“พี่อู่เฉียง”
เสียงใสเรียกทำให้ชายหนุ่มได้สติ ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกแล้ว อู่เฉียงพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกนางว่า ‘อร่อย’ หญิงสาวจึงยิ้มกว้างออกมาได้ หลายปีมานี่ นางเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ เดียวที่ทำให้พรรคเพลิงอัคนีสดใส บนเกาะแห่งนี้มีคนอยู่มากก็จริง เฉพาะที่พรรคมารแห่งนี้มีเพียงเด็กคนเดียวที่เติบโตมาอย่าง ‘ปกติ’ นางไม่ใช่นักฆ่า ไม่มีวรยุทธ ไม่มีพิษ นางเป็นหญิงสาวแสนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และหากก้าวเท้าออกจากเกาะแห่งนี้ไป ไม่รู้ว่านางจะใช้ชีวิตภายนอกได้อย่างไร
เด็กหญิงคนหนึ่งถูกเรียกขานว่า ‘ซินหราน’ ผ่านมาถึงเวลานี้เป็นครบแปดปีแล้ว ภายนอกผู้อื่นมองว่านางโง่งม ไม่ทันเล่ห์กลใด แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้ารังแกนาง แม้กระทั้งสตรีที่อยู่ข้างกายจอมมารแห่งพรรคเพลิงอัคนี หากไม่เพราะผ่านคืนฝันร้ายนั้นมาแล้ว นางคงตื่นตระหนกหวาดกลัวกับผู้คนในพรรคเพลิงอัคนีไม่น้อย บางคนรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์บนภาพวาดในวัดที่นางเคยเห็น แต่เมื่อเติบโตขึ้น นางจึงรู้ว่าคนเหล่านี้แม้มีใบหน้าดุร้าย โหดเหี้ยมอำมหิต แต่ในส่วนลึกแล้วจิตใจดีนัก อย่างน้อย พวกเขาดีกับนาง เอ็นดูนางเหมือนนางเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง
คนต่างหากที่น่ากลัว นางกลัวคนปกติธรรมดา พวกหน้าเนื้อใจเสือ คนเหล่านั้นฆ่าบิดามารดาและคนในหมู่บ้านอย่างไร้ความปราณี
นางจึงใช้ชีวิตอย่างสงบในสถานที่ที่ใครต่อใครลำลือว่าโหดร้าย เป็น ‘ซินหราน’ สัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ ‘อู่เฉียง’ อุ้มกลับมา เขาประกาศว่านางคือ ‘น้องสาวบุญธรรม’ แต่อู่เฉียงเองเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกซื้อตัวมาเลี้ยงแบบนักฆ่า ฝึกฝนจนได้รับตำแหน่งเป็นองครักษ์จอมมาร องครักษ์ที่นับว่ามีฝีอมือได้รับการคัดเลือกมีอยู่สามคนก็คือ อู่เฉียง,อู่ชิง,อู่ยิน ทั้งสามเป็นเด็กกำพร้าที่ต่างที่มาแต่ถูกส่งมาด้วยจุดหมายเดียวกัน ทั้งสามจึงสนิทสนมกันดุจพี่น้อง เมื่ออู่เฉียงประกาศว่าซินหรานคือน้องสาวบุญธรรมของเขา อู่ชิงกับอู่ยินก็ต้องยอมรับนางด้วยเช่นกัน
“สายแล้ว เจ้ายังไม่ไปรับใช้ท่านจอมมารอีกรึ” อู่เฉียงเตือน
“ข้าไปมาแล้ว ประเดี๋ยวจะยกน้ำชาไปให้นายท่านที่ห้องอักษร”
นางยิ้มแย้ม ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องเข้าไปรับใช้ราชันจอมมาร แม้นางจะอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวบุญธรรมของอู่เฉียง แต่นางมิได้อยู่กินอย่างไร้ประโยชน์ งานการใดๆ ที่ควรทำ พ่อบ้านจูโหย่งเจาเป็นคนเข้มงวด ไม่ว่าจะการชงชาหรือฝนหมึกล้วนฝึก ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดนางจะถูกเคาะมือเป็นการทำโทษ แต่นางไม่เคยร้องไห้หรือโกรธแค้น สิ่งที่พ่อบ้านสั่งสอนล้วนนับว่าเป็นประโยชน์กับนางมาก แต่เดิมนางอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ไม่เคยเรียนรู้กฏระเบียนธรรมเนียมใดๆ เมื่องานที่นางได้รับมอบหมายไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พ่อบ้านก็จะทำหน้ายุ่งยากเพื่อหาเรื่องมาตำหนินางอีก แต่นางกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกชวนขบขันเสียมากกว่า
ส่วนพ่อครัวเจี่ยนมีฝีมือการปรุงอาหารเป็นเลิศ เคยได้ยินว่าเป็นพ่อครัวในวังหลวงมาก่อน แต่เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี้นั้นมีเรื่องเล่าปากต่อปากมากมายนัก พ่อครัวเจี่ยนเอ็นดูนางมาก วิชาความรู้ในครัวสั่งสอนนางราวกับศิษย์เอก กระนั้นนางยังไม่มั่นใจว่าตนเองทำอาหารได้รสดีนัก มักนำมาให้อู่เฉียง อู่ชินและอู่ยิน รวมทั้งคนอื่นๆ ชิมอยู่เสมอ
“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”
“อืม” ซินหรานพยักหน้ารับ ขนมเปี๊ยะในถาดหายวับไปกับตา หญิงสาวเผยรอยยิ้มสดใส กอดถาดไม้ที่ว่างเปล่าแล้วหมุนตัวกลับ
“ประเดี๋ยวก่อน”
ซินหรานได้ยินเสียงอู่ยินเรียกก็หมุนตัวกลับมา ชายหนุ่มล้วงมือไปในอกเสื้อหยิบของบางสิ่งแล้วยื่นให้หญิงสาว
“เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอก ข้าเลยซื้อมาให้” อู่ยินยื่นถุงเล็กๆ ส่งให้ ซินหรานยื่นมือไปรับอย่างประหลาดใจ นางลอบมองสีหน้าของอู่เฉียงเล็กน้อย เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไร นางจึงเปิดออกดู พบว่าข้างในเป็นลูกปัดหลากสีและหลายรูปแบบ
“เห็นเจ้าชอบทำเครื่องประดับเอง ข้าเลยซื้อมาฝาก” นี่เขายอมควักเงินออกมาให้นางเลยนะ อู่ยินยกมือขึ้นกอดอกมองดูรอยยิ้มที่สดใสของหญิงสาวเบื้องหน้า
“ขอบคุณพี่อู่ยินมาก” นางรับมาด้วยความตื่นเต้น แม้อยู่ที่นี่อาหารการกิน เสื้อผ้าหรือที่อยู่อาศัยไม่ได้ลำบากอะไร นางเป็นหญิงย่อมมีความอยากได้เครื่องประดับบ้าง แต่เพราะนางเจียมตนว่าตนเป็นเพียงสาวใช้ จึงมักทำอะไรๆ ใช้เองเสมอ
“รีบไปได้แล้ว”
อู่เฉียงเตือนอีกครั้ง ซินหรานหันไปแลบลิ้นใส่แล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสามจึงเห็นเพียงแผ่นหลังของนาง และผมเปียที่แกว่งไปมา
“ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วไม่ใช่หรือ? ยังถักผมเปียเป็นเด็กอยู่เลย”
“นางเป็นสาวใช้ ต้องรวบผมให้เรียบร้อย” อู่เฉียงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ มองขนมเปี๊ยะที่แย่งชิ้นสุดท้ายมาครอบครองได้ในมือ
“ปีนี่นางอายุสิบหกแล้วนะ” อู่ชิงยื่นมือไปจับไหล่สหาย เขารู้ดีว่าในสายตาของอู่เฉียงมิได้มองซินหรานเช่นพี่ชายมองน้องสาวมานานแล้ว
“แต่นางเป็นสตรีของท่านจอมมาร” อู่เฉียงรู้สึกถึงความขมฝาดที่ต้องตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้ แม้นางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่นางเสมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้เขารู้ว่าเขายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่
นั่นคือเงื่อนไขที่จอมมารเหิงหยางเซิงยอมให้นางอยู่ที่นี่ และให้เขารับนางเป็นน้องสาวบุญธรรม
ซินหรานล้างไม้ล้างมือจนมั่นใจว่าสะอาด เช็ดมือจนแห้งสนิทแล้วยกถาดกาน้ำชาที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเตรียมไว้ให้แล้ว ชายชราวัยหกสิบที่ร่างกายกระฉับกระเฉง ดวงตาเรียวคู่นั้นมองเห็นร่างเล็กก้าวเร็วๆ มาทางเขาแล้วก็ส่ายหน้าไปมาระอาใจ พร่ำสอนเท่าไหร่นางก็ทำเหมือนจะไม่จดจำเอาเสียเลย
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
ซินหรานฉีกยิ้มกว้าง รู้ดีนางต้องโดนดุเป็นแน่ แต่นางอาศัยตัวเองโดนตำหนิจนชินจึงได้แต่ยิ้มและรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น อย่างไรพ่อบ้านจูโหย่งเจาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดผิดแค่ไหน อย่างมากก็แค่ถูกตำหนิไม่เคยลงโทษนางรุนแรงสักคราเดียว
“ไปได้แล้ว” หลังจากบ่นพอให้นางรู้ตัวความผิดที่ล่าช้าแล้วก็เดินนำมาที่ห้องอักษรของท่านเหิงหยางเซิง ก่อนมือเหี่ยวย่นจะผลักบานประตูเข้าไป พ่อบ้านจูเหลียวมองหญิงสาวเล็กน้อย เห็นนางทิ้งท่าทีซุกซนมาเป็นสำรวมใบหน้าไร้รอยยิ้มแล้ว เขาจึงเอ่ยปากส่งเสียงไปก่อนผลักบานประตูเข้าไป
แม้ซินหรานจะอยู่ที่นี่ด้วยฐานะหญิงรับใช้ แต่นางรับใช้เพียงท่านเหิงหยางเซิงเพียงผู้เดียว แม้ท่านเหิงจะมีหญิงงามนางบำเรอหลายคน แต่หญิงเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากเรียกใช้นางได้ นางทำงานรับใช้อยู่ใกล้ๆ เหิงหยางเซิงจะเรียกว่าสาวใช้ข้างกายก็ไม่ผิดนัก แม้นางอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แปดขวบ แต่นางเพิ่งได้รับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้เมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง
หญิงสาวประคองถาดกาน้ำชาไปที่โต๊ะน้ำชามุมห้องอักษร นางก้มหน้ามองเพียงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของตน แต่กระนั้นก็รู้ว่าเหิงหยางเซิงนั่งก้มหน้ากับม้วนหนังสือ พ่อบ้านจูโหย่งเจาเข้าไปกระซิบพูดคุยไม่กี่คำแล้วย้ายสายตามาทางซินหราน น้ำชาของท่านเหิงต้องชงใหม่ใช้น้ำร้อนพอดี นางฝึกชงชาตามธรรมเนียมมาหลายปี ตั้งแต่สิบขวบก็ว่าได้ คนที่กินน้ำชามากที่สุดไม่พ้นองครักษ์อย่างอู่เฉียง อู่ยินและอู่ชิง คนเหล่านี้ล้วนลิ้นพองและเคยสำลักน้ำชาที่ไม่ได้ความของนางมาแล้ว รวมทั้งตัวนางที่ถูกพ่อบ้านจูโหย่งเจาดุด่าจนเผลอทำน้ำร้อนลวกมือ
เมื่อครั้งที่นางแค่แปดขวบ นางช่วยงานอยู่กับพ่อครัวเจี่ยนหยิบจับโน้นนี่เล็กน้อยๆ พอว่างพ่อบ้านจูโหย่งเจาสอนนางจับพู่กันเขียนชื่อตัวเอง สอนอ่านเขียน โดยไม่สนใจว่านางเป็นหญิง เพราะนางจำได้ลางๆ ว่าตอนที่นางยังอยู่กับบิดามารดานั้น บิดาพร่ำสอนว่าเป็นหญิงไม่ต้องเรียนหนังสือ เมื่อพ่อบ้านจูโหย่งเมตตาสอนให้นางอ่านเขียน นางจึงตั้งใจเรียนรู้ และก็อีกนั้นและ นางฝึกเขียนชื่อตัวเองได้ นางก็ฝึกเขียนชื่ออู่เฉียงเป็นชื่อที่สอง แม้ลายมือเรียกได้ว่าระดับเดียวกับไก่เขี่ย แต่นางวิ่งเอาไปอวดอู่เฉียง อู่ชิงกับอู่ยินเห็นเข้าบ่นน้อยใจที่นางไม่เขียนชื่อให้พวกเขาบ้าง นางจึงกลับมาฝึกฝนอีก แม้ไม่มีกระดาษกับหมึก นางก็ใช้กิ่งไม้ขีดบนพื้นดิน
งานในครัวที่เด็กแปดขวบทำได้นั้นมีมากกว่าที่คิด แค่ล้างผักอย่างเดียว ทำให้มือเล็กๆ ของนางทั้งซีดและเหี่ยวย่นมาแล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวจัด หิมะโปรายปราย นางล้างผักให้พ่อครัวเจี่ยนจนมือชาไร้ความรู้สึก อู่เฉียงบังเอิญผ่านมาเห็นนางที่ปากสั่นอยู่ รีบคว้ามือน้อยๆ ของนางมาถูขับไล่ไอเย็นไป “คนในครัวมีตั้งมากมาย ไยเจ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้” “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางตอบทั้งที่ปากสั่น แล้วฝืนยิ้มให้ “พี่อู่เฉียงฝึกหนักกว่าข้าอีก เรื่องแค่นี้ข้าทนได้” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าฝึกหนัก” เสียงสูดลมหายใจลึกของอู่เฉียงนั้นทำให้นางหดคอเป็นเต่าตัวน้อย “พ่อครัวเจี่ยนบอกว่า การล้างผักไม่ต่างจากการฝึกยุทธ ต้องสังเกตและเลือกให้ดี ใช้ให้ถูกส่วน ผักต้องล้างในสะอาด ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร” “พอเถอะ เจ้าตัวแค่นี้จะอะไรกันหนักหนา” อู่เฉียงบ่นแม้รู้ดีว่าเด็กที่ถูกส่งตัวมาอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนั้นส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกขายทิ้งไร้ญาติขาดมิตร ถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นนักฆ่า ไม่มีใครสนใจ หรอกว่าเด็กอายุมากหรือน้อยเพียงใด ซินหรานอยู่แต่ในคฤหาสน์เพลิงอัคนี
ครึ่งปีก่อนหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกส่งตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านจอมมาร นางเป็นที่โปรดปรานของเหิงหยางเซิงมาก คาดเดาจากการเรียกเข้าไปปรนนิบัติหลายคืนติดต่อกันนานนับเดือน แต่กระนั้นยังไม่มีสิทธิ์ได้ออกมาเดินเล่นนอกเรือนบุปผารัญจวน แต่ไม่รู้สตรีนางนั้นเอาความกล้ามาจากที่ใด เดินออกมานอกบริเวณที่กำหนดไว้ เชิดใบหน้างดงามขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาหยามเหยียด คนที่อาศัยอยู่ในพรรคเพลิงอัคนีนี้มีหลากหลาย แต่ก่อนซินหรานเองเคยหวาดกลัวคนพวกนี้ บางคนใบหน้าอัปลักษณ์ บางคนมีรอยแผลเป็นน่ากลัว บางคนมีแขนเพียงข้างเดียว บางคนมีหกนิ้ว บางคนตัวสูงใหญ่ราวกับก้อนหินยักษ์ ทว่าเมื่อนางอยู่ไปได้เดือนเศษๆ เริ่มเข้าใจได้ดีว่า ภายใต้ความอัปลักษณ์และน่ากลัวนี้ มีจิตใจงดงามซ่อนอยู่ คนเหล่านี้รู้ว่านางผ่านเรื่องใดมา จึงคอยดูแลนางเสมอ อย่างที่รู้กันว่านางเป็นเด็กหญิงคนเดียวที่ไม่ต้องถูกส่งไปฝึกวรยุทธเพื่อเป็นนักฆ่า เรียกว่าเป็น ‘คนปกติ’ เพียงคนเดียวที่มีอยู่ในนี้ก็ว่าได้ แต่ละคนจึงทำเหมือนประคอง ‘คนปกติ’ อย่างนางไว้ในอุ้งมือ เมื่อทุกคนดีกับนาง นางจึงดีกับพวกเขา อาหารที่ฝึกทำนอกจากพี่อู่เฉียงและสหายร่วมสาบา
พลันความคิดหนึ่งวาบเข้ามา เขาย้ายสายตากลับมามองที่อู่เฉียงซึ่งนับว่าเป็นนักฆ่าฝีมือดีที่สุดที่เขามี คนผู้นี้ไม่มีอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใด หากเขาสั่งให้ตายก็ทำตามคำสั่งโดยไม่กะพริบตา มีครั้งนี้ที่เห็นเขาต้องการเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ใช่! เขาต้องการใช้เด็กหญิงคนนี้ไว้ต่อรองกับองครักษ์ข้างกายของเขาเอง เพื่อให้ได้ความจงรักภักดี เขารั้งตัวซินหรานให้อยู่ข้างกาย ให้นางเป็นหญิงรับใช้แต่ไม่ได้ลำบากมากนัก แต่นับวันเขากลับไม่พอใจที่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวมีให้ทุกคนยกเว้นเขา เหิงหยางเซิงไม่เคยรู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกเช่นนี้ และนับวันมันยิ่งมากขึ้นทุกที มากขึ้นจนเขาอยากจะกลืนกินนางไปทั้งตัว! มือเรียวแกะผมที่เกล้าเป็นทรงกลมสองลูกบนศีรษะของตนออก สางเส้นผมยาวสลวยของตนด้วยหวีไม้หอมที่อู่เฉียงซื้อมาฝากเมื่อหลายเดือนก่อน อย่าว่าแต่ออกจากเกาะเลย แค่นอกคฤหาสน์เพลิงอัคนีก็แทบนับครั้งได้ แม้ไม่ได้ถูกห้าม แต่คล้ายว่านางยุ่งเกินไปและอีกส่วนหนึ่งในใจ นางมิกล้าออกไปด้วยตนเอง กว่านางจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเผื่อพักผ่อนก็ค่อนดึกไปแล้ว เรื่องดีอีกเรื่อง
เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดมิอาจรู้ได้ เหตุใดหญิงงามเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านจอมมารถึงขนาดปัสสาวะราดได้นะ เดือดร้อนให้นางต้องมาเช็ดถูทำความสะอาด และสุดท้ายคือจุดกำยานหอมในห้อง นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยภายเค่อเดียว ซินหรานก้มตัวลงจัดหมอนให้เข้าที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสร็จแล้วจึงเงยตัวขึ้นแล้วหันหลังให้เตียงกว้างที่สามารถนอนได้สามหรือสี่คนเลยทีเดียว ทว่านางกลับไม่รู้ว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางหมุนตัวออกมาจึงปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวยาว ด้วยความตกใจ นางผงะไปด้านหลังและเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง มือเล็กยื่นไปจับสาบเสื้อของชายตรงหน้าเพื่อยึดเหนี่ยวอย่างลืมตัว ด้วยกำลังอันน้อยนิดของหญิงสาว ทว่าเขากลับปล่อยให้ร่างของตนโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่หงายหลังลงบนเตียงที่เพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะทาบทับร่างของนาง เขาใช้มือยันเตียงไว้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านล่างคงเจ็บตัวไม่น้อย ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจแต่ไร้เสียงหวีดร้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้างจองมองคนที่อยู่ด้านบน ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่มาแปดปี รับใช้ใกล้ชิดแม้กระทั่งยามที่อีก
เพราะเดินอย่างเหม่อลอย กว่าจะรู้ตัวเขามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังที่ลานซักล้างแล้ว ลมพัดแรง ผ้าที่ตากอยู่บนราวเชือกนั้นพลิ้วสะบัดไปมา เขามองเห็นร่างบอบบางที่กำลังตากผ้า ใบหน้าหมดจดแดงเรื่อ แขนเสื้อถูกม้วนขึ้นถึงข้อศอกทำให้เห็นท่อนแขนเรียวเล็ก ผมยาวถูกเกล้าขึ้นเป็นก้อนกลมๆ สองข้างบนศีรษะของนาง ทำให้มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกมาไม่รู้ตัว นางคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน ซินหรานเขย่งปลายเท้า ตากผ้าปูที่นอนรวมทั้งเครื่องนอนจนเรียบร้อยดี ลมแรงเหลือเกิน นางระบายลมหายใจออกทางปาก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมใบหน้าของตน นางก้มลงหมายยกตะกร้าผ้าขึ้นแล้วเดินออกมา ทว่าลมที่พัดแรงนั้นทำให้ผ้าของนางปลิวออกจากราวตากผ้า หญิงสาวอ้าปากค้าง ทิ้งตะกร้าลงพื้นแล้วกระโดดคว้าผ้าไว้ “ผ้า! ผ้าของข้า!” อู่เฉียงเห็นผ้าผืนนั้นปลิวลอยในอากาศ เขากระโดดราวเหาะเหินในอากาศ คว้าผ้าผืนนั้นไว้ให้นางได้ทันก่อนปลิวไปไกล หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้าผืนนั้นมาแล้วรีบเอาไปตากไว้เช่นเดิม ตรวจดูจนมั่นใจแล้วจึงหันมาทางชายหนุ่ม แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงแล้วนางรู้ได้ทันทีว่าเขาคงมีเรื่องในใจเป็นแ
ซินหรานเก็บอาการตื่นตกใจซ่อนไว้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย บรรดาคนสนิทที่มาพร้อมกับ จางเย่วผิงค้อมตัวแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ บ่าวรับใช้ผู้อื่นนำสุราอาหารมาวางไว้แล้วถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เหิงหยางเซิง จางเย่วถิงและซินหราน นางกลอกตามองไปยังเหิงหยางเซิง เมื่อไม่เห็นท่านจอมมารมีปฏิกิริยาใด นางจึงได้แต่ก้มหน้ายกกาสุรารินใส่จอก แต่จอกสุราหยกยังไม่ทันถูกยื่นไปใส่มือของจางเย่วถิง ซินหรานก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจนทำให้จอกสุราตกลงพื้น นางได้แต่กระพริบตาปริบๆ กว่ารู้สึกตัวข้อมือของนางก็ถูกคว้าไว้กระชากอย่างแรงจนนางลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างจางเย่วถิง “นายท่าน” ซินหรานเอ่ยเสียงเบา รู้สึกเจ็บข้อมือแต่ไม่กล้าร้องโอดครวญออกไป “ระวังหน่อยท่านจอมมาร กระดูกนางเปราะบางนัก ประเดี๋ยวแตกหักขึ้นมาจะลำบากรักษา” จางเย่วถิงยกกาสุราขึ้นแหงนหน้าแล้วกรอกสุราลงคอตนเอง “เจ้าอยากเห็นหน้านาง เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่” จางเย่วถิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เปรอะสุรา ดวงตาเป็นประกายยั่วล้อแล้วยื่นหน้าไปทางเหิงหยางเซิง “ข้าไม่ได้อยากเห็นหน้านา
“เอาปลาแห้งไปด้วย” พ่อครัวเจี่ยนหน้าบึ้งตึงแต่จิตใจดี ไม่ต่างจากพ่อบ้านจูงโหย่งเจานัก แม้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เห็นนางใส่ใจเรื่องเล่านี้ก็รู้สึกดี ไม่เพียงแค่ อู่เฉียง หากคนอื่นที่ออกไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของท่านจอมมาร นางย่อมช่วยจัดเตรียมเสบียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบปลาแห้งมาเพิ่มให้อู่เฉียง ปกตินักฆ่าไปมาไร้ร่องรอย ทว่าสำหรับอู่เฉียง ก่อนเดินทางเขาต้องมาบอกนางก่อนเสมอ เช่นครั้งนี้ด้วย เขาหยุดยืนมองร่างบอบบางในชุดหญิงรับใช้ นึกถึงถ้อยคำที่ฝากฝั่งให้อู่ชิงและอู่ยินช่วยดูแลซินหราน ‘อยู่ที่นี่คนที่จะทำอันตรายซินหรานก็มีแค่ท่านจอมมารเพียงผู้เดียว’ อู่ชิงเอ่ยพร้อมถอนหายใจเบาๆ ‘เจ้าก็รู้ ไม่วันนี้หรือวันหน้า อย่างไรซินหรานก็ไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะครอบครองได้’ อู่ยินได้แต่ปลอบใจ อู่เฉียงได้แต่เก็บงำถ้อยคำของตนเองไว้หมดสิ้น เขารู้ แม้ท่านจอมมารไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาและการแสดงออกนั้น ซินหรานไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวใช้ข้างกายเท่านั้น มีบางอย่างที่ลึกซึ้งมากนัก เป็นสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอาจยังไ
พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว “รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า” “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมานางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้อ
ดวงตาร้อนแรงที่จ้องมองเหมือนจะกลืนกินทำให้ซินหรานต้องหลับตารับรู้สัมผัสร้อนผ่าวจากเรียวลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก มือใหญ่ปล่อยฝ่ามือนางที่อาจไม่ขยับไปจากแผ่นอกของเขาได้เปลี่ยนมัดร่างนางให้แนบชิดกับร่างของเขาแน่นขึ้นราวกับจะผสานเป็นเนื้อเดียว ลิ้นร้อนไล่ลุกเร้ากับลิ้นน้อยๆ จนยอมจำนนให้เกี่ยวกระหวัด เสียงครางครือในลำคอของหญิงสาวทำให้บุรุษหนุ่มฮึกเฮิมดันร่างบางไปชิดก้อนหินกลมเกลี้ยงก้อนใหญ่ให้แผ่นหลังของนางแนบชิด ดอกบัวคู่งามจึงเชิดชันท้าท้ายให้บุรุษหนุ่มอ้าปากครอบครอง เม้มริมฝีปากดูดดึงจนหญิงสาวไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางของตนเองได้ “ประเดี๋ยวมีใครมาเห็น” นางใช้สองมือที่อ่อนแรกผลักเขาออก “ไม่มีหรอก” เขาหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ “หากมีก็แค่ควักตาออกเสีย” ซินหรานไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไร เขาดึงดันจะกลืนกินนางและเขาก็ทำให้นางไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีก ราวกับร่างกายของนางก็โหยหิวสัมผัสของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเขายอมเลิกทรมานทรวงอกของนาง ทว่าริมฝีปากร้ายพรมจูบหน้าท้องของนาง เพราะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร นางรีบร้องห้ามทั้งที่ตัวเองอ่
ใครเลยจะรู้ว่าคำสั่งแรกในฐานะฮูหยินของประมุขพรรคเพลิงอัคนีคือการสั่งให้ทุกคนเดินทางพร้อมกันไม่มีแยกเป็นสองขบวนตามที่เหิงหยางเซิงตกลงกับเฉินเอ๋อร์ “ตั้งแต่คลอดเฉินเอ๋อร์ออกมา เขาไม่เคยห่างจากข้าเลยสักครั้ง ท่านจะผลักไสให้ข้ากับลูกแยกกันได้อย่างไร” เหิงหยางเซิงได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม แม้หญิงสาวผู้นี้จะยังคงเป็นซินหรานที่แลดูอ่อนแอบอบบางไร้ปากเสียง แต่ยามที่นางต้องการสิ่งใดก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็ผลักไสให้อู่เฉียงไปไกลหูไกลตา และจางเย่วถิงที่แสร้งทำเป็นอยากเดินทางด้วย แต่เพราะนางยังต้องการยาอายุวัฒนะนั้นอยู่จึงออกไล่ล่าช่วงชิงยาวิเศษที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ก่อนเอ่ยคำลา ซินหรานคืนหยกประจำกายของจางเย่วถิง ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดว่าหยกชิ้นนี้มีความหมายมากขนาดนี้ แม้สิ่งนี้จะทำให้นางออกคำสั่งคนของพรรคกระเรียนแดงได้ก็ตาม แต่จางเย่วถิงกลับยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยปาก “สิ่งใดที่ข้าให้แล้วย่อมไม่เอาคืน ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญเจ้าก็แล้วกัน” ด้วยเหตุนี้ซินหรานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก นางเก็บหยกชิ้นนั้นไว้แล้ว
“อู่ชิงอู่ยินเอาม้าของข้าให้อู่เฉียงไป”“ขอรับ” คนที่อยู่ด้านนอกรีบตอบรับ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไป เดิมทีจอมมารเหิงหยางเซิงต้องการเดินทางกลับเกาะเพลิงอัคนีทันทีและแน่นอนว่ากลับไปครั้งนี้มีฮูหยินติดตามกลับไปด้วย ทว่าเมื่อเร่งรีบออกจากหมู่บ้านมาเพื่อไม่ต้องการพบกับคนของทางการ ทั้งหมดจึงได้ไปอาศัยหลบอยู่อีกหมู่บ้านไม่ไกลมากนักเพื่อให้อู่เฉียงได้รักษาตัว แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือพระสนมหลิวเสียนเฟยผู้นี้ไม่ยอมเดินทางกลับเมืองหลวง“ข้าจะอยู่ดูแลผู้มีพระคุณสักสามสี่วันจะเป็นไรไป” แม้นางจะไม่ให้ใครเอ่ยถึงนางในฐานะพระสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แต่ลักษณะท่าทางสูงส่งแม้กระทั้งน้ำเสียงเย่อหยิ่งถือดีนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหิงหยางเซิงผู้เป็นประมุขพรรคมารมิชอบใจท่าทีเช่นนี้ เขาต้องการเดินทางกลับอยู่ทุกวันคืนไม่ใช่เพียงไม่ชอบท่าทีของสตรีผู้นี้แต่เพราะไม่ต้องการให้ซินหรานอยู่ใกล้อู่เฉียงแม้บาดแผลจะทำให้เสียเลือดมากแต่เพราะมีพ่อบ้านจูโหย่งเจาอยู่จึงดูแลรักษาอู่เฉียงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว ในวันที่สามก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ปกติ และถูกจอมมารเหิงหยางเซิงขึงตาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้า เ
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไม่เหลือหน้าตาให้หยัดยืนใน ยุทธภพ เปลี่ยนแปลงตนเอง เข้าไปในวังวนของวังหลวง หวังให้ตำแหน่งของตนสูงสุด แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำลายป่นปี้ ด้วยความแค้นทำให้กั๋วกงกงลืมกลยุทธไปหมดสิ้นต่อสู้เหมือนคนตาบอดสะเปะสะปะไปมา ยิ่งสู้ยิ่งไม่อาจยอมรับความแพ้พ่าย หางตาเห็นสตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยืนอยู่คนเดียว จึงเปลี่ยนเป็นพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวบอบบาง ซินหรานเบิกตากว้างที่จู่ๆ กั๋วกงกงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งมาที่นาง ทว่าเมื่อประสายสายตากันกลับเป็นกั๋วกงกงที่ชะงักงันแล้วกรีดร้องคลุ้งคลั่ง “ไม่จริง! ข้าจะไม่ตายเช่นนั้น! ข้าไม่มีวัน...!” ยังไม่ทันจบประโยคดี แสงสีเพลิงจากกระบี่อัคนีพิฆาตก็แทงทะลุร่างของกั๋วกงกง ดวงตาคู่นั้นก้มมองปลายกระบี่ที่ทะลุหน้าอกตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเอี้ยวมองไปด้านหลัง เห็นเพียงรอยยิ้มโหดเหี้ยมของเหิงหยางเซิง เขาบิดข้อมือทำให้กระบี่ควานเนื้อเรียกโลหิตให้หลั่งออกมาจนนองพื้น “เจ้า...เจ้ามัน...มาร...ปีศาจ...ร้าย” “ถูกต้อง ข้าคือจอมมารเหิงหยางเซิงแห่งพรรคเพลิงอัคนี” เพียงชั
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กแปดขวบ หญิงสาวเบิกตาโต ความทรงจำที่เลือนลางไปเต็มทีแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง บ้านของนางไฟไหม้ บิดามารดาฉุดแขนให้นางวิ่งออกมา ทว่าบิดาถูกคนร้ายใช้ดาบฟันกลางหลัง แต่กระนั้นก็ยังกอดนางกับมารดาไว้ คนร้ายหัวเราะทั้งที่มารดาหวีดร้องเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าไปใช้เพียงมือเปล่าทุบตีคนเหล่านั้น หนึ่งนั้นใช้ฝ่ามือฟาดใส่หน้ามารดาถึงกับเซถลาล้มลง พวกมันหัวเราะร่ากระตุกเท้ามารดาไว้แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมารดา‘หนีไป! หนีไป!’เด็กน้อยตัวแข็งทื่อก้าวเท้าไม่ออก ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบถูกฉุดกระชากอย่างแรงจนแขนเสื้อของเด็กหญิงขาด เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องสุดเสียง พยายามสะบัดแขนขาที่ถูกเกาะกุมด้วยชายร่างใหญ่หลายคนที่ล้อมตัวนางอยู่ เด็กหญิงสู้แรงชายเหล่านั้นไม่ได้ ร่างของนางถูกยกขึ้นเหนือพื้นแขนสองข้าง ขาสองข้างถูกมือสกปรกจับยกขึ้น แม้น้ำตาไหลอาบแก้มแต่นางยังมองเห็นเปลวเพลิง ผู้คนที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงของเปลวเพลิง เด็กหญิงหวีดร้องจนเจ็บคอไปหมด ราวกับมีเลือดผสมน้ำลาย เสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติดังขึ้น
อู่เฉียงได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมามองพร้อมกับพระสนมหลิวเสียนเฟยที่ปรายตามองเล็กน้อย ซินหรานก้าวออกมายืนแล้วกวาดตามองเหมือนค้นหาสิ่งผิดปกติ “เอ่อ...ข้าคงรู้สึกไปเอง เหมือนมีผู้อื่นอยู่ที่นี่” ซินหรานอึกอักหน้าแดง นางคงกังวลเกินเหตุไป พระสนมหลิวเสียนเฟยส่งยิ้มเอ็นดูให้ ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยี่สิบแล้วและมีลูกชายน่ารัก แต่ลักษณะท่าทางยังเหมือนเด็กสาวมิได้ออกเรือน ยามเขินอายก็แก้มแดงระเรื่อ ช่างดูไร้เดียงสานัก พลันอดคิดถึงตนเองยามเป็นเด็กสาวไม่ได้ นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่งสายตาดุจตาหงส์สังเกตสิ่งที่อยู่ในมือของซินหรานนั้นคุ้นตา จึงเอ่ยถามออกไป “นี่นะหรือ?” ซินหรานยื่นหน้ากากอันนั้นส่งให้พระสนม แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำให้พูดคุยกับนางเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป ซินหรานจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายดุจสนทนากับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน “เจ้าได้หน้ากากนี่มาจากที่ใด” พระสนมหลิวเสียนเฟยเอ่ยถาม ดวงตามีประกายความตื่นเต้นไม่น้อย “เรียนตามตรง ท่านจอมมารให้ข้ามา เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้ท่านจอมมาร แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด” “เจ้าเคยใช้หรือไม่?” ซินหรานอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไปตรง “ครั้
พระสนมหลิวเสียนเฟยมิได้ดึงดัน พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงจ้องมองซินหรานอีกครั้ง เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากเอ่ยถามนาง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้คำตอบนั้นจากแววตาห่วงใยที่นางมีให้จอมมารแสนร้ายกาจผู้นั้นแล้ว“ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านนอก” “ขอบคุณพี่อู่เฉียง” นางยิ้มบางๆ มองร่างสูงหันหลังเดินออกไปแล้ว นางยื่นมือไปปิดประตูด้วยตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูปิดสนิท หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ก้าวเท้าไม่ออก“ข้าต้องเดินลมปราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อถอดเสื้อเปื้อนเลือดของตนออก ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดปรากฏ ไฉนอยู่ดีๆ เปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้เล่า นางอยู่กับคนในพรรคมารมาแปดปี แต่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ใดๆ เห็นเพียงอู่เฉียง อู่ชิงและอู่ยินต่อสู้ประมือกัน แต่ไม่รู้ว่ายามต้องลมปราณนี้ต้องเปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย“ถ้าอายนักก็ออกไป” เหิงหยางเซิงเห็นนางยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เอ่ยตำหนิขับไล่นาง แต่เพราะไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพยับแย่เช่นนี้เพราะใช้เพลงกระบี่อัคนีพิฆาต เขาจึงเจ็บหนักเช่นนี้ ดาบเดีย
“คนอื่นๆ ล่ะ คนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไร!” ซินหรานตวาดอย่างลืมตัว เหิงหยางเซิงแม้จะเป็นคนใจดำ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจซินหราน นึกถึงภาพนางที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พูดไม่จาอยู่นานเป็นแรมเดือน หัวใจที่เคยด้านชาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครา แม้เขาไม่ได้พูดออกไป แต่หญิงสาวกลับเข้าใจได้ ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวเพราะตกใจอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไร้สีเลือดเข้าไปอีก สองขาแทบทรุดลงด้วยไร้เรี่ยวแรง จนเหิงหยางเซิงต้องประคองไว้“ไม่ได้”นางพึมพำ นึกเด็กๆ ที่นางเคยดูแล ป้าหวังที่เอางานปักผ้ามาให้นาง ทุกคนในหมู่บ้านที่ที่ดีกับนาง ยามนี้พวกเขามีภัย มีภัยโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจหลบหนีได้ทัน นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นเกาะเพลิงอัคนีหรืออย่างไร!” เหิงหยางเซิงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักแม้แต่น้อย “เวลานี้มีคนของพรรคเพลิงอัคนีอยู่ข้างกายแค่ห้าหกคน เจ้าคิดจะใช้คนของข้าปกป้องคนนับร้อยเหล่านั้นหรือ? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ไกลจากนี้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะนั้นรวมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของพรรควิหคสวรรค์ คนเหล่านั้นเมื่อเข้าใจว่าข้าผู้เป็นปร
โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ซินหรานไม่ได้เสียงตอบในคำถามที่ต้องการ นางจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองนางราวกลืนกินนางลงไปทั้งตัว สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกตัว ปล่อยมือใหญ่ในอุ้งมือของตนทันที ทว่าเขากลับพลิกข้อมือเป็นฝ่ายจับมือนางไว้ก่อน ไม่ยินยอมให้ปล่อยนางไป เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือของเขาไปอีก คนที่ถูกตราหน้าเป็นมารปีศาจร้ายเช่นเขา ไยต้องคิดหาวิธีรั้งนางด้วยเล่า? บัดนี้เขาตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำทุกวิธีทางให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าไปจากเขา แต่เมื่อนางไปขุดเอาความกล้าหาญมาจากไหน ฉวยจังหวะที่เขาอยู่ที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่อัคนีพิฆาตหลบหนีออกมา แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าเล่ห์กลใดที่รั้งนางไว้ได้ เขายอมหน้าหนาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ที่แสร้งทำเป็นว่า รอยแผลนี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพียงใด “เจ้าเคยเจ็บปวดถึงกระดูกหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยพลางจ้องตานาง เก็บทุกความรู้สึกที่อยู่สีหน้าของหญิงสาว “จะ...เจ็บมากเลยหรือ?” แม้เมื่อครู่นางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จนเลือดนองพื้นดิน แต่ยามนี้ความสนใจของนางอยู่ที่มือขวาของเขา “ปะ...เป