ว”ซินมามาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็อุทานออกมา “โอ๊ย ท่านหญิง! เจ้าคนผู้นั้นคงจะเชิดเงินหนีไปแล้วกระมัง!”ท่านหญิงหมิงหยางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้‘ลู่อู๋อย่างไรก็เป็นมือสังหารอันดับสี่ คงไม่เชิดเงินจำนวนเล็กน้อยนี้หนีไปหรอกกระมัง?’‘แต่เหตุใดจึงติดต่อเขาไม่ได้?’ในขณะที่ท่านหญิงหมิงหยางกำลังจะไปตามหาด้วยตัวเอง ก็มีเสียงของฉางเอ๋อร์ดังมาจากข้างนอก “ท่านหญิง ท่านหญิงเจ้าคะ แย่แล้ว! แย่แล้ว! ท่านรีบไปดูคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ!”แย่แล้ว?ท่านหญิงหมิงหยางรีบวิ่งออกไป ถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?”ฉางเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “คุณหนูถ
“หมอฉิน เจ้า...เหตุใดเจ้าจึงไม่กินแล้วเล่า?” อวี๋เฟยเหยียนมองฉินเซียงหรูด้วยความกังวล มีลางสังหรณ์ไม่ดีในใจฉินเซียงหรูยิ้มแห้ง ๆ “เอ่อ ข้าอิ่มแล้ว”สีหน้าเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อิ่มแล้ว แต่เป็นหวาดกลัว!อวี๋เฟยเหยียนรีบวางชามและตะเกียบ ซักไซ้ต่อไป “พวกเจ้าพูดมาสิ เปลือกหอยหวานคืออะไร?”เยี่ยนเว่ยฉือมองอวี๋เฟยเหยียน กะพริบตาด้วยความสงสัย “รัฐทายาทอวี๋ เหตุใดท่านจึงอยากรู้อยากเห็นเช่นนี้ หรือว่า...ท่านอยากเรียนวิชาแพทย์?”อวี๋เฟยเหยียนส่ายหน้า “ข้าไม่ปรารถนาจะเรียนวิชาแพทย์ แต่รู้สึกว่าเปลือกหอยหวานคงไม่ใช่สิ่งดี ไม่เช่นนั้นเหตุใดฉินเซียงหรูจึงหยุดกินกลางคัน? ศิษย์ใหญ่ ท่านก็อย่ากินเลย! อ๊ะ ไม่ใช่ ท่านกินเถอะๆ นางทำให้ท่านโดยเฉพาะ!”ซ่างกวนซีถือชาม รู้สึกอึดอัดใจหากกินต่อ ก็รู้สึกว่าสีหน้าของฉินเซียงหรูนั้นแปลกประหลาดจริงๆหากไม่กิน อวี๋เฟยเหยียนก็คะยั้นคะยอบอกว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำให้เขาโดยเฉพาะดังนั้น ซ่างกวนซีที่ไม่เคยอยากรู้อยากเห็นอะไรก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เว่ยฉือ เปลือกหอยหวานคืออะไร?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ความกระตือรือร้นใฝ่รู้ขององค์รัชทายาท ช่างน่าเลื่
อวี๋เฟยเหยียนและซ่างกวนซีหันไปมองฉินเซียงหรูพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ฉินเซียงหรูอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วจะมีฤทธิ์เช่นไรฉินเซียงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วจึงพูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด สูตรนี้เหมือนจะเป็นสูตรที่นายพรานใช้ล่าสุนัขจิ้งจอก”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้ว จะส่งกลิ่นที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้ คล้ายกับสิ่งที่สุนัขตัวเมียหลั่งออกมาในฤดูผสมพันธุ์ ดังนั้นจึงสามารถดึงดูดสัตว์เพศผู้ในตระกูลสุนัขได้ โดยทั่วไปนายพรานจะใช้ล่าสุนัขจิ้งจอกเพศผู้ เพื่อนำขนที่สวยงามของมันไปขาย ในเมืองนี้ไม่มีสุนัขจิ้งจอกเพศผู้ แต่ควรจะมีสุนัขป่าเพศผู้ไม่น้อย”หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยนเว่ยฉือแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามก็ตกตะลึงอวี๋เฟยเหยียนอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก แล้วก็ลุกขึ้นยืนทันทีซ่างกวนซีมองเขา “เจ้าจะทำอะไร?”อวี๋เฟยเหยียนรีบพูด “เรื่องสนุกสนานเช่นนี้ ข้าจะพลาดได้อย่างไร!” พูดจบเขาก็จากไป!ฉินเซียงหรูถอนหายใจด้วยความเสียดาย “โอ๊ย ข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน” น่าเสียดายที่เขาไม่มีวิทยายุทธ์ จึงไม่อาจแอบดูได้ซ่างกวนซีได้ยินดังนั้น จึงครุ่นคิดแล้วจึงพูดว่า “อยากเห็น
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ