“พี่อู่เฉียง”
เสียงใสเรียกทำให้ชายหนุ่มได้สติ ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกแล้ว อู่เฉียงพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกนางว่า ‘อร่อย’ หญิงสาวจึงยิ้มกว้างออกมาได้ หลายปีมานี่ นางเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ เดียวที่ทำให้พรรคเพลิงอัคนีสดใส บนเกาะแห่งนี้มีคนอยู่มากก็จริง เฉพาะที่พรรคมารแห่งนี้มีเพียงเด็กคนเดียวที่เติบโตมาอย่าง ‘ปกติ’ นางไม่ใช่นักฆ่า ไม่มีวรยุทธ ไม่มีพิษ นางเป็นหญิงสาวแสนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และหากก้าวเท้าออกจากเกาะแห่งนี้ไป ไม่รู้ว่านางจะใช้ชีวิตภายนอกได้อย่างไร
เด็กหญิงคนหนึ่งถูกเรียกขานว่า ‘ซินหราน’ ผ่านมาถึงเวลานี้เป็นครบแปดปีแล้ว ภายนอกผู้อื่นมองว่านางโง่งม ไม่ทันเล่ห์กลใด แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้ารังแกนาง แม้กระทั้งสตรีที่อยู่ข้างกายจอมมารแห่งพรรคเพลิงอัคนี หากไม่เพราะผ่านคืนฝันร้ายนั้นมาแล้ว นางคงตื่นตระหนกหวาดกลัวกับผู้คนในพรรคเพลิงอัคนีไม่น้อย บางคนรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์บนภาพวาดในวัดที่นางเคยเห็น แต่เมื่อเติบโตขึ้น นางจึงรู้ว่าคนเหล่านี้แม้มีใบหน้าดุร้าย โหดเหี้ยมอำมหิต แต่ในส่วนลึกแล้วจิตใจดีนัก อย่างน้อย พวกเขาดีกับนาง เอ็นดูนางเหมือนนางเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง
คนต่างหากที่น่ากลัว นางกลัวคนปกติธรรมดา พวกหน้าเนื้อใจเสือ คนเหล่านั้นฆ่าบิดามารดาและคนในหมู่บ้านอย่างไร้ความปราณี
นางจึงใช้ชีวิตอย่างสงบในสถานที่ที่ใครต่อใครลำลือว่าโหดร้าย เป็น ‘ซินหราน’ สัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ ‘อู่เฉียง’ อุ้มกลับมา เขาประกาศว่านางคือ ‘น้องสาวบุญธรรม’ แต่อู่เฉียงเองเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกซื้อตัวมาเลี้ยงแบบนักฆ่า ฝึกฝนจนได้รับตำแหน่งเป็นองครักษ์จอมมาร องครักษ์ที่นับว่ามีฝีอมือได้รับการคัดเลือกมีอยู่สามคนก็คือ อู่เฉียง,อู่ชิง,อู่ยิน ทั้งสามเป็นเด็กกำพร้าที่ต่างที่มาแต่ถูกส่งมาด้วยจุดหมายเดียวกัน ทั้งสามจึงสนิทสนมกันดุจพี่น้อง เมื่ออู่เฉียงประกาศว่าซินหรานคือน้องสาวบุญธรรมของเขา อู่ชิงกับอู่ยินก็ต้องยอมรับนางด้วยเช่นกัน
“สายแล้ว เจ้ายังไม่ไปรับใช้ท่านจอมมารอีกรึ” อู่เฉียงเตือน
“ข้าไปมาแล้ว ประเดี๋ยวจะยกน้ำชาไปให้นายท่านที่ห้องอักษร”
นางยิ้มแย้ม ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องเข้าไปรับใช้ราชันจอมมาร แม้นางจะอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวบุญธรรมของอู่เฉียง แต่นางมิได้อยู่กินอย่างไร้ประโยชน์ งานการใดๆ ที่ควรทำ พ่อบ้านจูโหย่งเจาเป็นคนเข้มงวด ไม่ว่าจะการชงชาหรือฝนหมึกล้วนฝึก ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดนางจะถูกเคาะมือเป็นการทำโทษ แต่นางไม่เคยร้องไห้หรือโกรธแค้น สิ่งที่พ่อบ้านสั่งสอนล้วนนับว่าเป็นประโยชน์กับนางมาก แต่เดิมนางอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ไม่เคยเรียนรู้กฏระเบียนธรรมเนียมใดๆ เมื่องานที่นางได้รับมอบหมายไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พ่อบ้านก็จะทำหน้ายุ่งยากเพื่อหาเรื่องมาตำหนินางอีก แต่นางกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกชวนขบขันเสียมากกว่า
ส่วนพ่อครัวเจี่ยนมีฝีมือการปรุงอาหารเป็นเลิศ เคยได้ยินว่าเป็นพ่อครัวในวังหลวงมาก่อน แต่เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี้นั้นมีเรื่องเล่าปากต่อปากมากมายนัก พ่อครัวเจี่ยนเอ็นดูนางมาก วิชาความรู้ในครัวสั่งสอนนางราวกับศิษย์เอก กระนั้นนางยังไม่มั่นใจว่าตนเองทำอาหารได้รสดีนัก มักนำมาให้อู่เฉียง อู่ชินและอู่ยิน รวมทั้งคนอื่นๆ ชิมอยู่เสมอ
“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”
“อืม” ซินหรานพยักหน้ารับ ขนมเปี๊ยะในถาดหายวับไปกับตา หญิงสาวเผยรอยยิ้มสดใส กอดถาดไม้ที่ว่างเปล่าแล้วหมุนตัวกลับ
“ประเดี๋ยวก่อน”
ซินหรานได้ยินเสียงอู่ยินเรียกก็หมุนตัวกลับมา ชายหนุ่มล้วงมือไปในอกเสื้อหยิบของบางสิ่งแล้วยื่นให้หญิงสาว
“เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอก ข้าเลยซื้อมาให้” อู่ยินยื่นถุงเล็กๆ ส่งให้ ซินหรานยื่นมือไปรับอย่างประหลาดใจ นางลอบมองสีหน้าของอู่เฉียงเล็กน้อย เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไร นางจึงเปิดออกดู พบว่าข้างในเป็นลูกปัดหลากสีและหลายรูปแบบ
“เห็นเจ้าชอบทำเครื่องประดับเอง ข้าเลยซื้อมาฝาก” นี่เขายอมควักเงินออกมาให้นางเลยนะ อู่ยินยกมือขึ้นกอดอกมองดูรอยยิ้มที่สดใสของหญิงสาวเบื้องหน้า
“ขอบคุณพี่อู่ยินมาก” นางรับมาด้วยความตื่นเต้น แม้อยู่ที่นี่อาหารการกิน เสื้อผ้าหรือที่อยู่อาศัยไม่ได้ลำบากอะไร นางเป็นหญิงย่อมมีความอยากได้เครื่องประดับบ้าง แต่เพราะนางเจียมตนว่าตนเป็นเพียงสาวใช้ จึงมักทำอะไรๆ ใช้เองเสมอ
“รีบไปได้แล้ว”
อู่เฉียงเตือนอีกครั้ง ซินหรานหันไปแลบลิ้นใส่แล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสามจึงเห็นเพียงแผ่นหลังของนาง และผมเปียที่แกว่งไปมา
“ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วไม่ใช่หรือ? ยังถักผมเปียเป็นเด็กอยู่เลย”
“นางเป็นสาวใช้ ต้องรวบผมให้เรียบร้อย” อู่เฉียงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ มองขนมเปี๊ยะที่แย่งชิ้นสุดท้ายมาครอบครองได้ในมือ
“ปีนี่นางอายุสิบหกแล้วนะ” อู่ชิงยื่นมือไปจับไหล่สหาย เขารู้ดีว่าในสายตาของอู่เฉียงมิได้มองซินหรานเช่นพี่ชายมองน้องสาวมานานแล้ว
“แต่นางเป็นสตรีของท่านจอมมาร” อู่เฉียงรู้สึกถึงความขมฝาดที่ต้องตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้ แม้นางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่นางเสมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้เขารู้ว่าเขายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่
นั่นคือเงื่อนไขที่จอมมารเหิงหยางเซิงยอมให้นางอยู่ที่นี่ และให้เขารับนางเป็นน้องสาวบุญธรรม
ซินหรานล้างไม้ล้างมือจนมั่นใจว่าสะอาด เช็ดมือจนแห้งสนิทแล้วยกถาดกาน้ำชาที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเตรียมไว้ให้แล้ว ชายชราวัยหกสิบที่ร่างกายกระฉับกระเฉง ดวงตาเรียวคู่นั้นมองเห็นร่างเล็กก้าวเร็วๆ มาทางเขาแล้วก็ส่ายหน้าไปมาระอาใจ พร่ำสอนเท่าไหร่นางก็ทำเหมือนจะไม่จดจำเอาเสียเลย
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
ซินหรานฉีกยิ้มกว้าง รู้ดีนางต้องโดนดุเป็นแน่ แต่นางอาศัยตัวเองโดนตำหนิจนชินจึงได้แต่ยิ้มและรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น อย่างไรพ่อบ้านจูโหย่งเจาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดผิดแค่ไหน อย่างมากก็แค่ถูกตำหนิไม่เคยลงโทษนางรุนแรงสักคราเดียว
“ไปได้แล้ว” หลังจากบ่นพอให้นางรู้ตัวความผิดที่ล่าช้าแล้วก็เดินนำมาที่ห้องอักษรของท่านเหิงหยางเซิง ก่อนมือเหี่ยวย่นจะผลักบานประตูเข้าไป พ่อบ้านจูเหลียวมองหญิงสาวเล็กน้อย เห็นนางทิ้งท่าทีซุกซนมาเป็นสำรวมใบหน้าไร้รอยยิ้มแล้ว เขาจึงเอ่ยปากส่งเสียงไปก่อนผลักบานประตูเข้าไป
แม้ซินหรานจะอยู่ที่นี่ด้วยฐานะหญิงรับใช้ แต่นางรับใช้เพียงท่านเหิงหยางเซิงเพียงผู้เดียว แม้ท่านเหิงจะมีหญิงงามนางบำเรอหลายคน แต่หญิงเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากเรียกใช้นางได้ นางทำงานรับใช้อยู่ใกล้ๆ เหิงหยางเซิงจะเรียกว่าสาวใช้ข้างกายก็ไม่ผิดนัก แม้นางอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แปดขวบ แต่นางเพิ่งได้รับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้เมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง
หญิงสาวประคองถาดกาน้ำชาไปที่โต๊ะน้ำชามุมห้องอักษร นางก้มหน้ามองเพียงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของตน แต่กระนั้นก็รู้ว่าเหิงหยางเซิงนั่งก้มหน้ากับม้วนหนังสือ พ่อบ้านจูโหย่งเจาเข้าไปกระซิบพูดคุยไม่กี่คำแล้วย้ายสายตามาทางซินหราน น้ำชาของท่านเหิงต้องชงใหม่ใช้น้ำร้อนพอดี นางฝึกชงชาตามธรรมเนียมมาหลายปี ตั้งแต่สิบขวบก็ว่าได้ คนที่กินน้ำชามากที่สุดไม่พ้นองครักษ์อย่างอู่เฉียง อู่ยินและอู่ชิง คนเหล่านี้ล้วนลิ้นพองและเคยสำลักน้ำชาที่ไม่ได้ความของนางมาแล้ว รวมทั้งตัวนางที่ถูกพ่อบ้านจูโหย่งเจาดุด่าจนเผลอทำน้ำร้อนลวกมือ
เมื่อครั้งที่นางแค่แปดขวบ นางช่วยงานอยู่กับพ่อครัวเจี่ยนหยิบจับโน้นนี่เล็กน้อยๆ พอว่างพ่อบ้านจูโหย่งเจาสอนนางจับพู่กันเขียนชื่อตัวเอง สอนอ่านเขียน โดยไม่สนใจว่านางเป็นหญิง เพราะนางจำได้ลางๆ ว่าตอนที่นางยังอยู่กับบิดามารดานั้น บิดาพร่ำสอนว่าเป็นหญิงไม่ต้องเรียนหนังสือ เมื่อพ่อบ้านจูโหย่งเมตตาสอนให้นางอ่านเขียน นางจึงตั้งใจเรียนรู้ และก็อีกนั้นและ นางฝึกเขียนชื่อตัวเองได้ นางก็ฝึกเขียนชื่ออู่เฉียงเป็นชื่อที่สอง แม้ลายมือเรียกได้ว่าระดับเดียวกับไก่เขี่ย แต่นางวิ่งเอาไปอวดอู่เฉียง อู่ชิงกับอู่ยินเห็นเข้าบ่นน้อยใจที่นางไม่เขียนชื่อให้พวกเขาบ้าง นางจึงกลับมาฝึกฝนอีก แม้ไม่มีกระดาษกับหมึก นางก็ใช้กิ่งไม้ขีดบนพื้นดิน
งานในครัวที่เด็กแปดขวบทำได้นั้นมีมากกว่าที่คิด แค่ล้างผักอย่างเดียว ทำให้มือเล็กๆ ของนางทั้งซีดและเหี่ยวย่นมาแล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวจัด หิมะโปรายปราย นางล้างผักให้พ่อครัวเจี่ยนจนมือชาไร้ความรู้สึก อู่เฉียงบังเอิญผ่านมาเห็นนางที่ปากสั่นอยู่ รีบคว้ามือน้อยๆ ของนางมาถูขับไล่ไอเย็นไป “คนในครัวมีตั้งมากมาย ไยเจ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้” “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางตอบทั้งที่ปากสั่น แล้วฝืนยิ้มให้ “พี่อู่เฉียงฝึกหนักกว่าข้าอีก เรื่องแค่นี้ข้าทนได้” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าฝึกหนัก” เสียงสูดลมหายใจลึกของอู่เฉียงนั้นทำให้นางหดคอเป็นเต่าตัวน้อย “พ่อครัวเจี่ยนบอกว่า การล้างผักไม่ต่างจากการฝึกยุทธ ต้องสังเกตและเลือกให้ดี ใช้ให้ถูกส่วน ผักต้องล้างในสะอาด ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร” “พอเถอะ เจ้าตัวแค่นี้จะอะไรกันหนักหนา” อู่เฉียงบ่นแม้รู้ดีว่าเด็กที่ถูกส่งตัวมาอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนั้นส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกขายทิ้งไร้ญาติขาดมิตร ถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นนักฆ่า ไม่มีใครสนใจ หรอกว่าเด็กอายุมากหรือน้อยเพียงใด ซินหรานอยู่แต่ในคฤหาสน์เพลิงอัคนี
ครึ่งปีก่อนหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกส่งตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านจอมมาร นางเป็นที่โปรดปรานของเหิงหยางเซิงมาก คาดเดาจากการเรียกเข้าไปปรนนิบัติหลายคืนติดต่อกันนานนับเดือน แต่กระนั้นยังไม่มีสิทธิ์ได้ออกมาเดินเล่นนอกเรือนบุปผารัญจวน แต่ไม่รู้สตรีนางนั้นเอาความกล้ามาจากที่ใด เดินออกมานอกบริเวณที่กำหนดไว้ เชิดใบหน้างดงามขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาหยามเหยียด คนที่อาศัยอยู่ในพรรคเพลิงอัคนีนี้มีหลากหลาย แต่ก่อนซินหรานเองเคยหวาดกลัวคนพวกนี้ บางคนใบหน้าอัปลักษณ์ บางคนมีรอยแผลเป็นน่ากลัว บางคนมีแขนเพียงข้างเดียว บางคนมีหกนิ้ว บางคนตัวสูงใหญ่ราวกับก้อนหินยักษ์ ทว่าเมื่อนางอยู่ไปได้เดือนเศษๆ เริ่มเข้าใจได้ดีว่า ภายใต้ความอัปลักษณ์และน่ากลัวนี้ มีจิตใจงดงามซ่อนอยู่ คนเหล่านี้รู้ว่านางผ่านเรื่องใดมา จึงคอยดูแลนางเสมอ อย่างที่รู้กันว่านางเป็นเด็กหญิงคนเดียวที่ไม่ต้องถูกส่งไปฝึกวรยุทธเพื่อเป็นนักฆ่า เรียกว่าเป็น ‘คนปกติ’ เพียงคนเดียวที่มีอยู่ในนี้ก็ว่าได้ แต่ละคนจึงทำเหมือนประคอง ‘คนปกติ’ อย่างนางไว้ในอุ้งมือ เมื่อทุกคนดีกับนาง นางจึงดีกับพวกเขา อาหารที่ฝึกทำนอกจากพี่อู่เฉียงและสหายร่วมสาบา
พลันความคิดหนึ่งวาบเข้ามา เขาย้ายสายตากลับมามองที่อู่เฉียงซึ่งนับว่าเป็นนักฆ่าฝีมือดีที่สุดที่เขามี คนผู้นี้ไม่มีอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใด หากเขาสั่งให้ตายก็ทำตามคำสั่งโดยไม่กะพริบตา มีครั้งนี้ที่เห็นเขาต้องการเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ใช่! เขาต้องการใช้เด็กหญิงคนนี้ไว้ต่อรองกับองครักษ์ข้างกายของเขาเอง เพื่อให้ได้ความจงรักภักดี เขารั้งตัวซินหรานให้อยู่ข้างกาย ให้นางเป็นหญิงรับใช้แต่ไม่ได้ลำบากมากนัก แต่นับวันเขากลับไม่พอใจที่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวมีให้ทุกคนยกเว้นเขา เหิงหยางเซิงไม่เคยรู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกเช่นนี้ และนับวันมันยิ่งมากขึ้นทุกที มากขึ้นจนเขาอยากจะกลืนกินนางไปทั้งตัว! มือเรียวแกะผมที่เกล้าเป็นทรงกลมสองลูกบนศีรษะของตนออก สางเส้นผมยาวสลวยของตนด้วยหวีไม้หอมที่อู่เฉียงซื้อมาฝากเมื่อหลายเดือนก่อน อย่าว่าแต่ออกจากเกาะเลย แค่นอกคฤหาสน์เพลิงอัคนีก็แทบนับครั้งได้ แม้ไม่ได้ถูกห้าม แต่คล้ายว่านางยุ่งเกินไปและอีกส่วนหนึ่งในใจ นางมิกล้าออกไปด้วยตนเอง กว่านางจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเผื่อพักผ่อนก็ค่อนดึกไปแล้ว เรื่องดีอีกเรื่อง
เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดมิอาจรู้ได้ เหตุใดหญิงงามเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านจอมมารถึงขนาดปัสสาวะราดได้นะ เดือดร้อนให้นางต้องมาเช็ดถูทำความสะอาด และสุดท้ายคือจุดกำยานหอมในห้อง นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยภายเค่อเดียว ซินหรานก้มตัวลงจัดหมอนให้เข้าที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสร็จแล้วจึงเงยตัวขึ้นแล้วหันหลังให้เตียงกว้างที่สามารถนอนได้สามหรือสี่คนเลยทีเดียว ทว่านางกลับไม่รู้ว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางหมุนตัวออกมาจึงปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวยาว ด้วยความตกใจ นางผงะไปด้านหลังและเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง มือเล็กยื่นไปจับสาบเสื้อของชายตรงหน้าเพื่อยึดเหนี่ยวอย่างลืมตัว ด้วยกำลังอันน้อยนิดของหญิงสาว ทว่าเขากลับปล่อยให้ร่างของตนโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่หงายหลังลงบนเตียงที่เพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะทาบทับร่างของนาง เขาใช้มือยันเตียงไว้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านล่างคงเจ็บตัวไม่น้อย ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจแต่ไร้เสียงหวีดร้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้างจองมองคนที่อยู่ด้านบน ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่มาแปดปี รับใช้ใกล้ชิดแม้กระทั่งยามที่อีก
เพราะเดินอย่างเหม่อลอย กว่าจะรู้ตัวเขามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังที่ลานซักล้างแล้ว ลมพัดแรง ผ้าที่ตากอยู่บนราวเชือกนั้นพลิ้วสะบัดไปมา เขามองเห็นร่างบอบบางที่กำลังตากผ้า ใบหน้าหมดจดแดงเรื่อ แขนเสื้อถูกม้วนขึ้นถึงข้อศอกทำให้เห็นท่อนแขนเรียวเล็ก ผมยาวถูกเกล้าขึ้นเป็นก้อนกลมๆ สองข้างบนศีรษะของนาง ทำให้มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกมาไม่รู้ตัว นางคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน ซินหรานเขย่งปลายเท้า ตากผ้าปูที่นอนรวมทั้งเครื่องนอนจนเรียบร้อยดี ลมแรงเหลือเกิน นางระบายลมหายใจออกทางปาก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมใบหน้าของตน นางก้มลงหมายยกตะกร้าผ้าขึ้นแล้วเดินออกมา ทว่าลมที่พัดแรงนั้นทำให้ผ้าของนางปลิวออกจากราวตากผ้า หญิงสาวอ้าปากค้าง ทิ้งตะกร้าลงพื้นแล้วกระโดดคว้าผ้าไว้ “ผ้า! ผ้าของข้า!” อู่เฉียงเห็นผ้าผืนนั้นปลิวลอยในอากาศ เขากระโดดราวเหาะเหินในอากาศ คว้าผ้าผืนนั้นไว้ให้นางได้ทันก่อนปลิวไปไกล หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้าผืนนั้นมาแล้วรีบเอาไปตากไว้เช่นเดิม ตรวจดูจนมั่นใจแล้วจึงหันมาทางชายหนุ่ม แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงแล้วนางรู้ได้ทันทีว่าเขาคงมีเรื่องในใจเป็นแ
ซินหรานเก็บอาการตื่นตกใจซ่อนไว้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย บรรดาคนสนิทที่มาพร้อมกับ จางเย่วผิงค้อมตัวแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ บ่าวรับใช้ผู้อื่นนำสุราอาหารมาวางไว้แล้วถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เหิงหยางเซิง จางเย่วถิงและซินหราน นางกลอกตามองไปยังเหิงหยางเซิง เมื่อไม่เห็นท่านจอมมารมีปฏิกิริยาใด นางจึงได้แต่ก้มหน้ายกกาสุรารินใส่จอก แต่จอกสุราหยกยังไม่ทันถูกยื่นไปใส่มือของจางเย่วถิง ซินหรานก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจนทำให้จอกสุราตกลงพื้น นางได้แต่กระพริบตาปริบๆ กว่ารู้สึกตัวข้อมือของนางก็ถูกคว้าไว้กระชากอย่างแรงจนนางลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างจางเย่วถิง “นายท่าน” ซินหรานเอ่ยเสียงเบา รู้สึกเจ็บข้อมือแต่ไม่กล้าร้องโอดครวญออกไป “ระวังหน่อยท่านจอมมาร กระดูกนางเปราะบางนัก ประเดี๋ยวแตกหักขึ้นมาจะลำบากรักษา” จางเย่วถิงยกกาสุราขึ้นแหงนหน้าแล้วกรอกสุราลงคอตนเอง “เจ้าอยากเห็นหน้านาง เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่” จางเย่วถิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เปรอะสุรา ดวงตาเป็นประกายยั่วล้อแล้วยื่นหน้าไปทางเหิงหยางเซิง “ข้าไม่ได้อยากเห็นหน้านา
“เอาปลาแห้งไปด้วย” พ่อครัวเจี่ยนหน้าบึ้งตึงแต่จิตใจดี ไม่ต่างจากพ่อบ้านจูงโหย่งเจานัก แม้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เห็นนางใส่ใจเรื่องเล่านี้ก็รู้สึกดี ไม่เพียงแค่ อู่เฉียง หากคนอื่นที่ออกไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของท่านจอมมาร นางย่อมช่วยจัดเตรียมเสบียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบปลาแห้งมาเพิ่มให้อู่เฉียง ปกตินักฆ่าไปมาไร้ร่องรอย ทว่าสำหรับอู่เฉียง ก่อนเดินทางเขาต้องมาบอกนางก่อนเสมอ เช่นครั้งนี้ด้วย เขาหยุดยืนมองร่างบอบบางในชุดหญิงรับใช้ นึกถึงถ้อยคำที่ฝากฝั่งให้อู่ชิงและอู่ยินช่วยดูแลซินหราน ‘อยู่ที่นี่คนที่จะทำอันตรายซินหรานก็มีแค่ท่านจอมมารเพียงผู้เดียว’ อู่ชิงเอ่ยพร้อมถอนหายใจเบาๆ ‘เจ้าก็รู้ ไม่วันนี้หรือวันหน้า อย่างไรซินหรานก็ไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะครอบครองได้’ อู่ยินได้แต่ปลอบใจ อู่เฉียงได้แต่เก็บงำถ้อยคำของตนเองไว้หมดสิ้น เขารู้ แม้ท่านจอมมารไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาและการแสดงออกนั้น ซินหรานไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวใช้ข้างกายเท่านั้น มีบางอย่างที่ลึกซึ้งมากนัก เป็นสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอาจยังไ
พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว “รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า” “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมานางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้อ