พลันความคิดหนึ่งวาบเข้ามา เขาย้ายสายตากลับมามองที่อู่เฉียงซึ่งนับว่าเป็นนักฆ่าฝีมือดีที่สุดที่เขามี คนผู้นี้ไม่มีอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใด หากเขาสั่งให้ตายก็ทำตามคำสั่งโดยไม่กะพริบตา มีครั้งนี้ที่เห็นเขาต้องการเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
ใช่! เขาต้องการใช้เด็กหญิงคนนี้ไว้ต่อรองกับองครักษ์ข้างกายของเขาเอง
เพื่อให้ได้ความจงรักภักดี เขารั้งตัวซินหรานให้อยู่ข้างกาย ให้นางเป็นหญิงรับใช้แต่ไม่ได้ลำบากมากนัก แต่นับวันเขากลับไม่พอใจที่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวมีให้ทุกคนยกเว้นเขา เหิงหยางเซิงไม่เคยรู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกเช่นนี้ และนับวันมันยิ่งมากขึ้นทุกที มากขึ้นจนเขาอยากจะกลืนกินนางไปทั้งตัว!
มือเรียวแกะผมที่เกล้าเป็นทรงกลมสองลูกบนศีรษะของตนออก สางเส้นผมยาวสลวยของตนด้วยหวีไม้หอมที่อู่เฉียงซื้อมาฝากเมื่อหลายเดือนก่อน อย่าว่าแต่ออกจากเกาะเลย แค่นอกคฤหาสน์เพลิงอัคนีก็แทบนับครั้งได้ แม้ไม่ได้ถูกห้าม แต่คล้ายว่านางยุ่งเกินไปและอีกส่วนหนึ่งในใจ นางมิกล้าออกไปด้วยตนเอง
กว่านางจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเผื่อพักผ่อนก็ค่อนดึกไปแล้ว เรื่องดีอีกเรื่องคือนางอาบน้ำได้ทุกวัน อาจเพราะทำงานยุ่งทั้งวัน เหงื่อซึมจนเสื้อชื้น ปรนนิบัติรับใช้ท่านจอมมารจนปิดประตูห้องนอนแล้ว นางจึงได้มีเวลาเป็นของตนเอง หลังจากสางผมตนจนเป็นที่พอใจแล้ว นางหยิบตะกร้าที่ใส่อุปกรณ์ตัดเย็บออกมา แสงเทียนสว่างไม่มากแต่ทำให้นางพอจะมองเห็นงานที่ทำค้างไว้ได้ชัดเจน กระดาษยับย่นสองแผ่นมีรูปฝ่ามือซ้ายและขวาอยู่บนนั้น นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนนางเรียกอู่เฉียงมาพบแล้วให้เขากางมือลงบนกระดาษ
“พี่อู่เฉียงอยู่นิ่งๆ สักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ”
“เจ้าจะทำอะไร”
“วาดมือของพี่ อีกไม่นานลมเหมันต์ก็จะมาเยือนแล้ว ข้าจะเย็บถุงมือให้พี่อู่เฉียง” นางพูดพลางหยิบพู่กันจุ่มหมึกวาดรูปมือของเขาที่ทาบลงบนกระดาษ หลังมือนั้นมีแต่รอยแผลเป็น แม้เจ้าตัวบอกว่าไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่นางรู้ว่าเมื่ออากาศเย็นจัด ความเจ็บปวดเข้ามากัดกินจนปวดถึงกระดูกเลยทีเดียว
“ไม่ต้อง...” เสียงของเขาแผ่วเบาและขาดหาย คล้ายไม่อาจเอ่ยคำโกหกได้
“ฝีมือข้ายังไม่ดีนักแต่รับรองว่าเย็บออกมานิ้วมือครบทั้งห้านิ้วแน่นอน” นางหัวเราะคิกคักวาดมือซ้ายและขวาของเขาเสร็จเรียบร้อย “มีเศษผ้าเหลืออยู่ พ่อบ้านจูโหย่งเจาให้ข้าไว้ใช้ทำอะไรก็ได้ หวังว่าพี่ อู่เฉียงจะไม่รังเกียจ”
นางเงยหน้ามองเขาแต่อีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับชักมือกลับแล้วหลบสายตาของนาง นางรู้ดีว่าคนอย่างอู่เฉียงตระหนี่ถ้อยคำมากเพียงใด ตรงข้ามกับอู่ชิงและอู่ยินที่หยอกล้อนางทุกครั้งที่พบหน้า
“ข้าทำให้พี่อู่เฉียงได้แค่นี้” นางมองเส้นสีดำที่เป็นรูปมือของเขาบนกระดาษพลางถอนหายใจเบาๆ
“หากพี่อู่เฉียงไม่พาข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเป็นเช่นไร
“ในสักวัน...” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “ในสักวันเจ้าอาจจะเกลียดข้าที่ข้าพาเจ้ามาสถานที่โหดร้ายเช่นนี้”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมา “หากวันนั้นไม่มีนายท่านและพี่อู่เฉียง ข้าคงไม่มีชีวิตมาถึงตอนนี้ ข้าอยู่ที่นี่สุขสบายดี”
หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา นางขี้ขลาดจริงๆ นางไม่มีความคิดอยากแก้แค้นเอาคืนหรือสืบค้นว่าเรื่องคืนนั้นเป็นมาอย่างไร ยอมเป็นคนที่ผู้อื่นตราหน้าว่าขี้ขลาดตาขาว อกตัญญูไม่คิดถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับ แต่... อย่างนางจะไปทำอะไรได้ แค่คืนไหนที่นางไม่นอนฝันร้ายถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น นับว่าเป็นคืนที่สงบสุขของนางแล้ว นางจึงละทิ้งเรื่องเหล่านั้นและใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเรียบง่ายที่สุด
ขณะที่นั่งคิดถึงเรื่องราวในอดีตพลางหยิบเศษผ้าออกมาเลือกดูว่าชิ้นไหนพอจะทำถุงมือกันหนาวให้อู่เฉียงได้ เสียงครางกระเส่าจากห้องนอนของท่านจอมมารเหิงหยางเซิงก็ดังขึ้น จากนั้นตามด้วยเสียงกระแทกกระทั้นของโต๊ะหรือเตียง หรือเก้าอี้ นางสุดจะคาดเดาจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเข้าไปทำความสะอาด
เมื่อหัวค่ำ ก่อนที่นางจะได้ออกมาพักผ่อน พ่อบ้านจูโหย่งเจาพาหญิงงามเข้าไปในห้องนอนของท่านจอมมาร เป็นเช่นนี้จนนางคุ้นชินแล้ว ห้องนอนของนางอยู่ติดกันเพื่อสะดวกในการเข้าไปรับใช้ แต่ไม่คิดว่าห้องนางจะได้ยินเสียง ‘กิจกรรม’ ในห้องนั้นได้ชัดเจนถึงเพียงนี้
เสียงครวญครางจากข้างห้องทำเอานางหายใจไม่ทั่วท้อง ใช่ว่านางไร้เดียงสา ทว่าอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ‘กิจกรรม’ นั้นมีความสุขจริงๆหรือ? เสียงร้องนั้นทุกข์ทรมาณและสุขสมไปพร้อมกัน
แต่คนที่ทุกข์ที่สุดคงไม่พ้นนางซินะ
ซินหรานถอนหายใจเบาๆ คืนนี้อาจไม่มีเรื่องอะไรก็ได้ นางปลอบใจตัวเองพลางเลือกผ้าที่ต้องการได้แล้วก็นำออกมาวางไว้ แต่แสงยามค่ำคืนที่มีเพียงแสงเทียนนั้นไม่อำนวยให้นางทำงานได้ดีนัก นางเกรงตนเองจะตัดผ้าเสีย ผ้าที่ได้มาแม้จะมีมากแต่ชิ้นที่เหมาะจะทำถุงมือได้นั้นมีแค่สองชิ้นนี้เท่านั้น เพราะฝ่ามือของเขาใหญ่นัก ผ้าที่ใช้ก็ต้องชิ้นใหญ่ด้วยเช่นกัน คิดถึงมือสองข้างนั้นแล้วนางก็เผลอหัวเราะออกมา นางเลือกผ้าที่ต้องการได้แล้วก็แยกไว้ต่างหาก พับเก็บไว้เตรียมทำถุงมือให้อู่เฉียง พลันสายตามองไปยังหีบไม้ใบหนึ่งที่นางเก็บหน้ากากแปลกประหลาดนั้นไว้ข้างใน ตั้งแต่ได้รับมานางเอาใส่ไว้ในหีบไม่กล้าหยิบมาดูอีก ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร งดงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน น่าจะอธิบายถึงหน้ากากครึ่งหน้าอันนี้ได้ดีที่สุด ของบรรณาการย่อมเป็นสิ่งของล้ำค่า แต่นางกลับไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร นางได้แต่ปรายตามองกล่องใบนั้น ที่นี่ไม่มีหัวขโมย นางไม่ต้องกังวลจึงเก็บไว้ธรรมดาไม่ได้ใส่กุญแจ ดึกมากแล้วนางต้องรีบหลับนอน เพราะงานของนางเริ่มก่อนฟ้าสาง ทั้งช่วยงานในครัวของพ่อครัวเจี่ยนและงานที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาสั่งอีก
นางรวบผมยาวไว้ข้างหนึ่ง โน้มตัวลงดับเทียน ปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปที่เตียงเพื่อจะเอนตัวลงนอน
“กรี๊ด!”
ซินหรานผวาขึ้นทั้งที่ศีรษะเพิ่งแตะหมอน เสียงกรีดร้องดังมาจากห้องนอนของท่านจอมมาร ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงอะไรสักอย่างล้มโครมคราม นางนั่งนิ่งหัวใจเต้นรัว
“ใครก็ได้เข้ามา!”
ไม่ใช่ ‘ใครก็ได้’ ที่จะ ‘เข้าไป’ ในห้องนอนของท่านจอมมารแห่งพรรคเพลิงอัคนี
ซินหรานลุกพรวดพลาดขึ้นจากเตียง ก้าวเร็วๆ แค่อึดใจก็เอ่ยเสียงเบาอยู่หน้าบานประตู “บ่าวซินหรานเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็ผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้คนข้างในเอ่ยตอบ นางไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้ว่าร่างสูงใหญ่สวมเพียงเสื้อคลุมบางเบาหันหลังให้แล้วเดินไปที่ระเบียงของห้อง หญิงสาวที่รีบร้อนเข้ามามิได้เกล้าผมให้เรียบร้อยก่อน ซินหรานเห็นหญิงงามเปลือยกายบนเตียงใหญ่ คนงามแม้ยามร้องไห้ยังดูงดงาม ซินหรานกวาดตามองไปที่พื้นเห็นเสื้อผ้ากองอยู่ก็หยิบมาคลุมกายให้ก่อนแล้วรีบประคองออกไป ด้านนอกพ่อบ้านจูโหย่งเจารออยู่แล้ว ชายชราจึงเพียงแค่พยักหน้าให้กับบ่าวรับใช้อีกสองคนที่ยืนรออยู่มาประคองหญิงงามผู้นั้นออกไป
“จัดการให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะ”
ซินหรานรีบคว้าถังน้ำและผ้าขี้ริ้วเช็ดคราบปัสสาวะบนพื้นห้อง เจ้าของห้องไม่ชอบกลิ่นสกปรกเช่นนี้นัก นางรีบทำอย่างรวดเร็วแล้วนำไปถังน้ำไปไว้ด้านนอกก่อน วิ่งเร็วๆ กลับไปที่ห้องของตน หยิบผ้าปูที่นอนผืนใหม่แล้ววิ่งเร็วๆ กลับมาจัดการดึงผ้าปูที่นอนที่มีคราบขาวขุ่นออกแล้วปูผ้าพื้นใหม่อย่างรวดเร็ว ห้องของนางเป็นห้องเก็บของจริงๆ มีของใช้ของท่านจอมมารสำรองอยู่ในตู้ที่ห้องนอนของนาง เดิมทีมันอาจเป็นห้องเก็บของใช้จริงๆ นั้นแหละ แค่ยัดเตียงนางเข้าไปซุกหัวนอนในนั้นได้
เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดมิอาจรู้ได้ เหตุใดหญิงงามเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านจอมมารถึงขนาดปัสสาวะราดได้นะ เดือดร้อนให้นางต้องมาเช็ดถูทำความสะอาด และสุดท้ายคือจุดกำยานหอมในห้อง นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยภายเค่อเดียว ซินหรานก้มตัวลงจัดหมอนให้เข้าที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสร็จแล้วจึงเงยตัวขึ้นแล้วหันหลังให้เตียงกว้างที่สามารถนอนได้สามหรือสี่คนเลยทีเดียว ทว่านางกลับไม่รู้ว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางหมุนตัวออกมาจึงปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวยาว ด้วยความตกใจ นางผงะไปด้านหลังและเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง มือเล็กยื่นไปจับสาบเสื้อของชายตรงหน้าเพื่อยึดเหนี่ยวอย่างลืมตัว ด้วยกำลังอันน้อยนิดของหญิงสาว ทว่าเขากลับปล่อยให้ร่างของตนโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่หงายหลังลงบนเตียงที่เพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะทาบทับร่างของนาง เขาใช้มือยันเตียงไว้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านล่างคงเจ็บตัวไม่น้อย ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจแต่ไร้เสียงหวีดร้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้างจองมองคนที่อยู่ด้านบน ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่มาแปดปี รับใช้ใกล้ชิดแม้กระทั่งยามที่อีก
เพราะเดินอย่างเหม่อลอย กว่าจะรู้ตัวเขามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังที่ลานซักล้างแล้ว ลมพัดแรง ผ้าที่ตากอยู่บนราวเชือกนั้นพลิ้วสะบัดไปมา เขามองเห็นร่างบอบบางที่กำลังตากผ้า ใบหน้าหมดจดแดงเรื่อ แขนเสื้อถูกม้วนขึ้นถึงข้อศอกทำให้เห็นท่อนแขนเรียวเล็ก ผมยาวถูกเกล้าขึ้นเป็นก้อนกลมๆ สองข้างบนศีรษะของนาง ทำให้มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกมาไม่รู้ตัว นางคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน ซินหรานเขย่งปลายเท้า ตากผ้าปูที่นอนรวมทั้งเครื่องนอนจนเรียบร้อยดี ลมแรงเหลือเกิน นางระบายลมหายใจออกทางปาก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมใบหน้าของตน นางก้มลงหมายยกตะกร้าผ้าขึ้นแล้วเดินออกมา ทว่าลมที่พัดแรงนั้นทำให้ผ้าของนางปลิวออกจากราวตากผ้า หญิงสาวอ้าปากค้าง ทิ้งตะกร้าลงพื้นแล้วกระโดดคว้าผ้าไว้ “ผ้า! ผ้าของข้า!” อู่เฉียงเห็นผ้าผืนนั้นปลิวลอยในอากาศ เขากระโดดราวเหาะเหินในอากาศ คว้าผ้าผืนนั้นไว้ให้นางได้ทันก่อนปลิวไปไกล หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้าผืนนั้นมาแล้วรีบเอาไปตากไว้เช่นเดิม ตรวจดูจนมั่นใจแล้วจึงหันมาทางชายหนุ่ม แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงแล้วนางรู้ได้ทันทีว่าเขาคงมีเรื่องในใจเป็นแ
ซินหรานเก็บอาการตื่นตกใจซ่อนไว้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย บรรดาคนสนิทที่มาพร้อมกับ จางเย่วผิงค้อมตัวแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ บ่าวรับใช้ผู้อื่นนำสุราอาหารมาวางไว้แล้วถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เหิงหยางเซิง จางเย่วถิงและซินหราน นางกลอกตามองไปยังเหิงหยางเซิง เมื่อไม่เห็นท่านจอมมารมีปฏิกิริยาใด นางจึงได้แต่ก้มหน้ายกกาสุรารินใส่จอก แต่จอกสุราหยกยังไม่ทันถูกยื่นไปใส่มือของจางเย่วถิง ซินหรานก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจนทำให้จอกสุราตกลงพื้น นางได้แต่กระพริบตาปริบๆ กว่ารู้สึกตัวข้อมือของนางก็ถูกคว้าไว้กระชากอย่างแรงจนนางลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างจางเย่วถิง “นายท่าน” ซินหรานเอ่ยเสียงเบา รู้สึกเจ็บข้อมือแต่ไม่กล้าร้องโอดครวญออกไป “ระวังหน่อยท่านจอมมาร กระดูกนางเปราะบางนัก ประเดี๋ยวแตกหักขึ้นมาจะลำบากรักษา” จางเย่วถิงยกกาสุราขึ้นแหงนหน้าแล้วกรอกสุราลงคอตนเอง “เจ้าอยากเห็นหน้านาง เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่” จางเย่วถิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เปรอะสุรา ดวงตาเป็นประกายยั่วล้อแล้วยื่นหน้าไปทางเหิงหยางเซิง “ข้าไม่ได้อยากเห็นหน้านา
“เอาปลาแห้งไปด้วย” พ่อครัวเจี่ยนหน้าบึ้งตึงแต่จิตใจดี ไม่ต่างจากพ่อบ้านจูงโหย่งเจานัก แม้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เห็นนางใส่ใจเรื่องเล่านี้ก็รู้สึกดี ไม่เพียงแค่ อู่เฉียง หากคนอื่นที่ออกไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของท่านจอมมาร นางย่อมช่วยจัดเตรียมเสบียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบปลาแห้งมาเพิ่มให้อู่เฉียง ปกตินักฆ่าไปมาไร้ร่องรอย ทว่าสำหรับอู่เฉียง ก่อนเดินทางเขาต้องมาบอกนางก่อนเสมอ เช่นครั้งนี้ด้วย เขาหยุดยืนมองร่างบอบบางในชุดหญิงรับใช้ นึกถึงถ้อยคำที่ฝากฝั่งให้อู่ชิงและอู่ยินช่วยดูแลซินหราน ‘อยู่ที่นี่คนที่จะทำอันตรายซินหรานก็มีแค่ท่านจอมมารเพียงผู้เดียว’ อู่ชิงเอ่ยพร้อมถอนหายใจเบาๆ ‘เจ้าก็รู้ ไม่วันนี้หรือวันหน้า อย่างไรซินหรานก็ไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะครอบครองได้’ อู่ยินได้แต่ปลอบใจ อู่เฉียงได้แต่เก็บงำถ้อยคำของตนเองไว้หมดสิ้น เขารู้ แม้ท่านจอมมารไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาและการแสดงออกนั้น ซินหรานไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวใช้ข้างกายเท่านั้น มีบางอย่างที่ลึกซึ้งมากนัก เป็นสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอาจยังไ
พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว “รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า” “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมานางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้อ
“ซินหราน เสร็จธุระของเจ้าหรือยัง รีบมาจัดห้องนอนให้ท่านจอมมารประเดี๋ยวนี้!” “เจ้าค่ะ ” หญิงสาวรีบขานรับ มือเล็กผลักหีบใบนั้นเข้าไปในชั้นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว อากาศชื้นฝนเช่นนี้ ท่านจอมมารไม่ค่อยชอบนัก นางเห็นแค่เจ้าของร่างสูงในอาภรณ์สีดำสะบัดแขนเสื้อเดินหายไปทางหอฝึกยุทธ์แล้ว นางก็รีบเข้าไปในห้องนอนของท่านจอมมารจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและจุดกำยานกลบกลิ่นชื้นฝนในห้อง ครบสามวันแล้ว นางคงไม่ต้องไปนอนที่ห้องเก็บฟืนแล้วซินะ หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า นางหอบผ้าปูที่นอนผืนเก่าแล้วเดินออกมาเพื่อนำไปซักทำความสะอาด เครื่องนอนและเสื้อผ้าของท่านจอมมารมีแต่นางเท่านั้นที่ทำความสะอาด แบบนี้จะเรียกว่านางเป็นคนโปรดได้อย่างไร บ่าวรับใช้มีตั้งมากมายแต่นางเป็นคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่เหล่านี้ ฝนจางจากท้องฟ้าไปมากแล้ว เหลือเพียงละอองโปรยปรายแตะเส้นผม นางสูดกลิ่นฝนเข้าเต็มปอด แน่นอนว่านางชอบกลิ่นฝนอาจเพราะเป็นเติบโตมากับท้องไร่ท้องนา จึงคุ้นชินกับชีวิตที่อาศัยฟ้าฝนในการดำรงชีพแล้ว แล้วคน
“มาแล้วรึ” เหิงหยางเซิงเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือไปหยิบถ้วยใส่เลือดงูพิษขึ้นมาดื่มอย่างไม่สนใจอะไร เขายกดื่มรวดเดียวจนหมด ตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากปรับลมปราณของตนให้รับพิษงูก่อนจะยื่นถ้วยส่งคืนพ่อบ้าน “ท่านจอมมาร ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว” แม้พ่อบ้านจูโหย่งเจาไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็รู้กันว่าคนที่พูดถึงคือซินหราน “สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงดี หากท่านจอมมารจะใช้โลหิตของนาง...” “เจ้าออกไปได้” พ่อบ้านจูโหย่งเจาอ้าปากเหมือนจะส่งเสียงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ แม้เขาจะเอ็นดูนาง แต่หากโลหิตของนางช่วยยับยั้งพิษในกายของท่านจอมมารได้ เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารนาง เหิงหยางเซิงเดินลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้พิษต้านพิษมาหลายปีหลังจากบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้ายระหว่างการฝึกยุทธ์ พิษยังขับออกไม่หมด เมื่อถึงคราวที่ฟ้าหลั่งฝนทีไหร่ ราวกับโสตประสาททั้งหมดรับรู้สิ่งรอบข้างชัดเจน กลิ่น เสียง สิ่งที่ได้เห็น ล้วนทำให้เขาหงุดหงิดพลุ่งพล่านต้องการสังหารคนเพื่อให้จิตใจสงบทุกคราวไป แต่ยามนี้ขอมีเพียงนางอยู่ใกล้ จิตใจของเขาพลันสงบโดยมิต้องสังหารใครให้เหม็นกล
พื้นดินที่เปียกชื้นต้นหญ้าอ่อนถูกพรมด้วยน้ำค้าง ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังหงายหลัง นางหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะได้รับ ทว่าร่างของนางไม่ได้กระแทกพื้นอย่างที่คิด แต่เอนพิงแผ่นอกแกร่งที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ร่างอ่อนนุ่มเอนเข้าสู่แผ่นอกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าคนไร้ วรยุทธ์อย่างนางย่อมไม่รู้ว่าเขาเดินประชิดติดอยู่ด้านหลังนานแล้ว เดิมทีเหิงหยางเซิงคิดจะเดินลมปราณเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย ทว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เลือดในกายเต้นระริก หงุดหงิดและร้อนรุ่มจนไม่อาจทำสมาธิได้ กระนั้นเขารับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่อยู่ห้องนอนติดกันนั้นเปิดประตูออกอย่างเร่งรีบ เขาจึงติดตามร่าบอบบาง ใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ไม่ต้องอาศัยแสงจากตะเกียงหรือโคมไฟ ร่างเล็กในชุดนอนเรียบง่ายยืนอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพรรณ ผิวขาวดุจหยกขับเน้นให้นางดูงดงามราวภาพวาด เส้นผมที่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งรวบมัดไว้ทำให้ร่างของนางดูเย้ายวนตา เหิงหยางเซิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองราวกับคนกระหายน้ำ ก้าวเท้าติดตามร่างบอบางที่ไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาใกล้เพียงใ
ดวงตาร้อนแรงที่จ้องมองเหมือนจะกลืนกินทำให้ซินหรานต้องหลับตารับรู้สัมผัสร้อนผ่าวจากเรียวลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก มือใหญ่ปล่อยฝ่ามือนางที่อาจไม่ขยับไปจากแผ่นอกของเขาได้เปลี่ยนมัดร่างนางให้แนบชิดกับร่างของเขาแน่นขึ้นราวกับจะผสานเป็นเนื้อเดียว ลิ้นร้อนไล่ลุกเร้ากับลิ้นน้อยๆ จนยอมจำนนให้เกี่ยวกระหวัด เสียงครางครือในลำคอของหญิงสาวทำให้บุรุษหนุ่มฮึกเฮิมดันร่างบางไปชิดก้อนหินกลมเกลี้ยงก้อนใหญ่ให้แผ่นหลังของนางแนบชิด ดอกบัวคู่งามจึงเชิดชันท้าท้ายให้บุรุษหนุ่มอ้าปากครอบครอง เม้มริมฝีปากดูดดึงจนหญิงสาวไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางของตนเองได้ “ประเดี๋ยวมีใครมาเห็น” นางใช้สองมือที่อ่อนแรกผลักเขาออก “ไม่มีหรอก” เขาหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ “หากมีก็แค่ควักตาออกเสีย” ซินหรานไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไร เขาดึงดันจะกลืนกินนางและเขาก็ทำให้นางไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีก ราวกับร่างกายของนางก็โหยหิวสัมผัสของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเขายอมเลิกทรมานทรวงอกของนาง ทว่าริมฝีปากร้ายพรมจูบหน้าท้องของนาง เพราะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร นางรีบร้องห้ามทั้งที่ตัวเองอ่
ใครเลยจะรู้ว่าคำสั่งแรกในฐานะฮูหยินของประมุขพรรคเพลิงอัคนีคือการสั่งให้ทุกคนเดินทางพร้อมกันไม่มีแยกเป็นสองขบวนตามที่เหิงหยางเซิงตกลงกับเฉินเอ๋อร์ “ตั้งแต่คลอดเฉินเอ๋อร์ออกมา เขาไม่เคยห่างจากข้าเลยสักครั้ง ท่านจะผลักไสให้ข้ากับลูกแยกกันได้อย่างไร” เหิงหยางเซิงได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม แม้หญิงสาวผู้นี้จะยังคงเป็นซินหรานที่แลดูอ่อนแอบอบบางไร้ปากเสียง แต่ยามที่นางต้องการสิ่งใดก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็ผลักไสให้อู่เฉียงไปไกลหูไกลตา และจางเย่วถิงที่แสร้งทำเป็นอยากเดินทางด้วย แต่เพราะนางยังต้องการยาอายุวัฒนะนั้นอยู่จึงออกไล่ล่าช่วงชิงยาวิเศษที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ก่อนเอ่ยคำลา ซินหรานคืนหยกประจำกายของจางเย่วถิง ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดว่าหยกชิ้นนี้มีความหมายมากขนาดนี้ แม้สิ่งนี้จะทำให้นางออกคำสั่งคนของพรรคกระเรียนแดงได้ก็ตาม แต่จางเย่วถิงกลับยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยปาก “สิ่งใดที่ข้าให้แล้วย่อมไม่เอาคืน ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญเจ้าก็แล้วกัน” ด้วยเหตุนี้ซินหรานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก นางเก็บหยกชิ้นนั้นไว้แล้ว
“อู่ชิงอู่ยินเอาม้าของข้าให้อู่เฉียงไป”“ขอรับ” คนที่อยู่ด้านนอกรีบตอบรับ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไป เดิมทีจอมมารเหิงหยางเซิงต้องการเดินทางกลับเกาะเพลิงอัคนีทันทีและแน่นอนว่ากลับไปครั้งนี้มีฮูหยินติดตามกลับไปด้วย ทว่าเมื่อเร่งรีบออกจากหมู่บ้านมาเพื่อไม่ต้องการพบกับคนของทางการ ทั้งหมดจึงได้ไปอาศัยหลบอยู่อีกหมู่บ้านไม่ไกลมากนักเพื่อให้อู่เฉียงได้รักษาตัว แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือพระสนมหลิวเสียนเฟยผู้นี้ไม่ยอมเดินทางกลับเมืองหลวง“ข้าจะอยู่ดูแลผู้มีพระคุณสักสามสี่วันจะเป็นไรไป” แม้นางจะไม่ให้ใครเอ่ยถึงนางในฐานะพระสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แต่ลักษณะท่าทางสูงส่งแม้กระทั้งน้ำเสียงเย่อหยิ่งถือดีนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหิงหยางเซิงผู้เป็นประมุขพรรคมารมิชอบใจท่าทีเช่นนี้ เขาต้องการเดินทางกลับอยู่ทุกวันคืนไม่ใช่เพียงไม่ชอบท่าทีของสตรีผู้นี้แต่เพราะไม่ต้องการให้ซินหรานอยู่ใกล้อู่เฉียงแม้บาดแผลจะทำให้เสียเลือดมากแต่เพราะมีพ่อบ้านจูโหย่งเจาอยู่จึงดูแลรักษาอู่เฉียงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว ในวันที่สามก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ปกติ และถูกจอมมารเหิงหยางเซิงขึงตาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้า เ
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไม่เหลือหน้าตาให้หยัดยืนใน ยุทธภพ เปลี่ยนแปลงตนเอง เข้าไปในวังวนของวังหลวง หวังให้ตำแหน่งของตนสูงสุด แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำลายป่นปี้ ด้วยความแค้นทำให้กั๋วกงกงลืมกลยุทธไปหมดสิ้นต่อสู้เหมือนคนตาบอดสะเปะสะปะไปมา ยิ่งสู้ยิ่งไม่อาจยอมรับความแพ้พ่าย หางตาเห็นสตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยืนอยู่คนเดียว จึงเปลี่ยนเป็นพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวบอบบาง ซินหรานเบิกตากว้างที่จู่ๆ กั๋วกงกงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งมาที่นาง ทว่าเมื่อประสายสายตากันกลับเป็นกั๋วกงกงที่ชะงักงันแล้วกรีดร้องคลุ้งคลั่ง “ไม่จริง! ข้าจะไม่ตายเช่นนั้น! ข้าไม่มีวัน...!” ยังไม่ทันจบประโยคดี แสงสีเพลิงจากกระบี่อัคนีพิฆาตก็แทงทะลุร่างของกั๋วกงกง ดวงตาคู่นั้นก้มมองปลายกระบี่ที่ทะลุหน้าอกตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเอี้ยวมองไปด้านหลัง เห็นเพียงรอยยิ้มโหดเหี้ยมของเหิงหยางเซิง เขาบิดข้อมือทำให้กระบี่ควานเนื้อเรียกโลหิตให้หลั่งออกมาจนนองพื้น “เจ้า...เจ้ามัน...มาร...ปีศาจ...ร้าย” “ถูกต้อง ข้าคือจอมมารเหิงหยางเซิงแห่งพรรคเพลิงอัคนี” เพียงชั
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กแปดขวบ หญิงสาวเบิกตาโต ความทรงจำที่เลือนลางไปเต็มทีแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง บ้านของนางไฟไหม้ บิดามารดาฉุดแขนให้นางวิ่งออกมา ทว่าบิดาถูกคนร้ายใช้ดาบฟันกลางหลัง แต่กระนั้นก็ยังกอดนางกับมารดาไว้ คนร้ายหัวเราะทั้งที่มารดาหวีดร้องเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าไปใช้เพียงมือเปล่าทุบตีคนเหล่านั้น หนึ่งนั้นใช้ฝ่ามือฟาดใส่หน้ามารดาถึงกับเซถลาล้มลง พวกมันหัวเราะร่ากระตุกเท้ามารดาไว้แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมารดา‘หนีไป! หนีไป!’เด็กน้อยตัวแข็งทื่อก้าวเท้าไม่ออก ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบถูกฉุดกระชากอย่างแรงจนแขนเสื้อของเด็กหญิงขาด เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องสุดเสียง พยายามสะบัดแขนขาที่ถูกเกาะกุมด้วยชายร่างใหญ่หลายคนที่ล้อมตัวนางอยู่ เด็กหญิงสู้แรงชายเหล่านั้นไม่ได้ ร่างของนางถูกยกขึ้นเหนือพื้นแขนสองข้าง ขาสองข้างถูกมือสกปรกจับยกขึ้น แม้น้ำตาไหลอาบแก้มแต่นางยังมองเห็นเปลวเพลิง ผู้คนที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงของเปลวเพลิง เด็กหญิงหวีดร้องจนเจ็บคอไปหมด ราวกับมีเลือดผสมน้ำลาย เสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติดังขึ้น
อู่เฉียงได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมามองพร้อมกับพระสนมหลิวเสียนเฟยที่ปรายตามองเล็กน้อย ซินหรานก้าวออกมายืนแล้วกวาดตามองเหมือนค้นหาสิ่งผิดปกติ “เอ่อ...ข้าคงรู้สึกไปเอง เหมือนมีผู้อื่นอยู่ที่นี่” ซินหรานอึกอักหน้าแดง นางคงกังวลเกินเหตุไป พระสนมหลิวเสียนเฟยส่งยิ้มเอ็นดูให้ ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยี่สิบแล้วและมีลูกชายน่ารัก แต่ลักษณะท่าทางยังเหมือนเด็กสาวมิได้ออกเรือน ยามเขินอายก็แก้มแดงระเรื่อ ช่างดูไร้เดียงสานัก พลันอดคิดถึงตนเองยามเป็นเด็กสาวไม่ได้ นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่งสายตาดุจตาหงส์สังเกตสิ่งที่อยู่ในมือของซินหรานนั้นคุ้นตา จึงเอ่ยถามออกไป “นี่นะหรือ?” ซินหรานยื่นหน้ากากอันนั้นส่งให้พระสนม แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำให้พูดคุยกับนางเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป ซินหรานจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายดุจสนทนากับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน “เจ้าได้หน้ากากนี่มาจากที่ใด” พระสนมหลิวเสียนเฟยเอ่ยถาม ดวงตามีประกายความตื่นเต้นไม่น้อย “เรียนตามตรง ท่านจอมมารให้ข้ามา เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้ท่านจอมมาร แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด” “เจ้าเคยใช้หรือไม่?” ซินหรานอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไปตรง “ครั้
พระสนมหลิวเสียนเฟยมิได้ดึงดัน พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงจ้องมองซินหรานอีกครั้ง เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากเอ่ยถามนาง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้คำตอบนั้นจากแววตาห่วงใยที่นางมีให้จอมมารแสนร้ายกาจผู้นั้นแล้ว“ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านนอก” “ขอบคุณพี่อู่เฉียง” นางยิ้มบางๆ มองร่างสูงหันหลังเดินออกไปแล้ว นางยื่นมือไปปิดประตูด้วยตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูปิดสนิท หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ก้าวเท้าไม่ออก“ข้าต้องเดินลมปราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อถอดเสื้อเปื้อนเลือดของตนออก ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดปรากฏ ไฉนอยู่ดีๆ เปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้เล่า นางอยู่กับคนในพรรคมารมาแปดปี แต่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ใดๆ เห็นเพียงอู่เฉียง อู่ชิงและอู่ยินต่อสู้ประมือกัน แต่ไม่รู้ว่ายามต้องลมปราณนี้ต้องเปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย“ถ้าอายนักก็ออกไป” เหิงหยางเซิงเห็นนางยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เอ่ยตำหนิขับไล่นาง แต่เพราะไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพยับแย่เช่นนี้เพราะใช้เพลงกระบี่อัคนีพิฆาต เขาจึงเจ็บหนักเช่นนี้ ดาบเดีย
“คนอื่นๆ ล่ะ คนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไร!” ซินหรานตวาดอย่างลืมตัว เหิงหยางเซิงแม้จะเป็นคนใจดำ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจซินหราน นึกถึงภาพนางที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พูดไม่จาอยู่นานเป็นแรมเดือน หัวใจที่เคยด้านชาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครา แม้เขาไม่ได้พูดออกไป แต่หญิงสาวกลับเข้าใจได้ ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวเพราะตกใจอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไร้สีเลือดเข้าไปอีก สองขาแทบทรุดลงด้วยไร้เรี่ยวแรง จนเหิงหยางเซิงต้องประคองไว้“ไม่ได้”นางพึมพำ นึกเด็กๆ ที่นางเคยดูแล ป้าหวังที่เอางานปักผ้ามาให้นาง ทุกคนในหมู่บ้านที่ที่ดีกับนาง ยามนี้พวกเขามีภัย มีภัยโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจหลบหนีได้ทัน นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นเกาะเพลิงอัคนีหรืออย่างไร!” เหิงหยางเซิงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักแม้แต่น้อย “เวลานี้มีคนของพรรคเพลิงอัคนีอยู่ข้างกายแค่ห้าหกคน เจ้าคิดจะใช้คนของข้าปกป้องคนนับร้อยเหล่านั้นหรือ? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ไกลจากนี้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะนั้นรวมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของพรรควิหคสวรรค์ คนเหล่านั้นเมื่อเข้าใจว่าข้าผู้เป็นปร
โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ซินหรานไม่ได้เสียงตอบในคำถามที่ต้องการ นางจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองนางราวกลืนกินนางลงไปทั้งตัว สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกตัว ปล่อยมือใหญ่ในอุ้งมือของตนทันที ทว่าเขากลับพลิกข้อมือเป็นฝ่ายจับมือนางไว้ก่อน ไม่ยินยอมให้ปล่อยนางไป เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือของเขาไปอีก คนที่ถูกตราหน้าเป็นมารปีศาจร้ายเช่นเขา ไยต้องคิดหาวิธีรั้งนางด้วยเล่า? บัดนี้เขาตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำทุกวิธีทางให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าไปจากเขา แต่เมื่อนางไปขุดเอาความกล้าหาญมาจากไหน ฉวยจังหวะที่เขาอยู่ที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่อัคนีพิฆาตหลบหนีออกมา แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าเล่ห์กลใดที่รั้งนางไว้ได้ เขายอมหน้าหนาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ที่แสร้งทำเป็นว่า รอยแผลนี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพียงใด “เจ้าเคยเจ็บปวดถึงกระดูกหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยพลางจ้องตานาง เก็บทุกความรู้สึกที่อยู่สีหน้าของหญิงสาว “จะ...เจ็บมากเลยหรือ?” แม้เมื่อครู่นางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จนเลือดนองพื้นดิน แต่ยามนี้ความสนใจของนางอยู่ที่มือขวาของเขา “ปะ...เป