แค่คำพูดเรียบๆง่ายแต่อ่อนโยนของพี่ทศ ทำให้ทำนบน้ำตาของสีฝุ่นที่เก็บกักมาตลอดทั้งวันพังทลายลง เธอร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น สะอึกสะอื้นไม่อาย เมื่ออยู่กับคนที่เธอรู้สึกว่าเปิดใจคุยได้ทุกเรื่องแบบนี้ เป็นอันว่าเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด ไม่มีปัญหาขาดจานกระดาษหรือช้อนส้อมพลาสติกอะไรนั่นจริงๆหรอก
“พี่เป็นห่วง คิดว่าฝุ่นคงรู้สึกแย่แน่ๆ ก็เลย อยากให้มีพื้นที่ลี้ภัยนิดนึงน่ะ” ชายหนุ่มบุคลิกนุ่มนวลพูดพลางยื่นกล่องกระดาษทิชชู่ให้ “ผ้าเช็ดหน้าก็มีนะ ซักสะอาดเรียบร้อย แต่พี่กลัวฝุ่นหาว่าพี่หลุดมาจากยุคบ้านทรายทอง”
หญิงสาวขำพรืดออกมาอย่างสุดกลั้นจนน้ำมูกไหลออกมาเต็มกระดาษ ชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะเอ็นดูแล้วก็หยิบกระดาษทิชชู่เพิ่มให้อีก เสียงหัวเราะที่ตามมาหลังจากนั้น ทำให้สีฝุ่นคลายความรู้สึกแย่ๆลงไปได้มากทีเดียว
“ทีหลัง มีอะไรก็มาหาพี่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่น” พี่ทศว่า ขณะกำลังขับรถออกจากหน้าสวนสาธารณะ ใกล้เวลาแล้ว ทั้งคู่ต้องรีบกลับไปเข้างานเลี้ยงให้ทันก่อนที่เจ้านายจะมา
สีฝุ่นอมยิ้ม ภูเขาลูกโตที่ทับอกอยู่เหมือนถูกทลายลงไปเมื่อครู่ “ขอบคุณค่ะพี่ทศ พี่ทศดีกับฝุ่นมาตลอดเลย จริงๆฝุ่นคิดถึงตอนที่ทำอยู่พัสดุกับพี่บ่อยๆนะคะ พอคนน้อย เรื่องวุ่นวายก็น้อย เหนื่อยกับงานยังดีกว่าเหนื่อยกับความหลากหลายของคน”
“อื้ม” ชายหนุ่มตอบ “พี่ก็ชอบ...ตอนนั้น แต่สีฝุ่นชอบงานสำนักพิมพ์ใช่ไหม ฝุ่นเขียนบทความเก่งมาก พี่เห็นงานแต่ละชิ้นออกมาดีๆตลอดเลย ถ้าฝุ่นรู้สึกไม่ดีที่ต้องมาทำงานทุกวัน เรารับงานไปฟรีแลนซ์ก็ได้นี่ เจ้านายเขาเห็นฝีมือเราแล้ว เขาไว้ใจมีงานต่อเนื่องแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วงเลย บางที การที่เราอยู่ที่ไหนแล้วมีความสุข สบายใจมากกว่า มันอาจจะเป็นคำตอบก็ได้” คำพูดเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยข้อความแห่งความปรารถนาดี แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกวาบในใจแปลกๆ เธอแอบชำเลืองมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ ในกรอบแว่นตาสีเงินนั้น ดวงตาอบอุ่นมองตอบกลับมาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เธอเห็นแววประหม่าในนั้น แต่ก็คิดว่าตัวเองอาจคิดมากไปเอง
ก็จริง เรื่องงาน เธอเคยคิดบ่อยๆเรื่องทำงานที่บ้าน แต่เหตุผลที่ทำให้มีแรงตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านทุกวันมันไม่ใช่เรื่องงาน จะให้ทำยังไงได้ แค่คิดถึงหน้าพี่นภขึ้นมาหัวใจก็พองโตเต็มอก เลือดสูบฉีดอบอุ่นขึ้นมาทันที เออ จริงด้วย แตงกวาบอกว่าพี่นภมีเรื่องอะไรสักอย่างจะประกาศนี่นา หวังว่าคงไม่...
“ฝุ่นครับ คืนนี้ หลังงานเลี้ยงจบ พี่ขอขับรถไปส่งได้ไหม” จู่ๆพี่ทศก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาประหม่าปนตื่นเต้น ความรู้สึกแปลกๆนี้ทำให้สีฝุ่นรู้สึกใจคอไม่ดีและกลับมาอึดอัดอีกครั้ง เธอพยายามบอกตัวเองว่า คงไม่ใช่อย่างที่คิด แต่เมื่อหันไปมองหน้าชายหนุ่มอ่อนโยนคนที่กำลังขับรถกลับเข้าตึกมันก็ยิ่งตอกย้ำ แก้มของเขาแดงเรื่อ เมื่อจอดรถแล้วหันมาสบตากับเธอในความมืดสลัวของอาคารจอดรถชั้นสอง
“นะ พี่จะรอ คืนนี้ขอพี่ขับรถไปส่ง พี่มีเรื่องสำคัญอยากบอกฝุ่นมานานแล้ว”
ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสอง ดูเหมือนพนักงานส่วนใหญ่พากันเตรียมเสื้อผ้าสวยๆหล่อๆมาเปลี่ยนเพื่อเตรียมเข้างาน งานขอบคุณซัพพลายเออร์สำหรับบริษัทนี้ เป็นงานใหญ่รองจากงานปีใหม่ มักจัดขึ้นในช่วงกลางปี สีฝุ่นไม่ค่อยได้ใส่ใจนักเพราะงานนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนงานเธอ เสื้อผ้าหน้าผมมายังไงก็ไปอย่างงั้น เพราะแต่เดิมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
พอรถจอดสนิท สีฝุ่นหันมายิ้มไวๆให้กับชายหนุ่มรุ่นพี่ “ขอบคุณมากนะคะพี่ทศ” เธอว่าแล้วรีบก้าวลงจากรถก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไรออกมาอีก และวางแผนในใจว่า จะร่วมงานแค่พอให้เจ้านายเห็นหน้าแล้วรีบหลบออกจากงานไม่ให้ใครรู้ หนีกลับบ้านก่อนที่พี่ทศจะพยายามมาพูดอะไรแปลกๆอีก
สีฝุ่นเดินเข้าตึก กำลังจะเปิดประตูกระจกเข้าไปในงาน แต่ก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนที่เดินออกมาจากออฟฟิศชั้นสี่ เธอไม่ได้หยิบออกมาทั้งกระเป๋าและวรรณกรรมกากีฉบับหนังสือที่เจ้านายให้มาอ่าน ยังอ่านค้างครึ่งไว้เมื่อช่วงเย็น จึงเดินเลี้ยวไปกดปุ่มลิฟต์ขึ้น
ประตูลิฟต์เปิดออก หญิงสาวร่างท้วมก้าวเข้าไปในลิฟต์ และรู้สึกได้ว่ามีอีกสามคนเดินตามเข้ามา เป็นพนักงานในแผนกอื่นที่จะขึ้นไปชั้นสาม
เมื่อประตูลิฟต์ปิด เธอก็ได้ยินสามคนด้านหลังกระซิบกับ “ใช่ป่ะวะ”
“ชัวร์ ป็อกกี้กล้วยช็อกโกแลต” แล้วทั้งสามก็หัวเราะกันคิกคัก สีฝุ่นหน้าชา แต่ก็ไม่ได้หันไปมอง
ลิฟต์กระตุกนิดหนึ่งตรงชั้นสอง ไฟตกวูบ สาวสามคนด้านหลังร้อง อุ๊ย ว้ายกันเบาๆ คนหนึ่งพูดขึ้น “สงสัยลิฟต์หนักอ่ะแก บรรทุกน้ำหนักเกิน” แล้วก็หัวเราะกันคิกคักอีก
สีฝุ่นหันไปมองช้าๆ ปากสั่น รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ทั้งสามเห็นหน้าสีฝุ่นก็พากันตกใจ หลบตาวูบวาบ
ลิฟต์เปิดอีกครั้งที่ชั้นสาม สามคนนั้นรีบเดินออกไปจากลิฟต์ สีฝุ่นหันหน้าเข้าด้านใน หลับตา สูดหายใจเข้าแล้วถอนใจยาว เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นภาพในกระจกเงาด้านใน ปรากฏภาพ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คิ้วเข้ม ตาคม เปลือยท่อนบน นุ่งโจงกระเบนสีแดงปักดิ้นทองเป็นประกายแวววาว ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดคือที่ด้านหลังของเขามีปีกนกสีน้ำตาลอ่อนขนาดใหญ่งอกออกมาจากผิวเนื้อด้วย
พี่นภเหรอนั่น ! นี่... แค่งานเลี้ยงบริษัท ต้องจัดเต็มขนาดนี้เลยเหรอ เธอคิด หลับตาปี๋ แล้วสะบัดหน้า ลืมตามองกระจกอีกรอบ คราวนี้ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่สีฝุ่นแอบชอบมานานในชุดทำงานปกติยืนมองหน้าเธองงๆอยู่ “สีฝุ่น เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอ” เสียงก้องกังวานของพี่นภทำเธอสะดุ้ง
หญิงสาวรีบส่ายหน้าดิก หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที ชั่วเวลาแค่ไม่กี่นาทีตั้งแต่ลานจอดรถจนมาถึงนี่ มีสิ่งแปลกๆที่มากระทบความรู้สึกเธอมากจนแปรปรวนไปหมด ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“เปล่าคะ ไม่เป็นไร ฝุ่นโอเค”
ชายหนุ่มพยักหน้า “อืม ดีแล้วละ เข้มแข็งไว้นะ เรื่องคลิปเมื่อบ่าย ไอ้คนทำมันก็เกินไปจริงๆ ไม่รู้จักเห็นใจคนอื่นเขาเสียบ้าง ถ้ารู้ตัวนะ พี่จะเล่นมันให้หนักเลย”
หญิงสาวอมยิ้ม นึกดีใจที่พี่นภก็แคร์เธอด้วยเธอนึกพลางอยากให้ออฟฟิศอยู่สักชั้น 25 จะได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้นานอีกสักหน่อย “ช่างมันเถอะค่ะพี่นภ เดี๋ยวพรุ่งนี้คนก็ลืม”
ประตูลิฟต์เปิดออกนภเดินออกไปที่ออฟฟิศสำนักพิมพ์ สีฝุ่นรีบตามเข้าไป ที่โต๊ะตัวเอง หยิบกระเป๋าสะพาย กุลีกุจอจะเดินออกมาให้ทันพี่นภที่เดินลิ่วกลับไปที่ลิฟต์ก่อนแล้ว
เธอกำลังจะเอ่ยปากเรียกไว้ แต่ประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง จูน สาวสวยแผนกการตลาดชะโงกหน้าออกมาพอดี “พี่นภ อยู่นี่จริงด้วย จูนก็เดินตามหา”
สีฝุ่นใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นชายหนุ่มในดวงใจของเธอยิ้มสว่างไสวเต็มหน้า “พี่ลืมของเลยกลับมาเอาที่โต๊ะ จะไปแล้วจ้ะ” ยังอุตส่าห์หันมาเรียกสีฝุ่น “เอ้า สีฝุ่น มาสิ กดลิฟต์รอเนี่ย”
หญิงสาวร่างอวบที่ใจเหี่ยวฟีบเหลือนิดเดียวยืนนิ่งขาตาย บรรยากาศออร่าสีชมพูเต็มลิฟต์ขนาดนั้นขืนเข้าไปใกล้กว่านี้ใจคงพังยับไปยิ่งกว่านี้อีก “ไม่เป็นไรค่ะพี่ ฝุ่นจะไปเข้าห้องน้ำก่อน ไปกันก่อนเลยค่ะ”
สีฝุ่นถอนหายใจยาวหลังลิฟต์ปิดลง เธอตัดสินใจเดินลงบันไดแทนลงลิฟต์ กระจกผนังตรงบันไดที่เคยใช้เป็นจุดพักสายตา
มองออกไปที่ทิวทัศน์รอบสวนหย่อมได้ในตอนกลางวัน ตอนนี้ด้านนอกมืด แสงไฟจากบันไดตึกสาดส่องสว่างสีขาวนวล ทำให้สีฝุ่นเห็นเงาสะท้อนตัวเองได้ชัดเจนขึ้นไปอีก เออวะ สภาพแบบนี้ไง เขาถึงไม่เคยเหลียวแล ผมหน้าม้าเหมือนเด็กประถม หน้ากลมเหมือนหมู สมอย่างที่เขาว่าจริงๆ เสียงจากงานเลี้ยงดังมาจากด้านล่าง หญิงสาวถอนหายใจ รู้สึกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า ที่ผ่านมาเธอพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานมาตลอด เธอเฝ้าแต่คิดว่า แม้จะไม่สวย หากเป็นคนดีมีความสามารถ ในที่สุดก็จะเป็นที่ยอมรับจากทุกคนได้ คนอื่นๆจะเห็นคุณค่าของตัวเธอที่ข้างใน มากกว่าแค่ภายนอก แต่เรื่องในวันนี้กลับยืนยันกับเธอว่า มันไม่เคยเป็นอย่างนั้น จู่ๆไฟส่องสว่างก็กระตุกวูบดับลงไปครู่หนึ่ง เสียงวี้ดว้ายของสาวๆดังขึ้นมาจากข้างล่าง สีฝุ่นรีบคว้าราวบันไดยึดไว้แน่นในความมืด เมื่อแสงสว่างกลับมา แสงสว่างทำให้ต้องหยีตา สีฝุ่นเบิกตามองภาพที่เห็นตรงหน้า ตะลึงตะลาน กระจกตรงบันไดที่เคยสะท้อนภาพหญิงสาวร่างอวบเศร้าสร้อยเมื่อครู่ กลับปรากฏภาพหญิงสาวงดงามพิลาศ
สีฝุ่นกัดริมฝีปากตัวเองไว้พยายามไม่ร้องไห้ออกมา คนที่ไม่อยากให้ใกล้ก็กลับเข้ามาใกล้ คนที่หมายปองในใจกลับไกลห่างออกไปสุดขอบฟ้า เกินที่เธอจะเอื้อมถึงได้อีก เหงื่อออกชุ่มเต็มตัว มือข้างเปียกไปด้วยเหงื่อ กำราวระเบียงเหล็กเย็นเฉียบมันวาวเอาไว้แน่น มืออีกข้างของเธอยังกำหนังสือชุ่มเบียร์ของเจ้านาย รู้สึกอยากอาเจียนเต็มที เธอมองออกไปนอกระเบียงสูงระดับเอว ยื่นหน้าออกไปจะสูดหายใจ แต่ก็ถูกดึงตัวไว้ “ฝุ่นระวัง เดี๋ยวหล่น” กำลังที่ดึงตัวกลับนั้นไม่มาก แต่ด้วยสีฝุ่น สาวร่างท้วมมีอาการมึนงง ทรงตัวไม่ดีอยู่ก่อนแล้วจึงกลายเป็นเซถลาจนล้มหงายก้นกระแทกนั่งกองอยู่ที่พื้น พร้อมๆกับพี่ทศที่พยายามประคับประคองสุดกำลัง ครืนนนนน... เสียงฟ้าดังคำรามดังสนั่น สีฝุ่นมองออกไปนอกระเบียง บนฟ้ามีเมฆขนาดใหญ่เคลื่อนตัวลงต่ำเป็นแผ่นหนากว้าง เห็นเส้นสายฟ้าวิ่งแวบวาบไปมาน่าหวาดหวั่น ลมไม่รู้ที่มาเริ่มพัดแรงขึ้นจนเธอต้องหยีตาหลบผงฝุ่นที่ปลิวฟุ้งไปทั่ว “ฝุ่น ลุกไหวไหม” ชายหนุ่มพยายามประคองเธอลุกขึ้น แต่ดูเหมือนกำลังแขนของเขาจะสู้น้ำหนักตัวหญิงสาวไม่ไหว “ฝ
อะ...อะไรกันเนี่ย! สีฝุ่นคิด ทั้งหมดนี่ มันอะไรกัน เธอพยายามโยนทิ้ง สะบัดมือขวาเพิ่งสลัดหนังสือออกแต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกจากมือ ซ้ำยังเหมือนมือของตัวเองกำลังละลายผสานหลอมรวมเข้ากับมันอีก ไอซ์ อี โค้ก ยาระยำอะไรสักอย่าง! ในแก้วเหล้านั่นแน่ๆที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้น เธอกำลังประสาทหลอนเพราะยา ใครสักคนคงแกล้งเธออีกตามเคย สีฝุ่น นี่มันคือภาพหลอน มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทั้งเรื่องจูบแรกในชีวิตที่ลานจอดรถนั่น เรื่องที่หล่นลงมาจนพี่ทศเป็นแบบนี้ แล้วก็หนังสือดูดมือนี่ด้วย สีฝุ่นหายใจหอบถี่ เหนื่อย สิ้นเรี่ยวแรง ยอมแพ้ นอนนิ่งๆ หลับตาลงปล่อยในทุกอย่างหมุนคว้าง วูบวับลับหายลงในเสียงดนตรีลึกลับที่ดังเหมือนใกล้เข้ามาทุกที เหมือนร่วงหล่นลงในเปลไกว โยกไกวอ่อนโยนชวนง่วงนอน หญิงสาวร่างอวบรู้สึกเหมือนหลับยาวมานานหลายชั่วโมง ตอนที่เริ่มได้กลิ่นคล้ายกลิ่นกำยานไม้หอม และกลิ่นดอกการเวก ผสมผสานกับกลิ่นน้ำอบน้ำปรุงโบราณที่เคยได้กลิ่นตอนไปร่วมงานมงคลของบางบ้าน หญิงสาวขยับพลิกตัวเบาๆ รู้สึกสบายใจเมื่อผิวเนื้อรับรู้ได้ถึงความเรียบลื่นนุ่มละมุนผิวของเนื้อผ้าที่ห่มคลุมกายไว้รวมถึงผ้าป
หญิงสาวงามสะคราญอีกคนคลานเข่าเข้ามา คนนี้อายุราว 20 ปี ผิวพรรณผุดผาด ผ้านุ่งผ้าห่มดูหรูหราสวยงามกว่าคนที่คลานออกไปเป็นอันมาก ซ้ำยังมีเครื่องประดับเครื่องทรงทองทั้งต่างหู สร้อย ปะวะหล่ำ กำไล ประดับเครื่องเพชรพลอยส่องสว่างแวววับจับตา “เอ้า พระสนมแก้ว ในฐานะสนมเอกที่รู้จักปรนนิบัติเอาใจข้าเป็นอย่างดี ต่อแต่นี้เจ้าเป็นพระสนมพี่เลี้ยงให้แม่กากีเขานะ สอนเรื่องครองเรือน เรื่องถวายตัวให้เขาหายกลัวเสียหน่อย นางกำนัลพี่เลี้ยง พวกเจ้าดูแลนางมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ต่อแต่นี้ก็รับบัญชาพระสนมแก้วท่านด้วย ท่านปรารถนาเรียกหาสิ่งใดก็จัดหามาให้อย่าได้ขาดตกบกพร่อง” ว่าจบก็ดึงตัวสีฝุ่นทำท่าจะหอมที่แก้ม สีฝุ่นเบ้หน้าเหยเกเกร็งตัวแข็ง จะถีบอีกสักรอบก็เกรงใจดาบยักษ์สี่เล่มรอบเตียงนั่น เลยยอมให้หอมให้จบๆไป หญิงงามผมเกล้าสูงพร้อมเครื่องทรงทองคำสุดอลังการเหมือนนางเอกละครย้อนยุค ขยับขึ้นมานั่งข้างๆเธอ โอบแขนประคองไว้ แล้วนำผ้านุ่งอีกผืนมาพันตัวให้ “มาเถิด กากี แต่นี้เจ้าเป็นน้องพี่ เรากำลังจะมีผัวคนเดียวกันแล้ว พี่จะสอนเจ้าเองว่าจะดูแลผัวของเราอย่างไร มาเถิด ลุกขึ้น
มือเรียวงามประดับปะวะหล่ำกำไล แหวนเพชรพลอยทองวูบวับ เอื้อมมาจับข้อมือที่ปิดไว้ให้กางออก เนิกอกของกากีตูมตั้งปลั่งเต่งราวดอกบัวหลวงเพิ่งผุดพ้นน้ำ กลมงามบริสุทธิ์ ปลายถันแดงก่ำสีหมากสุกขนาดเพียงครึ่งเม็ดบัว “อย่าอาย อย่าขัด มือนี่อย่าปัดป้องผลักไส พระสนมโง่เท่านั้นที่จะผลักไสองค์กษัตริย์ออกจากตัวและทำให้ตัวเองตกอับ เจ้าต้องเอามือและแขนนี้ โอบองค์หรือแตะที่ต้นแขนท่าน อย่าได้วางตกกะปลกกะเปลี้ยบนที่นอนเหมือนท่อนไม้ ท่านเคลื่อนไปเชยชมเจ้าทางไหนก็โอนอ่อนตาม ไม่มีบุรุษใดนิยมสมเสพกับซากศพที่นอนนิ่งแข็ง หรือเอาแต่คร่ำครวญร้องไห้ จำเอาไว้” สีฝุ่นพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็รีบยกแขนกลับมาปิดหน้าอกอีกอยู่ดี จนมือเรียวงามคู่นั้น วางลงบนหัวเข่าของเธอ แล้วพยายามดึงแยกออก สีฝุ่นเห็นพระสนมแก้วเม้มปากกลั้นหัวเราะ ก่อนจะทำหน้าตาขึงขัง “นี่สำคัญนัก แม่คุณ ขาเจ้าต้องไม่หนีบเข้าหากันเยี่ยงนี้ ต้องยอมอ่อนกำลังให้พระองค์ท่านกางออก ให้สอดพระวรกายเข้าไปได้” “สะ...สอด” หญิงสาวที่นอนอยู่สะดุ้งเฮือก แม้อายุ 25 ย่าง 26 แต่เธอก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศโดยตรง พอจะรู้หรอ
ดรุณีอรชร อกเต่ง สะโพกตึง เอวกิ่วคอด หน้าตาอ่อนเยาว์อ่อนเดียงสาเหมือนหยาดน้ำค้าง แต่เข้าใกล้แล้วเร่าร้อนเหมือนเปลวไฟ กลิ่นกายหอมหวานติดกายบุรุษที่แตะต้องตัวนางไปอีกเจ็ดวันเจ็ดคืน แน่แล้ว ตอนนี้เธอเป็นนางกากี ตอนต้นเรื่องเลยละ หลังจากที่กำเนิดในดอกบัว พระฤษีเก็บเอามาเลี้ยง แล้วพระเจ้าพรหมทัตขอนางมาชุบเลี้ยงทะนุถนอมจนเติบใหญ่ เริ่มกลายเป็นเด็กสาวแรกรุ่น แล้วก็จะเอาเด็กสาวมาทำเมีย อืมมม...เรื่องมันเป็นอย่างนี้เอง สีฝุ่นคิด แว้กกกกกก! ไม่ได้สิ จะมาเออออห่อหมกง่ายๆแบบนี้ไม่ด้ายยยยย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางกำนัลพี่เลี้ยงสามคนกลับเข้ามาในห้อง คนหนึ่งถือขันทองเหลือขนาดใหญ่มีผ้าผืนเล็กพาดอยู่เดินตามเข้ามาด้วย “ชำระร่างกายก่อนเข้าบรรทมเพคะ พระสนมกากี” นางกำนันคนที่เดินนำหน้าเอ่ยขึ้นพลางตรงเข้ามาเอื้อมมือจับปมผ้าที่หน้าอกกากีอีกครั้ง “ไม่ๆๆๆ ไม่ต้องแล้วค่ะ ฉันทำเองได้ แค่เช็ดตัวก็จบใช่ไหม พอกันที เวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง มีคนแปลกหน้าจะมาจับฉันแก้ผ้าครั้งที่สามเข้าไปแล้ว สมกับเป็นเรื่องกากีจริงๆ ” สีฝุ่นถอนหายใจ นางกำนัลพี่เลี้ยงสองคนแ
นางกายหอมคิด ทั้งหน้าอก สะโพก ตูมเต่งกลมไปหมด เอวก็คอดหยั่งกะมด แถมตรงนั้น... ก็เหมือนผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วด้วย หลังเสวยหรือเกือบจะเรียกว่าสวาปามอาหารมื้อเช้าไปจนเกลี้ยงสำรับ กากีก็ถูกจับแต่งตัวห่มผ้ามิดชิด เอาผ้าคลุมศีรษะ เดินออกจากห้องตน ออกไปข้างนอก ความหนาของผ้ามากพอจะทำให้คนภายนอกมองทะลุเข้ามาไม่ได้ แต่ตัวกากีเองนั้นดวงตาแนบอยู่กับผ้าจึงมองลอดออกไปได้ ในยามกลางวันแสงแดดทำให้ภาพความใหญ่โตโอ่อ่าอลังการของพระราชวังเมืองพาราณสีเด่นชัด งดงามไม่แพ้ภาพในจินตนาการตอนที่อ่านหนังสือ เพียงออกมาจากห้อง เธอก็ได้ยินเสียงดนตรีไพเราะ คล้ายเสียงพิณจีนผสมฮาร์ป ดังกังวานไปทั่ว “เสียงพิณเทวะของนาฏกุเวร ไพเราะยิ่งนัก” นางกำนัลนางหนึ่งที่ประคองด้านขวาเอ่ยขึ้น “จุ๊ๆ” นางกำนัลที่ประคองซ้ายทำเสียงดุห้าม “อย่าอึงไป พระสนมแก้วได้ยินเข้าได้หวายลงหลัง เป็นนางใน เอ่ยถึงบุรุษ ไม่งาม” นางด้านขวาค้อนควัก “แหม ก็มีกันอยู่เท่านี้ บุรุษอื่นใดจะเข้ามาในเขตพระราชฐานนี้หาได้ไม่ มีแต่จตุรงค์ราชองค์รักษ์ที่เฝ้าแหนพระเจ้าเหนือหัวเท่านั้น แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วน
หญิงสาวกลั้นใจ ค่อยๆกางขาของตนออก หลับตา เบือนหน้าหนี อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทำให้มันจบๆไปซะ เธอท่องราวกับเป็นคาถาที่จะปกป้องตนเองได้ กากีแม่หญิงงามใจหายวาบ ร้อนไปถึงก้น เมื่อรู้สึกได้ถึงบางสิ่งนุ่มหยุ่น พยายามเคลื่อนไหว ถูไถเลื่อนไปมาที่จุดกระสันหญิง และวนเวียนอยู่รอบปากทางเข้าสู่ช่องถ้ำนาง รู้สึกถึงแรงดันพยายามจะล่วงล้ำอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงครางยาวอย่างผิดหวังของชายกลางคน วัตถุกึ่งแข็งกึ่งหยุ่นนั้นกลับย่อนยวบลงทันทีเหมือนฟองน้ำ ไม่อาจยื้อรั้งได้อีก ของเหลวขาวข้นขุ่นร้อนราดรดบนเนินสวาทที่มีไรขนอ่อนนุ่มปกคลุมบางเบาและยังราดรดต้นขาของเธออีก อะไรกันน่ะ ยังไม่ได้เข้าไปไม่ใช่เหรอ หรือว่า แบบนี้หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่าล่มปากอ่าว เธอคิดวนไปวนมาอย่างสับสน แล้วนี่ฉันต้องทำยังไง พระเจ้าพรหมทัตเริ่มสะอึกสะอื้น หน้าตาแดงก่ำ กลิ่นสุรายังคลุ้งแรงในลมหายใจ “น่าขายหน้านัก ข้าหมายชมเจ้าให้สมที่อดใจรอเจ้าโตมานาน แต่พอถึงเวลากลับเป็นเช่นนี้ไปได้ น่าอับอายยิ่งนัก ต่อหน้าเจ้าที่เป็นนางแก้วของแผ่นดินแท้ๆ” กากีทำอะไรไม่ถูก จึงเอื้อมมื
“ท้าวเวนไตย กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ เป็นวาสนาของข้าแท้ๆ ที่ตื่นมาแล้ว ก็ได้พบหน้าท่านดั่งใจหมาย” “หึ” พญาครุฑหนุ่มออกเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ “คำของเจ้าหวานล้ำจนข้าใจละลายทีเดียว ไม่รู้ก่อนหน้านี้ เจ้าเคยได้เอ่ยวาจารื่นหูเช่นนี้กับชายใดมาก่อนหรือไม่” กากีแม่งามเลิศหล้านิ่งงันไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน ก่อนออกไปก็ยังดีๆกันอยู่เลยนี่นา “ไฉนท่านพูดเช่นนั้นเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นชายาของท่าน จักพูดถึงผู้อื่นไปทำกระไร” ท้าวเวนไตยผินร่างกำยำล่ำสันเมินมองเสออกไปที่ผนังใสด้านนอกวิมาน “เมื่อครู่นี้ เจ้ายังละเมอเพ้อออกมาว่าจะรีบกลับไป หัวเราะหัวใคร่ระรื่นนัก เจ้านิมิตฝันว่าอยู่ด้วยผู้ใดอยู่หรือ ชายใดหรือที่เจ้าจากมาแล้วอาวรณ์อยากกลับไปหาถึงเพียงนั้น” หญิงสาวงามประโลมหล้าเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ เผยอปากเอ่ยขึ้น “ท้าวเวนไตย ขุ่นข้องหมองใจข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ บอกให้ข้าได้รู้เถิด” ครุฑหนุ่มวัยฉกรรจ์สะบัดหน้ากลับมาจ้องหน้ากากี ดวงตาดุดันดั่งพญานกเพลิง “วันนี้ข้าไปเล่นสกาด้วยกษัตริย์พรหมทัตมา แลได้ปะทะคารมกับเจ้านาฏกุเวรพิณเทวะนั่นมาสองสามคำ เจ้าบอกข้ามาโดยสัจเถิดกากี ว่าเจ
แต่เมื่อแตงกวาหันมาเห็นเธอเข้ากลับสะดุ้งโหยง ถอยกรูด “คุณ...คุณเป็นใครเนี่ย โห... ” เช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นโฉมงามกากีเป็นครั้งแรก ดวงตาเธอเบิกโพลงตะลึงงันจนพูดไม่ออก สีฝุ่นเห็นอาการแล้วพอเดาได้จึงรีบแก้ปัญหาทันที “แตงกวา นี่ฉันเองนะ สีฝุ่น สีฝุ่นเพื่อนแกไง เราอยู่สำนักพิมพ์เดียวกันไง จำได้ไหม” หญิงสาวในชุดทำงานส่ายหน้าดิก “ไม่ค่ะ จำไม่ได้ ห๊ะ เดี๋ยว อะไรนะ สีฝุ่น ฝุ่น เออ เสียงเหมือนจริงๆด้วย แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็แก...แกตอนนี้” สีฝุ่นกำลังคิดว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี สีหน้าของแตงกวาก็กลับเปลี่ยนไปกะทันหัน ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปากคอสั่น หน้าซีดเผือด “หรือ...หรือว่า โธ่... โธ่เอ๋ย สีฝุ่น โธ่ แก... ฉันไม่น่าเลย คืนนั้นฉันไม่น่าทิ้งแกไว้คนเดียวเลย โฮ” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮ “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน แตงกวา นี่แกร้องไห้ทำไม ไม่ต้องกลัว นี่ฉันเองนะ สีฝุ่นเพื่อนแกไง” กากีนางกายหอมที่หัวใจยังเป็นสีฝุ่นเต็มร้อยโผเข้ากอดเพื่อนแน่น “รูปร่างหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิม แกเลยตกใจกลัวใช่ไหม เอาละ สูดหายใจลึกๆ ใจเย็นๆ” แตงกวายังร้องไห้สะอึกสะอื้น “แ
ท้าวเวนไตย บุรุษหนุ่มร่างกำยำเจ้าแห่งหิมพานต์เงยหน้าสบตาองค์พรหมทัตแวบหนึ่ง เมื่อเห็นความทุกข์โทมนัสในแววตานั้นก็รู้สึกผิดแปลบปลาบในใจขึ้นมาทันทีจนต้องหลบสายตาลงแวบหนึ่งในขณะที่เหนือหัวพรหมทัตค่อยๆนั่งลงบนตั่งตัวเดียวกันเพื่อเตรียมเริ่มเกมสกา กิริยานั้นไม่พ้นสายตาบุรุษกึ่งเทวะอย่างนาฏกุเวรผู้ชาญฉลาดและช่างสังเกต ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปแล้ว ชายหนุ่มรูปงามสะอ้านหมดจดดั่งเทพปั้นก็ยิ่งมั่นใจ สายตาของกากีและมานพหนุ่มผู้นี้ที่เคยได้เห็นว่าทอดมองกันครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ไม่ใช่ธรรมดาแน่แท้ แต่เพื่อความแน่ใจเขาจึงรีบคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างพระที่ขององค์พรหมทัตทันที เจ้าวิหคผู้เป็นยอดบุรุษเหนือแดนหิมพานต์ชำเลืองสายตามามองนาฏกุเวรแวบหนึ่ง นึกได้ถึงคำเตือนของแม่ยอดดวงใจที่ว่าไว้ ห้ามเข้าใกล้หรือสนทนากับคนผู้นี้ เพราะอันตรายนัก ท้าวเวนไตยยิ้มมุมปาก หึ นี่หรือ ที่แม่งามกากีว่าเป็นผู้อันตรายนักหนา มิเห็นน่าเกรงขามแต่อย่างใด ผิวพรรณใบหน้างามหวานละไม อ้อนแอ้นราวอิสตรี คิดแล้วก็เสมองกระดานสกาต่ออย่างมิได้ใส่ใจ นาฏกุเวรนั้นเมื่อได้เข้ามานั่งติดต
ท้าวเวนไตย ชายหนุ่มร่างกำยำดวงหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดันทรงอำนาจชวนพิสมัย ยืนหันข้างอยู่ที่ฝั่งโปร่งแสงของห้อง พนมมือหลับตาขยับปากบริกรรมบางอย่าง แสงแดดทอรุ้งของหิมพานต์ห่มอาบกายเขาจนชวนใจละลายมากขึ้นไปอีก สีฝุ่นในร่างกากีเพลินมองชายในดวงใจไม่วางตา พลันนั้น ร่างของท้าวเวนไตยปรากฏแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจนตาพร่า พอแสงนั้นหายไป ท้าวเวนไตย บุรุษแห่งหิมพานต์ก็อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบบุรุษมานพหนุ่ม ดั่งที่กากีเคยเห็นในวังเมืองพาราณสีมาก่อนแล้ว ดวงตาฉงนสดใสดั่งลูกมฤคินทร์น้อยกะพริบวูบไหว ฉงนสงสัย “ท้าวเวนไตย ยอดดวงใจของข้า นั่นท่านแต่งกายเช่นนั้น จะออกไปไหนกันเจ้าคะ ไม่อยู่กับข้าเสียที่นี่หรือ” หญิงสาวงามหยาดฟ้าออดอ้อนรำพันในท้ายเสียง ชายหนุ่มหันมาสบสายตาลูกกวางน้อยบนฟูกนอน ในทรวงร้อนรุ่มวูบวาบด้วยแรงพิศวาส ที่ยังคุกรุ่นไม่เลือนหาย “ดูเถิด น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ข้าไม่หมายจะก้าวออกไปจากห้อง อยากจะอยู่เคล้าคลอพะนอเจ้าไปตลอดทั้งวันคืน หากไม่ติดว่าถึงเวลาต้องออกไปแล้ว ข้าคงโถมไปทับร่างเจ้าเดี๋ยวนี้ เสพเจ้าเสียให้สมหัวใจข้า ไม่ต้องเงยหน้าเห็นเดือนเห็นตะวัน
“กากี ชายายอดรักของข้า ข้าไม่เคยหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใด เพราะมิหมายสืบเผ่าพันธุ์กับสตรีอื่น แต่เจ้าผู้เป็นยอดดวงใจของข้า ข้าจะมอบสายธารแห่งชีวิตนี้ ไว้ในช่องนาภีของเจ้าแต่ผู้เดียว” บุรุษหิมพานต์โยกไกวไหวกายเคลื่อนรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก สองกายก่ายกอดราวกับจะรวมเป็นกายเดียว ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งมันปลาบลูบลื่นด้วยอาบเหงื่อ นุ่มลื่นชื่นฉ่ำไปทุกผิวสัมผัส หยาดเหงื่อใสเกาะพราวทั่วร่าง หยดหนึ่งหล่นลงกลางหว่างถันหนั่นแน่น หยดหนึ่งหล่นลงบนยอดถันสีหมากสุกแดงก่ำ อุ่นร้อนผะผ่าว ไหลลากเป็นทางยาวลงข้างลำตัวก่อนซึมซาบวาบหายลงในเนื้อผ้าทอขนอ่อนลูกนกที่นุ่มลื่นกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ยิ่งกระเจิดกระเจิงไปอีก สาบกายบุรุษฟุ้งหอมคลุ้งในห้วงนาสา หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกเขา สูดหายใจให้กลิ่นนั้นไหลร่าลงในลำคอ เรื่อยจนอัดแน่นในช่องทรวงอก เสพสมอีกสัมผัสจนฉ่ำชื่นใจ นางกากีสตรีผู้งามเป็นหนึ่งในหล้า หรี่ตาปรือ ริมฝีปากฉ่ำเผยอค้าง หน้ามืดตาลาย มัวเมาด้วยกลิ่นรสกามอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส ตัวใจเต้นรัวแรงดังเสียงกลอง เร็วเกือบเท่าจังหวะเขย่าไกวไหวกระแทกของบั้นเอวแข็งแ
แม้จะอยู่ในวิมานฉิมพลี แต่กากีก็สบายใจ ที่มีห้องน้ำมิดชิดดีอย่างเมืองมนุษย์ สกุณีปักษีน้อยพากากีนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก รวบผมมุ่นมวยไว้กลางกระหม่อมเปิดผ้าคลุมออก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นลอยดอกไม้หอมราดตัวให้นางกายหอมอย่างคล่องแคล่ว นางหยิบแผ่นใยละเอียดบาง ที่ดูคล้ายเยื่อไม้สีขาวชุบน้ำด่างมาขัดคราบเหนียวลื่นออกจากร่างกายของเธอ “ใยใบไม้เจ้าค่ะ ไม่หยาบไป ไม่นิ่มไป ขัดคราบเชื้อกำเนิดดีนัก” นางปักษีเอ่ยเจื้อยแจ้วตามวิสัย กากีหรือสีฝุ่นอดขำไม่ได้ “สกุณี เจ้านี่ดูชำนาญกับเรื่องอย่างนี้ดีจริง เจ้ามีหน้าที่ขัดชำระสตรีนางอื่นๆที่ท้าวเธอพามาเสพอย่างนี้ทุกนางหรือ” สกุณีเอียงคออย่างนางนก ตาเรียวชี้เคลื่อนไหวเร็วไวใสแจ๋วน่าเอ็นดู “เจ้าค่ะ ท้าวเวนไตยไม่ทรงหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใดเลยเจ้าค่ะ แม้พวกนางจะปรารถนาได้มีโอกาสอุ้มครรภ์ทิพย์ของท้าวเวนไตย ท่านไม่ประสงค์ให้มีทายาทกำเนิดกับนางปักษีตนใดมาก่อนเลย คงหมายจะสืบทอดทายาทแต่กับพระชายาเท่านั้น ดั่งนี้แล้ว เปรอะกันแบบนี้ทุกนางแหละเจ้าค่ะ บางนางไหลเยิ้มเข้าไปในซอกเกศา สระสางกันเกือบชั่วยามกว่าจะออกหมด” ก
“โอว...เจ้าทำกระไร” บุรุษหิมพานต์เสียงสั่น ครางไม่เป็นภาษาต่อจากนั้น เมื่อกากีย้อนทบทวนบทเรียนวิชาปลุกกำหนัด กับท่อนเนื้อจำลองในห้องที่เต็มไปด้วยนางเปลือยเมื่อครั้งอยู่กรุงพารารณสี หญิงสาวกำมือรวบรอบท่อนเนื้อกำเนิดชีวิตไว้กระชับมั่น ครานั้นถุงผ้าจำลองบรรจุน้ำเย็นชืดไร้ชีวิต แต่ครานี้แตกต่างไปนัก ทั้งอุ่นร้อน เต้นตุบ กลิ่นรสของเครื่องเพศชายที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เครื่องกำเนิดของนางเองก็ร้อนวูบวาบตามเต็มไปด้วยไฟกาม กลิ่นเรียกรักจากองค์กำเนิดนางหอมฟุ้งกระจายไปทั่วสถานวิมานฉิมพลี ฝูงสัตว์หิมพานต์ที่ได้กลิ่นนั้นต่างนิ่งงันงงงวย นกตกตะลึงแทบลืมบินร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ใบหน้าอ่อนเยาว์เคลื่อนขึ้นลง ลากลิ้นจากส่วนโคนชิดโขดหินคู่ เลียไล่ขึ้นมาถึงปลายยอด สลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าท้องขององค์เวนไตยกระตุกสะท้านเป็นจังหวะ สองมือกุมกำไหล่บอบบางไว้แน่น ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก กระสันซ่านเสียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในคอครางฮืออย่างสัตว์ เมื่อริมฝีปากแดงก่ำฉ่ำอวบอิ่มของโฉมงามหยาดฟ้า เผยออ้าโอบรับส่วนปลายดุ้นเนื้อเข้ามาไว้ในความอ
อดกลั้นระงับตนทั้งที่พลังของความใคร่และหื่นกระหายของบุรุษกึ่งครุฑหมุนพล่านปั่นป่วนอยู่ในทรวงอกช่องท้องราวกับมหาพายุที่ตนเคยเสกพัดกรุงพาราณสีจนเกิดความปั่นป่วนไปทั่วในวันที่ลักพานางมา ด้วยหมายให้กากีหายตระหนก พญาเวนไตยจึงดึงปลดมือของกากีข้างหนึ่งจากต้นแขนตน ยกขึ้นมาทาบที่อก “กากี ชายาของข้า รู้หรือไม่ ใช่เพียงข้าครอบครองเจ้า แต่เป็นเจ้าด้วยที่ครอบครองข้า ในอกของพญาครุฑตนนี้มีดวงใจเต้นอยู่ ดวงใจดวงนี้เป็นของเจ้า” ดวงตาชายหนุ่มจ้องมองดวงหน้างามวิไลในอ้อมกอดอย่างหลงใหล จริงใจ มั่นคง กากีสบสายตาคู่นั้นแล้วร้อนวาบไปทั้งแก้ม หลบตาสะเทิ้นสะท้าน ประกายดาวในดวงตาวับไหว ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตทั้งในและนอกหนังสือ ไม่เคยมีใครพูดหวานๆจีบกันซึ่งๆหน้าแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แล้วยิ่งเป็นพี่นภ ชายในดวงใจของเธอแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจของสีฝุ่นเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมาจากอก แต่แล้ว ดรุณีผู้เลอโฉมก็ต้องประหลาดใจเมื่อมือเรียวงามบอบบางของนาง ค่อยๆเคลื่อนต่ำลงด้วยกำลังของฝ่ามือใหญ่หนาทรงพลัง จากทรวงอกที่มีดวงใจชายหนุ่มอุ่นร้อนเต้นเร่าอยู่ภายใน ลากเรื่อยมาที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เรื่อยม
นางสกุณีที่จ้องมองอยู่รีบเติมน้ำสีม่วงจากเหยือกลงในจอกทองคำอีก “พระชายากากี เจ็บท้องใช่ไหมเจ้าคะ เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ สกุณีพรหมจรรย์ที่ท้าวเวนไตยเคยพามาร่วมอภิรมย์สมสู่ด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ในครั้งแรกๆ ก็ท่านเป็นถึงเจ้าเวหาแห่งหิมพานต์นี่เจ้าคะ อะไรๆก็ใหญ่โตโอ่โถงไปเสียหมด ข้าไม่เคยเห็นกระจะตานักหรอก แต่ก็ได้ยินบ่นกันทุกนาง ยิ่งถ้าเป็นร่างมนุษย์สตรีบอบบางอย่างพระชายากากีแล้วด้วย คงยิ่งเจ็บยิ่งชอกช้ำมาก ดื่มสมุนไพรโอสถทิพย์นี่เสียสิเจ้าคะ ช่วยให้อาการเจ็บท้องจากการร่วมประเวณีดีขึ้นได้ ข้าผสมเตรียมไว้ประจำ ตายจริง ผ้ารองนอนเปื้อนเลือดเสียด้วย มาเจ้าค่ะ ข้าจะรีบเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้” กากีรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงฉากอีโรติกวาบหวามกลางอากาศที่เธอกับพี่นภในร่างพญาครุฑหนุ่มเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ความเจ็บระบมที่ส่วนสงวนยังคงแจ่มชัดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ทว่าแม่นกสาวบริสุทธิ์นั่นกลับพูดถึงเครื่องเคราของบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้านายได้อย่างไม่เคอะเขิน ดูท่าท้าวเวนไตยคงอุ้มสาวๆมาที่นี่บ่อยแน่ๆ หลังจากดื่มน้ำสีม่วงนั้น อาการเจ็บปวดหน่วงในท้องค่อยๆดีขึ้นจนรู้สึกได้ บ