บทนำ
เพียงปลายนิ้วไล้แผ่วผ่าน กากี นางกายหอมที่ยังหลับใหลไม่ได้สติด้วยพิษไข้ก็สะดุ้งสะท้านไปทั้งตัว นวลผิวที่เคยขาวผุดผ่องละมุนละไม บอบบาง ชวนทะนุถนอม บัดนี้เต็มไปด้วยฟกช้ำจ้ำเขียว บางแห่งขีดข่วนฉีกขาดเห็นรอยเลือดซิบ
นั่นแค่เท่าที่เห็นจากภายนอก ใต้ผ้าผ่อนที่มองไม่เห็นนั่นจะอีกสักเท่าไหร่ คนธรรพ์หนุ่มคิด ร่องรอยของความเจ็บปวดพรายพราวไปทั่วร่าง น้ำตาหญิงสาวไหลหยดลงบนหมอนเป็นเม็ดใส ระยับราวเม็ดมณี ลาดไหล่สะท้านสะเทือนตามแรงสะอื้น
นาฏกุเวรสั่นไปทั้งตัว ทั้งปวดร้าว เจ็บแค้น สงสารจนใจแทบขาด
กากีเอ๋ย แก้วตาของพี่ เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ตั้งแต่พระเจ้าพรหมทัตทูลขอทารกในดอกบัวจากพระดาบส มาถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูจนเติบโต ผลิบานเต็มสาว หอมงามสะพรั่ง งามอย่างที่นางสวรรค์องค์ไหนก็ไม่อาจเทียบเทียมได้ เนื้อนวลบอบบางน่าถนอมอย่างนี้ ทำไมต้องมาเจอคนเลวทรามกระทำเยี่ยงนี้
เพราะใจยึดมั่นกตัญญูต่อพระเจ้าพรหมทัตที่รักบูชายิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าเท่านั้นหรอก ทำให้นาฏกุเวรเพียรพยายามหักห้ามใจตนเองเสมอมา
ทั้งที่เพลิงเสน่หาแผดเผาหัวใจแทบมอดไหม้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ต้องข่มไว้ ถ้อยนิดคำน้อยไม่เคยเอ่ยให้น้องระคาย เฉียดกรายใกล้ที่สุดก็เพียงมองผ่านม่านประตูห้องตอนที่นั่งบรรเลงดนตรีกล่อมหอก่อนเข้าบรรทมเท่านั้น
ดูรึ ไอ้ครุฑเดียรัจฉาน วางกลล่อลวงนางแก้วของแผ่นดินออกมาเป็นสมบัติตัวได้แล้ว กลับไม่รู้จักดูแลถนอมรักษาให้สมที่ได้รับโอกาสได้เชยชม
คนธรรพ์กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาขยับเข้าประชิด ก้มตัวกระซิบที่ข้างหู “กากี กากีเอ๋ย ยอดดวงใจของพี่ ตื่นเถิด พี่มาแล้ว” แตะมือวางที่ผิวเนื้อเหนือข้อศอก ตรงที่ไม่มีบาดแผล เขย่าร่างแผ่วเบา ด้วยความที่สีฝุ่นเป็นคนตื่นง่าย เป็นนิสัยติดกายมาแต่โลกโน้น ดังนั้นแม้จะเจ็บปวดระบมช้ำไปทั้งร่าง ซมด้วยพิษไข้ หญิงงามนามกากีก็ผวาตื่นขึ้น โดยพลันเมื่อได้ยินเสียงพูดอยู่ใกล้ๆ
เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มกึ่งมนุษย์กึ่งเทพนั่งแนบชิดอยู่ก็ตกใจ ผลักไสร่างนั้นออกห่าง ถดตัวถอยหนี ทว่าพละกำลังเหลือน้อยเต็มทีจากอาการเจ็บไข้ “ใคร ออกไปนะ!”
ผลเนื่องจากการถูกกระทำย่ำยีอย่างไร้ความปราณีจากพญาครุฑหนุ่มต่อเนื่องมาหลายคืน ทำให้กากีหวาดผวาแทบบ้า
นาฏกุเวรเห็นอย่างนั้นน้ำตาคลอในอกใจถูกบีบจนเหลือเล็กจ้อย กอดประคองหญิงสาวที่กะปลกกะเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงไว้ในท่านั่งแนบอก “พี่เองกากี พี่เอง นาฏกุเวร คนธรรพ์ที่คอยขับดนตรีกล่อมหอให้เจ้ากับองค์เหนือหัวพรหมทัตทุกค่ำคืน เจ้าอย่าอึงไป ประเดี๋ยวเวรยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องจะได้ยินเข้า พี่มาช่วยเจ้า ให้พ้นจากครุฑเลวนั่น”
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติอย่างยากเย็น สมองและดวงตาพร่าเลือนไปหมด ในที่สุดก็นึกออกได้เลาๆ “นาฏกุเวร... คนธรรพ์...”
กึ่งเทวดาหนุ่ม ใบหน้างามหมดจดผุดผ่องกระซิบต่อ “มาเถิด พี่เป็นกึ่งเทพ นอกจากมนต์ดนตรีคีตศิลป์แล้ว ยังพอมีพลังบำบัดรักษา พี่จะช่วยน้องให้หายเจ็บ อย่ากลัวเลยนะกากี”
กากีเงยหน้าสบตาชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงมองเนื้อตัวที่สว่างเรื่อเรืองขึ้นมาได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ เขาหลับตาขยับปากพึมพำบางอย่าง แล้วเป่าเบาๆที่ต้นแขน ตรงที่เป็นรอยช้ำปื้นใหญ่เขียวม่วง ริมฝีปากเกือบแตะเนื้อต้นแขน ลมหายใจร้อนผ่าว
น่าประหลาดใจยิ่ง ความเจ็บปวดหนึบทรมานจากรอยช้ำนั้นค่อยลดลงเรื่อยๆ เมื่อเหลือบมอง ก็พบว่ารอยช้ำปลาสนาการไปสิ้น เหลือเพียงผิวเนื้อนวลปลั่งขาวสะอาดสะอ้านเช่นเดิม “ทะ...ทำได้ยังไง” ในช่วงเวลาของความสับสน สีฝุ่นในร่างกากียังอุตส่าห์พยายามนึกถึงเหตุผลในแง่วิทยาศาสตร์ เออ ลืมไป นี่มันนิยายไทยแฟนตาซี
“พี่ต้องขอโทษด้วยที่อาจจะต้องล่วงเกิน กากีคนงาม มเหสีของพระเจ้าพรหมทัต ได้ใกล้ขนาดนี้กลิ่นกายของน้องหอมรัญจวนยิ่งนักจนหัวใจพี่แทบมอดไหม้ด้วยความสิเน่หา เห็นเจ้าเจ็บระบมไปหมดอย่างนี้พี่ใจแทบขาด ให้พี่ได้ช่วยรักษารอยฟกช้ำ ให้พี่ได้ถอนพิษไข้ให้เจ้าเถิด”
คนธรรพ์หนุ่มวางนางลงนอนอิงหมอนบนแท่นบรรทมเช่นเดิม ค่อยทยอยก้มลงจุมพิตแผ่วเบาไปตามรอยแผลฟกช้ำที่ปรากฏทั่วร่างอรชร ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่คล้ายความหวานซาบซ่านชวนชื่นใจอยู่ในผิวเนื้อ
กากีสะท้านทั้งร่าง แต่พอรู้สึกตัวตื่นเต็มที่ก็พยายามดิ้นรนผลักไสออก ยิ่งคิดถึงหน้ามานพหนุ่ม อันเป็นใบหน้าเดียวที่เธอรักบูชาหมดหัวใจมาตลอดหลายปี แขนขาก็ยิ่งมีแรงดิ้นรนมากขึ้น “ปล่อยข้า อย่ามาแตะต้องตัวข้า ตอนนี้ข้าเป็นชายาท้าวเวนไตย...”
นางพูดได้เพียงแค่นั้นก็สะดุ้งทั้งตัวอีกรอบ เมื่อถูกนาฏกุเวรเสกมนต์พิศวาสจังงัง เป่าพรวดใส่หน้าผากมือไม้แข้งขาที่แข็งขืนอยู่เมื่อครู่ก็พลันอ่อนยวบสิ้นเรี่ยวแรงลงทันที มึนงง พร่ามัว สับสน ขณะริมฝีปากอุ่นร้อนของนาฏกุเวรค่อยๆพรมจูบไปทั่วร่าง ไล่ตั้งแต่เนื้ออ่อนข้างแก้ม มาที่ซอกคอ ต้นแขน
คนธรรพ์ร่างงามระหงอย่างเทวดาพลิกกายนางเนื้อหอมให้หงายขึ้น สอดส่ายสายตามองจนทั่วว่ายังมีรอยช้ำรอยแผลเหลือตรงไหนอีก ผ้าพันอกเนื้อบางเบาสีกลีบบัวเลิกขึ้นเหนือสะดือ คลุมไว้เพียงปลายถันที่กำลังแข็งตั้งชูชันด้วยความหวิววาบอย่างประหลาด
หญิงสาวกระตุกทั้งร่างเมื่อริมฝีปากนุ่มลื่นอุ่นจัด ประกบเข้ากับรอยแผลข่วนยาวที่ท้องน้อย เธอเผลอตะปบมือทั้งสองเข้าที่บ่าของนาฏกุเวรอย่างแรง
บุรุษหนุ่มครึ่งเทวดาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างามพิลาศพิไล เห็นริ้วแดงก่ำพาดที่กลางแก้ม ริมฝีปากแดงฉ่ำถูกกัดเม้มไว้แน่น ก็กระหยิ่มใจ แต่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ “พี่ทำเจ้าตกใจหรือกากี น่าสงสารเสียจริง คงถูกรังแกจนผวา มาเถิด พี่จะรักษาเจ้าให้หายจากความทรมาน พิษไข้ของน้อง พี่จะช่วยถ่ายถอนให้เอง”
มีวิธีตั้งมากมายที่มนุษย์กึ่งเทพอย่างนาฏกุเวรจะทำได้เพื่อถ่ายถอนพิษไข้ แต่หญิงสาวที่นอนระทดระทวยอยู่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย ซ้ำยังมึนงงด้วยพลังมนต์ของมนุษย์กึ่งเทพ เธอจึงไม่ได้ปัดป้องผลักไส เมื่อชายหนุ่มรูปงามค่อยๆคลานขึ้นมาคร่อมร่างไว้ แล้วประกบริมฝีปากของเขาลงมาที่ริมฝีปากเธอ อย่างเชื่องช้า นุ่มนวล
เพียงริมฝีปากสัมผัส “นาฏกุเวร” คนธรรพ์หนุ่มสะท้านไปทั้งร่าง กลางกายร่ำร้องแข็งขันให้ปลดพันธนาการออก แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ ปรารถนาได้ครองทั้งหัวใจ ไม่ใช่เชยชมสมสู่ทิ้งขว้างอย่างหญิงงามอื่นทั่วแผ่นดินที่เขาเคยผ่าน
ความฉ่ำชื่นลื่นไหลของเนื้ออ่อนนุ่มหวานหอมกลิ่นกายเทพ สะกดกากีให้อยู่ในภวังค์ ร่างทั้งร่างสะบัดร้อนสะบัดหนาว ความปวดซมทรมานจากพิษไข้ไม่มีหลงเหลืออีก ซาบซ่านไปทั้งตัว ยังเผลอเผยอยกคอตามเมื่อเขาผละริมฝีปากห่างออก
นาฏกุเวรซ่อนยิ้มไว้ในหน้า “ตรงไหนอีกที่มันทำเจ้าเจ็บ” ว่าพลางกระตุกเปิดผ้าพันอกของนางออกโยนลงข้างแท่นบรรทมอย่างรวดเร็วและคว้าแขนเรียวงามดั่งลำเทียนไว้ไม่ให้ทันปิดป้อง
กากีอับอายยิ่งนักเมื่อต้องเผยร่างกายตนเองต่อหน้าคนธรรพ์ แต่กระนั้นร่างกายกลับไม่ยอมต้านทาน ทำได้เพียงหลับตาไม่มองใบหน้าหล่อเหลาคมคายแดงเรื่อ ที่กำลังกวาดสายตาพิจารณานางอย่างพิถีพิถัน
นาฏกุเวรระงับความตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระโจนออกนอกอก กากีเอ๋ย งามไปทั้งตัวอะไรอย่างนี้ ปทุมถันกลมเต่งตึงนวลงามเหมือนบัวหลวงแรกผุด ปลายถันกลมเล็กเท่าเม็ดบัวสีกลีบบัวเต่งชันแข็งขันเหมือนก้อนหิน บ่งบอกว่าหญิงเองก็กำลังทุกข์ทรมานยิ่งจากแรงปรารถนา กลิ่นเนื้อนางหอมฟุ้งแรงขึ้นมากกว่าที่เคย ยวนราคะแทบบ้าคลั่ง แม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยกัด ขย้ำ จากคนโง่เขลาไม่รู้ค่าอย่างท้าวเวนไตย
เขาแสร้งตีหน้าเศร้า “โถ ดูเถิด เต็มไปด้วยบาดแผล เจ้าคงทรมานมาก พี่จะช่วยเองนะ”
กากีเม้มปากกลั้นหายใจ ตอนที่ใบหน้างามดั่งปั้นมุดลงฟอนเฟ้นปทุมถันทั้งสองข้างย่างนุ่มนวล ปลายลิ้นอ่อนนุ่มลื่นเคลื่อนเฉียดผ่านปลายถัน เหมือนจงใจ ก่อนวนรอบปริมณฑล
เมื่อนาฏกุเวรเริ่มดูด เลีย ชิมเม็ดบัวน้อยๆด้วยจังหวะจะโคนชำนิชำนาญเหมือนดนตรีท่อนอินโทร หญิงสาวก็หายใจติดขัดสะอื้นสะท้าน ร่างกระตุกเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหวของปลายลิ้น ความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างอยากผลักไสเขาออกกับกดรวบร่างของคนธรรพ์เอาไว้แนบแน่นขึ้นให้กลายเป็นกายเดียว นางเนื้อหอมปากคอสั่น พูดจาไม่มีเสียง ร้อนวาบแต่ท้องน้อยลงไปถึงหน้าขา
“ทนเอาอีกหน่อยเถิด กากีคนงามของพี่ ที่เจ้าเจ็บที่สุดคือส่วนไหน พี่รู้ดี” ว่าพลางนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดอย่างมนุษย์กึ่งเทพก็เคลื่อนไหวปลดปมผ้านุ่งของนางออกอย่างรวดเร็วจนกากีแทบไม่ทันตั้งตัว
“มาเถิด” คราวนี้เสียงของนาฏกุเวรสั่นเครือจนไม่อาจซ่อนได้อีก “ให้พี่ได้ช่วยเจ้า รักษาบาดแผลที่ท้าวเวนไตยทำกับเจ้าไว้ให้หมดจดเสียทีเถิดนะ ยอดดวงใจของพี่”
“สีฝุ่น” หญิงสาวหุ่นอวบ แก้มป่อง วัยเบญจเพส ผมหน้าม้าและรวบหางม้า นั่งสัปหงก อยู่ที่โต๊ะทำงานตามปกติของช่วงเวลาบ่ายอ่อนๆ กินข้าวเที่ยงมาอิ่มๆ ตบด้วยขนมกับชาไข่มุก เดินขึ้นมาเจอแอร์เย็นๆ บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ไฉนเลยจะตาตื่นอยู่ได้ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโปรแกรมแชทในโทรศัพท์มือถือ จึงสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ เป็นข้อความในกลุ่มแชทจากแตงกวา เพื่อนในที่ทำงานเดียวกันนั่นเอง ต่างกันตรงที่ แตงกวาเป็นด่านหน้าธุรการกองบรรณาธิการ นั่งโต๊ะแรกสุด เพราะอย่างนั้นใครเปิดประตูเดินเข้ามาเธอจะเห็นก่อนเป็นคนแรก “ไอ้ฝุ่น คุณเปี๊ยกมาแล้ว ตื่นนนน” พร้อมสติ๊กเกอร์เป็นตัวการ์ตูนหัวกลมทำท่าเลิ่กลั่ก เห็นเจ้านายใหญ่สุดเฮี้ยบ ไม่ต้องรออะไรมากระตุ้น ทุกคนตาสว่าง ขยันขันแข็งกันทันที สีฝุ่นตื่นเต็มตา เปิดลิ้นชักข้างๆควานดินสอ ปากกา สมุดมาวางข้างๆ เปิดกางออก รีบคลิกหน้าจอพีซีให้ขึ้นอะไรสักอย่าง ลนลานรีบคลิกรัวๆแต่ก็ไม่มีอะไรขึ้นสักที มีแต่สกรีนเซฟเวอร์รูปลูกฟุตบอลสารพัดสีหมุนกลิ้งนวยนาดไปมา ใจเต้นตึกตักตามเสียงรองเท้าที่เดินใกล้เข้ามา ได้แต่ลุ้นให้คุณเปี๊ยกเด
เมื่อนึกถึงว่าพรุ่งนี้เช้า ต้องเข้าประชุมวางแผนงานสำหรับเดือนหน้า ช่วงบ่ายสีฝุ่นจึงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้อ่านไลน์หรือสนใจมือถือ คอมพิว เตอร์ก็ไม่ได้เปิด เลยไม่รู้ว่ามีคนแอบทำคลิปล้อเลียนและ แชร์เรื่องเปิ่นของเธอไปทั่วโซเชียลเนตเวิร์ค ประกอบกับคุณเปี๊ยก เจ้านายใหญ่เดินเข้าๆออกๆออฟฟิศทั้งบ่าย เลยทำให้แตงกวา เพื่อนที่สนิทสนมที่สุดในที่ทำงานนี้และคอยเป็นต้นทาง เป็นสัญญาณนิรภัย ไม่กล้าลุกเดินมาบอกที่โต๊ะด้วยเวลาล่วงมาถึงห้าโมงเย็น เมื่อคุณเปี๊ยก เจ้านายใหญ่ประกาศ“เอ้า นี่ ทุกคน อย่าลืมนะ งานขอบคุณซัพพลายเออร์เริ่มคืนนี้ ทุ่มตรง ใครหิวตอนนี้ก็หาอะไรรองท้องไปก่อน อย่าลืมนะ ห้ามพลาด ท้ายงานมีจับสลากชิงรางวัลด้วย” เดินออกจากออฟฟิศไปตอนนั้นเอง สีฝุ่นที่เพิ่งอ่านกากีไปได้สองเวอร์ชั่นครึ่ง เหลือแค่ฉบับหนังสือที่เจ้านายย้ำนักย้ำหนา ว่าห้ามยับ ห้ามขาด ห้ามหาย ห้ามเปื้อน ก็เงยหน้าขึ้นมาถอนหายใจยาว หากระดาษใกล้มือที่สุดมาคั่นไว้แล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหยียดแขนขึ้นสุดมือ เอี้ยวซ้าย เอี้ยวขวา แล้วเธอก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าคนเกือบทั้งออฟฟิศราว 20 กว่าชี
แค่คำพูดเรียบๆง่ายแต่อ่อนโยนของพี่ทศ ทำให้ทำนบน้ำตาของสีฝุ่นที่เก็บกักมาตลอดทั้งวันพังทลายลง เธอร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น สะอึกสะอื้นไม่อาย เมื่ออยู่กับคนที่เธอรู้สึกว่าเปิดใจคุยได้ทุกเรื่องแบบนี้ เป็นอันว่าเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด ไม่มีปัญหาขาดจานกระดาษหรือช้อนส้อมพลาสติกอะไรนั่นจริงๆหรอก “พี่เป็นห่วง คิดว่าฝุ่นคงรู้สึกแย่แน่ๆ ก็เลย อยากให้มีพื้นที่ลี้ภัยนิดนึงน่ะ” ชายหนุ่มบุคลิกนุ่มนวลพูดพลางยื่นกล่องกระดาษทิชชู่ให้ “ผ้าเช็ดหน้าก็มีนะ ซักสะอาดเรียบร้อย แต่พี่กลัวฝุ่นหาว่าพี่หลุดมาจากยุคบ้านทรายทอง” หญิงสาวขำพรืดออกมาอย่างสุดกลั้นจนน้ำมูกไหลออกมาเต็มกระดาษ ชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะเอ็นดูแล้วก็หยิบกระดาษทิชชู่เพิ่มให้อีก เสียงหัวเราะที่ตามมาหลังจากนั้น ทำให้สีฝุ่นคลายความรู้สึกแย่ๆลงไปได้มากทีเดียว “ทีหลัง มีอะไรก็มาหาพี่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่น” พี่ทศว่า ขณะกำลังขับรถออกจากหน้าสวนสาธารณะ ใกล้เวลาแล้ว ทั้งคู่ต้องรีบกลับไปเข้างานเลี้ยงให้ทันก่อนที่เจ้านายจะมา สีฝุ่นอมยิ้ม ภูเขาลูกโตที่ทับอกอยู่เหมือนถูกทลายลงไปเมื่อครู่ “ข
มองออกไปที่ทิวทัศน์รอบสวนหย่อมได้ในตอนกลางวัน ตอนนี้ด้านนอกมืด แสงไฟจากบันไดตึกสาดส่องสว่างสีขาวนวล ทำให้สีฝุ่นเห็นเงาสะท้อนตัวเองได้ชัดเจนขึ้นไปอีก เออวะ สภาพแบบนี้ไง เขาถึงไม่เคยเหลียวแล ผมหน้าม้าเหมือนเด็กประถม หน้ากลมเหมือนหมู สมอย่างที่เขาว่าจริงๆ เสียงจากงานเลี้ยงดังมาจากด้านล่าง หญิงสาวถอนหายใจ รู้สึกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า ที่ผ่านมาเธอพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานมาตลอด เธอเฝ้าแต่คิดว่า แม้จะไม่สวย หากเป็นคนดีมีความสามารถ ในที่สุดก็จะเป็นที่ยอมรับจากทุกคนได้ คนอื่นๆจะเห็นคุณค่าของตัวเธอที่ข้างใน มากกว่าแค่ภายนอก แต่เรื่องในวันนี้กลับยืนยันกับเธอว่า มันไม่เคยเป็นอย่างนั้น จู่ๆไฟส่องสว่างก็กระตุกวูบดับลงไปครู่หนึ่ง เสียงวี้ดว้ายของสาวๆดังขึ้นมาจากข้างล่าง สีฝุ่นรีบคว้าราวบันไดยึดไว้แน่นในความมืด เมื่อแสงสว่างกลับมา แสงสว่างทำให้ต้องหยีตา สีฝุ่นเบิกตามองภาพที่เห็นตรงหน้า ตะลึงตะลาน กระจกตรงบันไดที่เคยสะท้อนภาพหญิงสาวร่างอวบเศร้าสร้อยเมื่อครู่ กลับปรากฏภาพหญิงสาวงดงามพิลาศ
สีฝุ่นกัดริมฝีปากตัวเองไว้พยายามไม่ร้องไห้ออกมา คนที่ไม่อยากให้ใกล้ก็กลับเข้ามาใกล้ คนที่หมายปองในใจกลับไกลห่างออกไปสุดขอบฟ้า เกินที่เธอจะเอื้อมถึงได้อีก เหงื่อออกชุ่มเต็มตัว มือข้างเปียกไปด้วยเหงื่อ กำราวระเบียงเหล็กเย็นเฉียบมันวาวเอาไว้แน่น มืออีกข้างของเธอยังกำหนังสือชุ่มเบียร์ของเจ้านาย รู้สึกอยากอาเจียนเต็มที เธอมองออกไปนอกระเบียงสูงระดับเอว ยื่นหน้าออกไปจะสูดหายใจ แต่ก็ถูกดึงตัวไว้ “ฝุ่นระวัง เดี๋ยวหล่น” กำลังที่ดึงตัวกลับนั้นไม่มาก แต่ด้วยสีฝุ่น สาวร่างท้วมมีอาการมึนงง ทรงตัวไม่ดีอยู่ก่อนแล้วจึงกลายเป็นเซถลาจนล้มหงายก้นกระแทกนั่งกองอยู่ที่พื้น พร้อมๆกับพี่ทศที่พยายามประคับประคองสุดกำลัง ครืนนนนน... เสียงฟ้าดังคำรามดังสนั่น สีฝุ่นมองออกไปนอกระเบียง บนฟ้ามีเมฆขนาดใหญ่เคลื่อนตัวลงต่ำเป็นแผ่นหนากว้าง เห็นเส้นสายฟ้าวิ่งแวบวาบไปมาน่าหวาดหวั่น ลมไม่รู้ที่มาเริ่มพัดแรงขึ้นจนเธอต้องหยีตาหลบผงฝุ่นที่ปลิวฟุ้งไปทั่ว “ฝุ่น ลุกไหวไหม” ชายหนุ่มพยายามประคองเธอลุกขึ้น แต่ดูเหมือนกำลังแขนของเขาจะสู้น้ำหนักตัวหญิงสาวไม่ไหว “ฝ
อะ...อะไรกันเนี่ย! สีฝุ่นคิด ทั้งหมดนี่ มันอะไรกัน เธอพยายามโยนทิ้ง สะบัดมือขวาเพิ่งสลัดหนังสือออกแต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกจากมือ ซ้ำยังเหมือนมือของตัวเองกำลังละลายผสานหลอมรวมเข้ากับมันอีก ไอซ์ อี โค้ก ยาระยำอะไรสักอย่าง! ในแก้วเหล้านั่นแน่ๆที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้น เธอกำลังประสาทหลอนเพราะยา ใครสักคนคงแกล้งเธออีกตามเคย สีฝุ่น นี่มันคือภาพหลอน มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทั้งเรื่องจูบแรกในชีวิตที่ลานจอดรถนั่น เรื่องที่หล่นลงมาจนพี่ทศเป็นแบบนี้ แล้วก็หนังสือดูดมือนี่ด้วย สีฝุ่นหายใจหอบถี่ เหนื่อย สิ้นเรี่ยวแรง ยอมแพ้ นอนนิ่งๆ หลับตาลงปล่อยในทุกอย่างหมุนคว้าง วูบวับลับหายลงในเสียงดนตรีลึกลับที่ดังเหมือนใกล้เข้ามาทุกที เหมือนร่วงหล่นลงในเปลไกว โยกไกวอ่อนโยนชวนง่วงนอน หญิงสาวร่างอวบรู้สึกเหมือนหลับยาวมานานหลายชั่วโมง ตอนที่เริ่มได้กลิ่นคล้ายกลิ่นกำยานไม้หอม และกลิ่นดอกการเวก ผสมผสานกับกลิ่นน้ำอบน้ำปรุงโบราณที่เคยได้กลิ่นตอนไปร่วมงานมงคลของบางบ้าน หญิงสาวขยับพลิกตัวเบาๆ รู้สึกสบายใจเมื่อผิวเนื้อรับรู้ได้ถึงความเรียบลื่นนุ่มละมุนผิวของเนื้อผ้าที่ห่มคลุมกายไว้รวมถึงผ้าป
หญิงสาวงามสะคราญอีกคนคลานเข่าเข้ามา คนนี้อายุราว 20 ปี ผิวพรรณผุดผาด ผ้านุ่งผ้าห่มดูหรูหราสวยงามกว่าคนที่คลานออกไปเป็นอันมาก ซ้ำยังมีเครื่องประดับเครื่องทรงทองทั้งต่างหู สร้อย ปะวะหล่ำ กำไล ประดับเครื่องเพชรพลอยส่องสว่างแวววับจับตา “เอ้า พระสนมแก้ว ในฐานะสนมเอกที่รู้จักปรนนิบัติเอาใจข้าเป็นอย่างดี ต่อแต่นี้เจ้าเป็นพระสนมพี่เลี้ยงให้แม่กากีเขานะ สอนเรื่องครองเรือน เรื่องถวายตัวให้เขาหายกลัวเสียหน่อย นางกำนัลพี่เลี้ยง พวกเจ้าดูแลนางมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ต่อแต่นี้ก็รับบัญชาพระสนมแก้วท่านด้วย ท่านปรารถนาเรียกหาสิ่งใดก็จัดหามาให้อย่าได้ขาดตกบกพร่อง” ว่าจบก็ดึงตัวสีฝุ่นทำท่าจะหอมที่แก้ม สีฝุ่นเบ้หน้าเหยเกเกร็งตัวแข็ง จะถีบอีกสักรอบก็เกรงใจดาบยักษ์สี่เล่มรอบเตียงนั่น เลยยอมให้หอมให้จบๆไป หญิงงามผมเกล้าสูงพร้อมเครื่องทรงทองคำสุดอลังการเหมือนนางเอกละครย้อนยุค ขยับขึ้นมานั่งข้างๆเธอ โอบแขนประคองไว้ แล้วนำผ้านุ่งอีกผืนมาพันตัวให้ “มาเถิด กากี แต่นี้เจ้าเป็นน้องพี่ เรากำลังจะมีผัวคนเดียวกันแล้ว พี่จะสอนเจ้าเองว่าจะดูแลผัวของเราอย่างไร มาเถิด ลุกขึ้น
มือเรียวงามประดับปะวะหล่ำกำไล แหวนเพชรพลอยทองวูบวับ เอื้อมมาจับข้อมือที่ปิดไว้ให้กางออก เนิกอกของกากีตูมตั้งปลั่งเต่งราวดอกบัวหลวงเพิ่งผุดพ้นน้ำ กลมงามบริสุทธิ์ ปลายถันแดงก่ำสีหมากสุกขนาดเพียงครึ่งเม็ดบัว “อย่าอาย อย่าขัด มือนี่อย่าปัดป้องผลักไส พระสนมโง่เท่านั้นที่จะผลักไสองค์กษัตริย์ออกจากตัวและทำให้ตัวเองตกอับ เจ้าต้องเอามือและแขนนี้ โอบองค์หรือแตะที่ต้นแขนท่าน อย่าได้วางตกกะปลกกะเปลี้ยบนที่นอนเหมือนท่อนไม้ ท่านเคลื่อนไปเชยชมเจ้าทางไหนก็โอนอ่อนตาม ไม่มีบุรุษใดนิยมสมเสพกับซากศพที่นอนนิ่งแข็ง หรือเอาแต่คร่ำครวญร้องไห้ จำเอาไว้” สีฝุ่นพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็รีบยกแขนกลับมาปิดหน้าอกอีกอยู่ดี จนมือเรียวงามคู่นั้น วางลงบนหัวเข่าของเธอ แล้วพยายามดึงแยกออก สีฝุ่นเห็นพระสนมแก้วเม้มปากกลั้นหัวเราะ ก่อนจะทำหน้าตาขึงขัง “นี่สำคัญนัก แม่คุณ ขาเจ้าต้องไม่หนีบเข้าหากันเยี่ยงนี้ ต้องยอมอ่อนกำลังให้พระองค์ท่านกางออก ให้สอดพระวรกายเข้าไปได้” “สะ...สอด” หญิงสาวที่นอนอยู่สะดุ้งเฮือก แม้อายุ 25 ย่าง 26 แต่เธอก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศโดยตรง พอจะรู้หรอ
หญิงสาวนั่งลงบนฟูกนุ่มเหนือพระแท่นบรรทม รู้สึกราวกับทั้งโลกถูกจับหมุนโยกโคลงเคลง แต่กลับไม่คลื่นไส้เวียนหัว หัวใจเต้นเร็ว ในตาพร่าเห็นแสงสีรอบตัวแปลกไป สวยงามแปลกประหลาด เสียงลมที่ผ่าเข้ามาทางหน้าต่างก็ไพเราะเสนาะหูอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทุกอย่างดูบิดเบี้ยว เลือนพร่า แต่กลับน่าสนุก หญิงสาวรู้สึกอยากระเบิดหัวเราะออกมาดังๆ ผิวเนื้อตัววูบวาบเหมือนมีพลังงานความร้อนวิ่งซ่าน ลูบตรงไหน แตะอะไรก็เพลิดเพลินไปหมด กลิ่นยาสมุนไพรคล้ายกลิ่นชาเข้มข้นระเหยออกมาทางลมหายใจ กลับมีกลิ่นแฝงคล้ายกลิ่นดิน กลิ่นเห็ดป่า โอ นี่ อย่าบอกนะว่าในเมืองไพศาลีนี่มียาอีด้วย เธอคิดแล้วหลับตาหัวเราะ “ยาสมุนไพรที่เจ้าดื่มไปนั้นเป็นยาบำรุงเลือดลม และผสมตัวยาพิเศษที่เป็นสูตรเฉพาะตามความเชื่อของเมืองเราเพื่อความเป็นมงคล มันมีสรรพคุณพิเศษที่ปรุงมาเพื่อหญิงสาวในคืนวันแต่งงาน เพื่อให้ละความหวาดกลัว และความกระดากอายในการทำหน้าที่ภรรยา โดยเฉพาะหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยังคงรักษาพรหมจรรย์บริสุทธิ์มาจนถึงวันที่ต้องมอบมันให้สามี” ใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งลงข้างๆดูคุ้นเคยแต่ก็แปลกไป นั่น
เคยมีผู้ใดผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่าถ้อยคำนินทาว่าร้ายนั้นแพร่ลามไวเช่นเดียวกับโรคระบาด เรื่องราวประสบการณ์ทางเพศของกากีนั้น ถูกขุดคุ้ยและแต่งเติมด้วยปากของผู้คนที่มีเจตนาร้ายด้วยตนเสียผลประโยชน์อยู่เดิมจนพิสดารเลวร้ายขึ้นทุกขณะ เรื่องราวมักลงเอยด้วยการโทษว่าเป็นความผิดของกากีที่ทำให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น ชาวเมืองที่เคยอยู่กับอย่างสงบสุขกลับตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับเทพกลั่นแกล้ง คงเป็นเทพที่ดลใจให้ฉางตี๋ จิตรกรเด็กหนุ่มของเรือสำเภาตระกูลเฉิน คิดกลวิธีที่จะเก็บภาพชุดไพ่ที่ตนวาดขึ้นให้อยู่คงทนยาวนาน ด้วยการหาสีผึ้งใสชั้นดีมาเคลือบภาพไพ่เอาไว้เพื่อกันน้ำกันชื้นกันเชื้อรา มันใช้งานได้ดีทีเดียว เพราะเมื่อเรือโจรสลัดสุลัยมาน อับปางล่มลงทะเลจนลูกเรือล้มตายเสียสิ้นแล้ว ไพ่หรรษาเจ้ากรรมนี้กลับลอยขึ้นเหนือผิวน้ำโดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆทั้งสิ้น หนำซ้ำเทพเจ้าเล่ห์ผู้ชอบเล่นตลกกับชะตาของกากี ก็บันดาลให้กระแสน้ำทะเลค่อยๆพัดไพ่เหล่านี้ขึ้นสู่ชายฝั่งทะเลไพศาลีอย่างช้าๆ กระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง ชาวเมืองก็พบไพ่เจ้ากรรมเหล่า
“ท่านพี่เจ้าขา ท่านพี่ นางฟื้นแล้วเพคะ มาดูนางเร็วเข้า ตุ๊กตาปั้นของท่านพี่ นางฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อสายตาเริ่มโฟกัสสิ่งต่างๆได้ กากีก็พบว่าตนนอนอยู่ในห้องบรรทมที่ตกแต่งอย่างอบอุ่นน่ารัก และมีหน้าต่างเปิดให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก รอบแท่นที่นอนนั้นมีหญิงสาวนางกำนัลสองสามคน กำลังช่วยกันเช็ดมือให้เธออยู่ด้วยน้ำในขันลอยดอกไม้หลากสีกลิ่นหอมชื่นใจ เรื่องน่าตกใจที่สุดคือ หญิงสาวที่เจ้ากี้เจ้าการวิ่งไปวิ่งมาท่าทางคุ้นๆอยู่นั่น หน้าตาแบบนั้น เหมือนแตงกวาไม่มีผิด! “แตงกวา!” เธอร้องเรียก หน้าตาตื่น แล้วทุกคนในห้องนั้นก็หันมาหน้าตาตื่นเช่นเดียวกัน ากีรีบลุกทรงตัวนั่ง หิวและคอแห้งเป็นผง จนหน้ามืดตาลายเธอรีบคว้าเอาขันน้ำลอยดอกไม้ยกขึ้นดื่มอั๊กๆและเคี้ยวดอกไม้เข้าไปด้วย “ว้ายๆ นั่นมันน้ำล้างมือออออ” หญิงสาวที่เข้ามานั่งประกบข้างทีแรกจะดึงขันออก แต่ไปมากลายเป็นประคองขันช่วยให้น้ำไม่หกพลางหัวเราะเสียงสดใส “หิวมากละสินั่นแม่คุณ ถึงว่าสิ ตื่นมาตะโกนหาแตงกวาเสียงดังลั่นทีเดียว” ท้าวทศวงศ์ปราดเข้ามาในห้องบรรทมหน้าตาตื่น เมื่อเห็นว่ากากีต
ข้างฝ่ายกากี นางโฉมงามผู้ดวงชะตาตกอับถึงที่สุด รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อเรือเล็กถูกพัดเข้ามาเกยชายฝั่งในช่วงยามสี่ก่อนรุ่งสาง หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจสูดเอาอากาศเข้าปอด หลังจากยาผงขังวิญญาณหมดฤทธิ์ ร่างกายของเธอก็กลับฟื้นคืนทีละนิดมาตลอดเวลาที่หลับใหลมาบนเรือ เลือดลมเริ่มไหลเวียนตามปกติ กำลังวังชาเริ่มฟื้นคืนด้วยฤทธิ์ยาสมุนไพรที่ซินแสหวางปรุงให้กินมาตลอดสามวันก่อนหน้านี้ อาการบาดเจ็บและร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกทารุณกรรมต่อเนื่อง ก็ฟื้นคืนกลับมาแข็งแรง แม้ไม่เท่าเดิม แต่ก็พอมีแรงปีนออกจากเรือและรีบหนี “เมื่อฮูหยินฟื้นแล้ว ให้รีบลงจากเรือและวิ่งหนีขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุด ซุ่มซ่อนตัวไว้จนเช้า เพราะหากในขั้นตอนระหว่างนี้มีสิ่งใดขัดข้องไม่เป็นไปตามแผน สมุนโจรอาจเอะใจและติดตามไปทำร้ายเอาได้” กากีไม่ได้รับรู้ถึงหายนะภัยที่เกิดแก่เรือโจรสุลัยมาน เธอจึงยึดคำของซินแสหวาง โดยรีบเดินเท้าเข้าไปในผืนป่าเบื้องหน้าที่มืดมิด เพื่ออำพรางตนในความมืด ในเมื่อการรับรู้พร่าเลือน เธอจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองลากสังขารเดินโซซัดโซเซเข้าไปในป่า ลึก ไกลแค่
พวกมันหยุดการทะเลาะเบาะแว้งไปชั่วขณะ รีบแหวกทางให้ซินแสหวางเข้ามาตรวจอาการนางในห้อง เมื่อปิดห้องสนิทแล้วซินแสหวางก็เข้ามาพะแมะตรวจสอบชีพจรของนาง แล้วแสร้งส่ายหน้า พูดเบาๆ “น่าเวทนาแท้ เพราะเสียงครึกโครมเมื่อครู่ ประกอบกับร่างกายที่ยังไม่แข็งแรง คงตกใจเกินขนาดจนชีพจรหยุดเต้นฉับพลันทันที เช่นเดียวกับลูกกระต่ายที่ตกใจเสียงของหมาป่าเห่ากระโชกจนดวงใจน้อยๆของมันแตกสลายไป” มหาโจรร่างยักษ์หน้าซีดเผือด มันรีบประคองร่างนางกายหอมขึ้นมากอดมือไม้สั่น มันรีบทำท่าห้ามซินแสหวางพูดอะไรต่อ เพราะรู้ดีว่า หากพวกลูกเรือข้างนอกรู้เข้า พวกมันจะต้องโกรธมาก และพากันเข้ามากลุ้มรุมดึงทึ้งเอาศพกากีออกไปชำเราอย่างสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ชดเชยความโกรธแค้นที่มีมาตลอดหลายวัน และมันยอมให้กากี หญิงสาวคนเดียวในชีวิตที่มันต้องการถนอมรักไว้อย่างคนรักจริงๆ ถูกกระทำอย่างนั้นไม่ได้ ต่อให้สิ้นใจแล้วก็ตาม “หมอจีน เจ้าไม่ต้องพูดอะไร เล่นไปตามน้ำ ทำทีรักษานางไป เร็วเข้า” มันกระซิบกระซาบพลางชำเลืองมองไปด้านนอกที่กำลังตกตะลึง และพากันชะโงกมองเข้ามาข้างใน “ขยับถอยไป นางกากีได้ไข
กากีตาเบิกโต ประกายแห่งความหวังระยิบระยับขึ้นทันที “ออกจากเรือนี้ หนีไปจากที่นี่หรือ” นางว่าแล้วรีบรับจอกยาสมุนไพรเคี่ยวเข้มข้นมาดื่ม ความร้อน ขม ซ่านวิ่งวาบจากริมฝีปากสู่ลำคอจนถึงท้อง แต่เมื่อกลืนลงหมดท้องแล้วก็แช่มชื่นขึ้นทันที หลังจากนั้นซินแสหวางจึงค่อยลดเสียงลงและเล่าแผนการณ์หลบหนีที่เตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วให้นางฟัง เมื่อเล่าจบแล้วจึงย้ำ “หลังจากคืนที่สามแล้ว ข้าจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้อีก แต่ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่กระแสลมทะเลพัดเข้าฝั่ง ขอฮูหยินจงจำคำสั่งของข้าให้ดีอย่าให้ผิดพลาด เพราะหากถูกจับได้ เราทั้งสูงจะเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งคู่” หลังสำทับแผนการเป็นอย่างดีแล้ว ซินแสหวางก็ถือโอกาสเก็บรวบเศษผ้า กองผ้า ฟูกเก่าที่ขึ้นราราวกับแลปเพาะเชื้อโรค โยนออกนอกประตูไป ตอนนั้นเอง ที่ไพ่หรรษาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นปรากฏขึ้นแก่สายตา และซินแสหวางก็นึกกระหยิ่มในใจ เมื่อคิดแผนการที่จะทำให้ตนรอดออกไปจากเรือลำนี้ไปได้ในคราวเดียวกันหลังเจ็ดวันตามข้อตกลงของเรือโจร ลูกเรือที่พากันตั้งตารอคอยจะเสพนางกากีตามลำดับอาวุโสต่างก็ร้อนใจเมื่อนางเกิดป่วยหนั
ไพ่ทั้งหมด 48 ใบถูกคว้าขึ้นมาเพื่อเอาอย่างท่าทาง วนเวียนอยู่อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับร่างกายล่ำสันมันวาวของมหาโจรสุลัยมานเป็นเครื่องจักรกลที่สร้างมาเพื่อเสพกามเมถุน ตัวมันเองเพียงพักกินข้าวกินน้ำ และงีบหลับเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนลุกมาปลุกกากีเพื่อร่วมสังวาสหรือกระทำชำเราเอากับคนที่หมดแรงสลบไศลเพราะไม่ได้พักผ่อน ในวันที่ห้าที่หก กากีเมื่องัวเงียลืมตาขึ้นมาก็มักพบว่าตนถูกโยนร่างบิดไปมา ขย่มเขย่าในท่าต่างๆ บางครั้งก็สลบลงไปอีก บางครั้งก็ซ่านสุขไปตามการตอบสนองอัตโนมัติของร่างกาย และเริ่มเบลอ พร่าเลือนในการรับรู้ ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นใครมาจากไหนและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร รู้สึกถึงการถูกฉกเลียดูดขบที่ปลายถัน การถูกบดขยี้เม็ดมณีในกลีบบุปผาแห่งชีวิต การเคลื่อนเข้าออกอย่างรุนแรงในถ้ำสวาท และการเต้นตุบเป็นจังหวะของบรรดาอสรพิษที่เลื้อยรอบโคนแท่งเนื้ออสรพิษดำ ในยามที่จอมโจรสุลัยมานถึงจุสุดยอดและหลั่งน้ำกามข้นเหนียวสัมผัสแสบร้อนราวเหล้าผสมพิษงู ทิ้งไว้ในท้องของเธอ กากีได้ดื่มน้ำบ้าง ส่วนอาหารกล้ำกลืนลงคอได้น้อยเต็มที ครั่นเนื้อครั่นตัว สะบัดร้อนหนาวเหมือนคนเป็นไข้ เจ็บปว
สีฝุ่นในร่างนางกากีสะดุ้งเฮือก ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง กลิ่นเหม็นสาบเหงื่อบุรุษฉุนกึกปะทะจมูก เมื่อลืมตามองรอบตัวอีกครั้งเธอก็ใจหาย ห้องนอนมหาโจรสุลัยมาน อีกแล้วเหรอเนี่ย รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง คับแค้นใจที่กลับหล่นมาอยู่ในหนังสือบ้าๆนี่อีกครั้ง เธอแน่นในอก น้ำตารินอาบสองแก้ม อุตส่าห์กลับโลกได้แล้วแท้ๆ อีกนิดเดียวก็จะถึงร่างตัวเองแล้ว ทำไมถึงยังต้องวกกลับมาที่นี่อีก แล้วนี่กลับมาทั้งทีจะโดดข้ามตอนให้พ้นๆเรือโจรไปสักหน่อยก็ไม่ได้ ต้องกลับมาส่วนที่แย่ที่สุดของเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ นึกยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มหาโจรสุลัยมานจอมทัพเรือโจรเดินตรงเข้ามา มองเห็นกากีนั่งอยู่ก็หัวเราะชอบใจ “ตื่นแล้วหรือ แม่หญิงกากีเมียข้า” มันทรุดลงโผมาแนบข้างแทบจะเรียกว่าโจนเข้าใส่อย่างหมาตะกราม “คิดถึงรสรักข้าหรือยังเล่า ข้าคิดถึงเจ้าจนใจแทบขาดแล้ว” บุรุษนายโจรผู้นี้มีหลายสิ่งในตัวที่ชวนให้กากีหวาดกลัวและรังเกียจ แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลักษณะความเป็นชายที่เข้มข้นเต็มเปี่ยมนั้น ก็กระตุ้นสัญชาตญาณทางเพศตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งความ
วินาทีที่มือนุ่มอุ่นคู่นั้นสัมผัสเท้าสีฝุ่น หญิงสาวในร่างกากีผู้งามล่มหล้ารู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าอ่อนจางที่นำพาความสดชื่นฉ่ำหัวใจวิ่งพล่านไปทั่วร่าง ห่างไกลจากกามารมณ์ แต่ทำให้อบอุ่นหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และดูเหมือนว่าตั้งแต่เธออยู่ในร่างกากีมานี้ เขาน่าจะเป็นผู้ชายคนแรกที่เห็นใบหน้าเธอแล้วกลับสนใจเท้าเธอมากกว่า มือคู่นั้นที่สัมผัสเท้าและบาดแผลของเธออย่างอ่อนโยน ลื่นไหล ราบรื่นราวกับกำลังร่ายรำ ทำให้สีฝุ่นไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย แล้วจู่ๆ เธอก็เกิดนึกได้ขึ้นมาว่า เคยได้ยินเสียงของชายคนนี้มาจากที่ไหน ใช่แล้ว ตอนนั้นไง ตอนที่เธอกลับเข้าร่าง นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล เสียงผู้ชายคนนี้ หมอคนนี้แหละที่พูดคุยกับแม่และแตงกวา ตอนนั้นเธอลืมตาไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่ก็จำเสียงเขาได้เป็นอย่างดี นี่แหละ หมอเจ้าของไข้ของเธอกับพี่ทศ! “ขอโทษนะคะคุณหมอ” สีฝุ่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “ครับ ว่าไงครับ” เขาตอบโดยยังไม่เงยหน้าจากบาดแผลที่กำลังเริ่มเย็บตรงหน้า จดจ่อราวกับศิลปินกำลังตั้งใจทำงานประณีตศิลป์ชิ้นเอก “คุณ ใช่คุณหมอที่ดูแลคนไข้ตกจากระเบ