พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว
“รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมา
นางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้องกัมปนาทกว่าเสียงฟ้าผ่ามาแล้ว แต่อากาศรอบกายที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางต้องคว้าผ้ามาห่มกายทั้งที่ยังนั่งเย็บผ้าอยู่ ทว่าแรงลมที่รอดผ่านเข้ามาทำให้แสงเทียนวูบไหวทำให้นางไม่อาจเย็บผ้าได้ เกรงว่าถุงมือของอู่เฉียงจะนิ้วไม่ครบนางจึงต้องหยุดเย็บผ้าเก็บใส่ตะกร้าตามเดิม
เสียงฟ้าร้องลั่นคำรามดังมาจากทางหุบเขาทำให้นางสะดุ้ง ลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาจนเปลวเทียนดับลง ร่างเล็กขดตัวกอดเข่า พยายามสงบใจไม่คิดถึงเรื่องที่น่ากลัว ป่านนี้อู่เฉียงคงออกไปพ้นเกาะแล้ว อาจจะขึ้นฝั่งไปแล้วก็ได้ เด็กๆ ที่หุบเขาจะเป็นอย่างไรนะ เด็กที่ถูกเลี้ยงถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่า หญิงสาวถอนหายใจบางเบา นางโชคดีแล้วที่ไม่ถูกส่งไปฝึกที่หุบเขานั้น มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายจนมิดลำคอ นางเอนตัวลงนอนฟังเสียงฝนที่กระหน่ำลงอย่างหนัก ฟังเสียงฝนจนผล็อยหลับไปในที่สุด
หญิงสาวหลับไปนานเพียงใดไม่รู้ เลยกลางดึกไปแล้ว บานประตูเปิดออกพร้อมเงาร่างในชุดดำก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบและลมฝนที่แทรกตัวเข้ามา ร่างเล็กสัมผัสไอเย็นจึงขยับตัวกระชับผ้าห่มโดยไม่รู้สึกตัว ทว่าในชั่วลมหายใจต่อมารับรู้ถึงไออุ่นที่แผ่กระจายอยู่ในห้อง
ปลายนิ้วเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งยื่นไปแตะผิวแก้มของหญิงสาวอย่างเบามือ แม้ร่างกายมีไอร้อนแต่ผิวกายเยียบเย็นดุจแผ่นน้ำแข็งในฤดูหนาว ปลายจมูกของนางขยับกระดุกกระดิกเห็นแล้วนึกถึงลูกแมวตัวเล็ก นางยกมือปัดสิ่งเย็นๆ ที่มาแตะแก้มของตนด้วยนึกไปว่าเป็นหยดน้ำ รุ่งเช้านางจะรายงานพ่อบ้านจูโหย่งเจาให้คนมาซ่อมหลังคาห้องเก็บฟืน
เสียงหัวเราะบางเบาที่ไม่มีใครเคยได้ยินดังขึ้นในห้องเก็บฟืน ร่างสูงใหญ่โน้มหน้าลงประทับริมฝีปากของตนกับแก้มอิ่มของหญิงสาว สูดดมกลิ่นนางเข้าไว้เต็มปอด ให้ร่างกายได้ดูดซับกลิ่นนางจนรู้สึกได้ว่านางอยู่ในกายของเขาแล้วจึงได้ผละถอยออกมาอย่างช้าๆ ก้าวออกไปอย่างไร้ร่องรอย
หญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกยืนกอดอกมองบุรุษในชุดดำที่ก้าวออกมาจากห้องเก็บฟืน ใบหน้างามกระตุกยิ้ม เป็นอย่างที่นางคาดเดาไม่ผิด หากซินหรานเป็นเพียงหญิงรับใช้ เหตุใดจอมมารประมุขพรรคเพลิงอัคนีถึงต้องลดตัวลงมาหานางที่ห้องเก็บฟืนด้วยเล่า
“ข้านึกว่าเจ้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงหลับไปแล้ว” เหิงหยางเซิงรู้ว่า จางเย่วถิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินเข้าไปใกล้ แววตาเปิดเผยความไม่พอใจที่เห็นนางมาอยู่ที่นี่
“ก็เพราะเจ้าช่วยขับพิษให้ข้า กำลังวังชาของข้าจึงฟื้นตัวเร็วเช่นนี้” จางเย่วถิงหัวเราะร่วน ไม่สนใจน้ำฝนที่สาดกระทบร่างนางจนเสื้อผ้าแนบเนื้อรัดเรือนร่างเผยสัดสวนอันเย้ายวน
“ปกติข้าไม่ชอบกินของเดิมซ้ำ หากเจ้าถูกใจคนในพรรคเพลิงอัคนีก็ชี้นิ้วสั่งเอาได้”
“เช่นนั้นข้าก็เอานางไปได้ใช่หรือไม่”
ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังหญิงสาวที่ยืนยิ้มกริ่มไม่สนใจดวงตาที่จ้องมองราวกับจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
“ข้าชอบนางจริงใจ จะส่งคนมาสู่ขอนางเป็นอนุของข้า”
“ถ้าเจ้าไม่ต้องการถอนพิษที่เหลือก็ลองดู!”
จางเย่วถิงถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ นางชอบสตรีอย่างเปิดเผย มีหญิงงามนางบำเรออยู่มากนัก ส่วนตำแหน่งภรรยาเอกนั้นยังไม่ได้แต่งตั้งหญิงใดขึ้นมา คงต้องรอให้พิษร้อยชายนี้ถูกกำจัดไปเสียก่อนจึงจะคิดเรื่องนั้น
“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกตอแยนางอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
“ตราบใดที่เจ้ายังไม่คิดจะกินนาง ข้าก็ย่อมมีสิทธิ์หวังในตัวนาง”
หญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกกระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาดุจหงส์มองไปยังห้องเก็บฟืน นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองก่อนหมุนตัวเดินจากมา ทิ้งบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ข่มโทสะของตนเต็มที
หากไม่ใช่เพราะต้องการแร่ยอดเหล็กสำหรับหลอมกระบี่ มีหรือเขาจะยอมให้นางปีศาจอย่างจางเย่วถิงเข้ามาวุ่นวายที่เกาะเพลิงอัคนีเช่นนี้!
น่าแปลกที่มีฝนตกติดต่อกันถึงสามวันสามคืน แม้ไม่ตกหนัก
มากนักแต่เรียกได้ว่าทำให้คนรู้สึกรำคาญ โดยเฉพาะใบหน้าบึ้งตึ้งของจอมมารเหิงหยางเซิง ซึ่งปกติก็...ใบหน้าเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ
แม้มีฝนโปรยปรายเช่นนี้ จางเย่วถิงยังต้องเดินทางออกจากเกาะเพลิงอัคนีตามกำหนดเดิม จอมมารเหิงหยางเซิงขับไล่จางเย่วถิงกลับอย่างไม่ไว้หน้า จางเย่วถิงก็หน้าหนาไม่น้อยแม้ถูกขับไล่ก็ยังหัวเราะร่าไม่แยแสท่าทีเกรี้ยวกราดของเหิงหยางเซิง โดยเฉพาะก่อนจากไป จางเย่วถิงให้คนไปตามซินหรานมาพบ
“ข้าให้เจ้า”
“ให้บ่าวหรือเจ้าคะ” ซินหรานขมวดคิ้วแต่ยื่นมือไปรับหีบไม้ใบย่อมสลักลวดลายสวยงามมาไว้ในอ้อมแขน
“ข้าตั้งใจให้เจ้า” จางเย่วถิงเอ่ยขึ้นแต่เหลือบตาไปยังเหิงหยางเซิงที่ยืนกอดอกมองด้วยสายตาแทบจะกินเลือดกินเนื้อนางอยู่แล้ว เพราะท่าทางของเหิงหยางเซิงทำให้จางเย่วถิงโน้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูของซินหราน “ข้าชอบเจ้าอย่างจริงใจ หากเจ้ามีใจติดตามข้ากลับไปที่พรรคกระเรียนแดง ข้าจะมอบแก้วแหวนเงินทองให้มากกว่าในหีบใบนี้ ซ้ำยังแต่ตั้งให้เจ้าเป็นอนุของข้าอีกด้วย”
ซินหรานได้ยินชัดเจน ซ้ำยังถูกปลายลิ้นของจาวเย่วถิงตวัดเลียใบหูน้อยๆ ของนางอีก หญิงสาวถึงกับหดคอเหมือนเต่าตัวหนึ่ง นางกระถดตัวถอยหนีเผลอกอดหีบไม้ในอ้อมแขนแน่นเพื่อป้องกันตัว แต่พอนึกได้ว่านางกอดสิ่งของที่จางเย่วถิงให้มารีบดันหีบไม้ส่งคืน จางเย่วถิงเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของซินหรานแล้วแหงนหน้าหัวเราะ
“รับไว้เถิด เครื่องประดับเหล่านี้ย่อมเหมาะกับหญิงงาม ในหีบใบนั้นมีหยกตราสัญลักษณ์ของพรรคกระเรียนแดง เจ้าเก็บไว้ให้ดีหากต้องการพบข้าสามารถใช้หยกเพื่อพบข้าได้”
เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ น้ำหนักในหีบไม่น้อย หากข้างในเป็นเครื่องประดับจริง คงมีมูลค่ามากและยังมีหยกที่ว่านั้นอีก แต่พอหันซ้ายหันขวาขอความช่วยเหลือ นางสบตากับพ่อบ้านจูโหย่งเจาที่ขยิบตาให้เป็นเชิงบอกให้นางรับไว้ หญิงสาวจึงได้แต่กล่าวคำขอบคุณเสียงเบา ยืนส่งขบวนของจางเย่วถิงออกประตูคฤหาสน์เพลิงอัคนีแล้วจึงรีบวิ่งเอาหีบใบนั้นมาเก็บในห้องของนาง จะเปิดดูก็ไม่กล้า ทำไมรู้สึกหวาดกลัวมากกว่ายินดี ซินหรานได้แต่สะบัดหน้าแรงๆ ยกหีบใบนั้นวางบนชั้นใกล้กับกล่องเก็บหน้ากากที่นายท่านให้มา และยังมีถุงใส่ลูกปัดเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ที่พี่ๆ ให้นางมาอีก
“ซินหราน เสร็จธุระของเจ้าหรือยัง รีบมาจัดห้องนอนให้ท่านจอมมารประเดี๋ยวนี้!” “เจ้าค่ะ ” หญิงสาวรีบขานรับ มือเล็กผลักหีบใบนั้นเข้าไปในชั้นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว อากาศชื้นฝนเช่นนี้ ท่านจอมมารไม่ค่อยชอบนัก นางเห็นแค่เจ้าของร่างสูงในอาภรณ์สีดำสะบัดแขนเสื้อเดินหายไปทางหอฝึกยุทธ์แล้ว นางก็รีบเข้าไปในห้องนอนของท่านจอมมารจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและจุดกำยานกลบกลิ่นชื้นฝนในห้อง ครบสามวันแล้ว นางคงไม่ต้องไปนอนที่ห้องเก็บฟืนแล้วซินะ หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า นางหอบผ้าปูที่นอนผืนเก่าแล้วเดินออกมาเพื่อนำไปซักทำความสะอาด เครื่องนอนและเสื้อผ้าของท่านจอมมารมีแต่นางเท่านั้นที่ทำความสะอาด แบบนี้จะเรียกว่านางเป็นคนโปรดได้อย่างไร บ่าวรับใช้มีตั้งมากมายแต่นางเป็นคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่เหล่านี้ ฝนจางจากท้องฟ้าไปมากแล้ว เหลือเพียงละอองโปรยปรายแตะเส้นผม นางสูดกลิ่นฝนเข้าเต็มปอด แน่นอนว่านางชอบกลิ่นฝนอาจเพราะเป็นเติบโตมากับท้องไร่ท้องนา จึงคุ้นชินกับชีวิตที่อาศัยฟ้าฝนในการดำรงชีพแล้ว แล้วคน
“มาแล้วรึ” เหิงหยางเซิงเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือไปหยิบถ้วยใส่เลือดงูพิษขึ้นมาดื่มอย่างไม่สนใจอะไร เขายกดื่มรวดเดียวจนหมด ตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากปรับลมปราณของตนให้รับพิษงูก่อนจะยื่นถ้วยส่งคืนพ่อบ้าน “ท่านจอมมาร ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว” แม้พ่อบ้านจูโหย่งเจาไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็รู้กันว่าคนที่พูดถึงคือซินหราน “สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงดี หากท่านจอมมารจะใช้โลหิตของนาง...” “เจ้าออกไปได้” พ่อบ้านจูโหย่งเจาอ้าปากเหมือนจะส่งเสียงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ แม้เขาจะเอ็นดูนาง แต่หากโลหิตของนางช่วยยับยั้งพิษในกายของท่านจอมมารได้ เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารนาง เหิงหยางเซิงเดินลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้พิษต้านพิษมาหลายปีหลังจากบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้ายระหว่างการฝึกยุทธ์ พิษยังขับออกไม่หมด เมื่อถึงคราวที่ฟ้าหลั่งฝนทีไหร่ ราวกับโสตประสาททั้งหมดรับรู้สิ่งรอบข้างชัดเจน กลิ่น เสียง สิ่งที่ได้เห็น ล้วนทำให้เขาหงุดหงิดพลุ่งพล่านต้องการสังหารคนเพื่อให้จิตใจสงบทุกคราวไป แต่ยามนี้ขอมีเพียงนางอยู่ใกล้ จิตใจของเขาพลันสงบโดยมิต้องสังหารใครให้เหม็นกล
พื้นดินที่เปียกชื้นต้นหญ้าอ่อนถูกพรมด้วยน้ำค้าง ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังหงายหลัง นางหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะได้รับ ทว่าร่างของนางไม่ได้กระแทกพื้นอย่างที่คิด แต่เอนพิงแผ่นอกแกร่งที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ร่างอ่อนนุ่มเอนเข้าสู่แผ่นอกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าคนไร้ วรยุทธ์อย่างนางย่อมไม่รู้ว่าเขาเดินประชิดติดอยู่ด้านหลังนานแล้ว เดิมทีเหิงหยางเซิงคิดจะเดินลมปราณเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย ทว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เลือดในกายเต้นระริก หงุดหงิดและร้อนรุ่มจนไม่อาจทำสมาธิได้ กระนั้นเขารับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่อยู่ห้องนอนติดกันนั้นเปิดประตูออกอย่างเร่งรีบ เขาจึงติดตามร่าบอบบาง ใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ไม่ต้องอาศัยแสงจากตะเกียงหรือโคมไฟ ร่างเล็กในชุดนอนเรียบง่ายยืนอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพรรณ ผิวขาวดุจหยกขับเน้นให้นางดูงดงามราวภาพวาด เส้นผมที่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งรวบมัดไว้ทำให้ร่างของนางดูเย้ายวนตา เหิงหยางเซิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองราวกับคนกระหายน้ำ ก้าวเท้าติดตามร่างบอบางที่ไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาใกล้เพียงใ
เพราะความกลัวทำให้นางอาศัยช่วงจังหวะที่เขายืดตัวอยู่เหนือร่างนาง หญิงสาวพลิกตัวหนีคลานดุจสุนัขออกมาได้ไม่กี่ก้าวข้อเท้าก็ถูกกระชากไว้ก่อน “นายท่าน! พอ...พอเถอะเจ้าค่ะ” นางอ้อนวอนและรู้สึกได้ว่าเขาถอดร้องเท้าของนางออกตามด้วยถุงเท้า คลึงเท้าของนางด้วยนิ้วมือของเขา “อื้อ” นางกลั้นเสียงครางของตัวเองปล่อยให้มือใหญ่และหยาบกร้านเลื่อนมือลูบไล้เหมือนสำรวจเรือนร่างของนาง ยามนี้ร่างกายทั้งตัวเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวน้อย นางยกมือขึ้นปกปิดทรวงอก แต่ครั้งนี้เขาโถมเข้าใส่ รวบมือของนางไว้เหนือศีรษะ กดนางไว้ใต้ร่างแล้วใช้ริมฝีปากพรมจูบบนเรือนร่างของนางอย่างตีตราเป็นเจ้าของ นางเป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ยะ...อย่า” ซินหรานร้องห้ามเสียงขาดห้วง มือใหญ่ลากกางเกงชั้นในตัวน้อยออกพ้นเรียวขา นิ้วยาวที่เก็บกรงเล็บมารแล้วแทรกเข้าไปแตะกลีบดอกไม้อ่อนบางที่สั่นระริก นิ้วกร้านจากการจับกระบี่แทรกเข้าไปจนสุดโคนนิ้ว นางสะดุ้งสุดตัว จ้องมองคนที่อยู่ด้านบนแล้วส่ายหน้าไปมาจนผมยาวคลี่สยาย แม้ไม่มีเตียงอุ่นมารองรับแต่ยามนี้หญ้าอ่อนนุ่มและเสื้อผ้าที่ถูก
พ่อครัวเจี่ยนหันมามองเต็มๆ ตา ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ตื่นสายสักครา แต่เห็นนางหลบตาเขาแล้วจึงไม่ได้ซักถามอะไร เรียกนางไปช่วยงานเช่นทุกวัน ซินหรานทำตัววุ่นพยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นางรู้สึกว่าทุกคนทำตัวปกติกับนาง คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น นางจึงทำตัวเป็นปกติเช่นที่เคยเป็นมา ทว่าร่างกายที่บอบช้ำเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกนัก ทั้งที่ตั้งใจเอาขนมไปส่งให้อู่ชิงกับอู่ยิน นางกลับเดินได้ไม่ถึงที่ ไม่รู้อย่างไรอู่ยินโผล่มายืนเบื้องหน้าไร้สุ่มเสียงดุจเงาภูติผี หญิงสาวไม่ได้สะดุ้งตกใจแต่ยังฉีกยิ้มด้วยความดีใจที่เขามาปรากฏกายพอดี “ข้าจะเอาขนมมาส่งให้เจ้าค่ะ” ซินหรานยื่นตะกร้าให้ แต่อีกฝ่ายยืนกอดอกนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแววตาใสซื่อคู่นั้นแล้วลอบถอนหายใจแล้วยื่นมือไปรับ “ไม่สบายก็พักผ่อนเสีย” “ข้า...ข้าสบายดี” “สบายดี? แทบเดินไม่ไหว!” ซินหรานพูดอะไรไม่ออก คำพูดกำกวมของอู่ยินทำให้ใบหน้าของนางไร้สีเลือด พลันร่างของอู่ชิงปรากฏขึ้นแล้วยื่นมือไปดีดหน้าผากของซินหรานอย่างหยอกเย้า “หน้าตาซีดเซียวเช่นนี้
ท่าทางใสซื่อของนางทำให้โทสะของเขาเบาบางลง ไฉนยามที่เขาให้นางเลือกเครื่องประดับส่งไปยังเรือนด้านหลัง นางเลือกได้เหมาะสมและง่ายดายจนเขาไม่ใคร่ใส่ใจว่านางส่งอะไรไปให้ใคร ทว่าเมื่อนางเอ่ยประโยคต่อมา เขาแทบจะยื่นมือไปบีบลำคอของนาง “...ปิ่นไม้นี่พี่อู่เฉียงทำให้บ่าว บ่าวทิ้งปิ่นอันนี้มิได้” ข้าควรหักคอนางหรือหักคออู่เฉียงดีนะ! ซินหรานไม่รู้ว่าเหตุใด จู่ๆ นายท่านมีโทสะขึ้นมาระลอก แต่ก่อนทำอะไรผิดอย่างมากนางถูกพ่อบ้านจูโหย่งเจ้าลงโทษ แต่ครั้งนี้นางเห็นเขาสืบเท้าเข้ามา ร่างกายถอยหนีอย่างหวาดกลัว มิน่าเล่าเหล่าหญิงบำเรอที่ถูกส่งตัวมารับใช้จึงได้มีท่าทีประหลาดนัก บางคนหวาดกลัวถึงขั้นเสียสติก็มี ยังไม่ทันคิดว่าตนเองทำอะไรผิด นางรู้สึกหน้ามืดตาลายเพราะถูกจอมมารเหิงหยางเซิงรวบร่างนางแล้วแบกไว้บนบ่า ศีรษะของหญิงสาวถูกเหวี่ยงไปด้านหลัง ด้วยความตกใจจึงเผลอทำปิ่นหยกหลุดมือ “นายท่าน!” ซินหรานดิ้นรน แต่ไม่เป็นผล ถูกแบกเดินมาไม่กี่ก้าวร่างก็ถูกเหวี่ยงลงบนตั่งนุ่มที่นายท่านให้เอนกายนอนพักผ่อนในห้องอักษร “นายท่าน! ปล่อยบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” นางขอร้องเสี
พ่อบ้านจูโหย่งเจาถอนหายใจอีกครา “เป็นเช่นนั้นก็ดี” “แต่เรื่องที่จะให้ข้าปรนนิบัตินายท่านในห้องหอนั้น...” “ได้เป็นสตรีของท่านจอมมารย่อมมีฐานะความเป็นอยู่ดีกว่าเป็นสาวใช้” “แต่ข้าไม่อยากเป็นเหมือนหญิงเหล่านั้น” นางยืนกราน “ให้ข้าทำงานเป็นบ่าวเช่นนี้เถิด” “ซินหราน” พ่อบ้านจูโหย่งเจาเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ คนที่ลำบากที่สุดก็คืออู่เฉียง” ซินหรานเผยอริมฝีปากขึ้น อ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก แล้วนางก็กัดริมฝีปากตนเองอย่างยอมรับชะตากรรม หากนางไม่ยินยอมปรนนิบัติ พี่อู่เฉียงของนางจะถูกลงโทษเช่นนั้นหรือ? ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทำตามคำสั่งของท่านจอมมารทั้งสิ้น “เอาล่ะ ข้าจะส่งคนมาดูแลเจ้าให้เตรียมตัวสำหรับคืนนี้ ตอนนี้เจ้าพักผ่อนเสียก่อน” “เจ้าค่ะ” ซินหรานมองร่างของพ่อบ้านจูโหย่งเจาหมุนตัวออกจากห้องของนาง หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นกลับมานั่งบนเตียงเช่นเดิม หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดเจ็บปวดเกินจะบรรยาย ร่างบางเอนตัวลงนอน รู้สึกชื้นที่ขอบตา นางหลีกหนีเรื่องนี้มิได้จริงๆ แล้วใช่ไหม?
ห้ามมิให้นางกลัวคงยาก แต่ห้ามมิให้เขาแตะต้องนางนั้นยากกว่า ปิดตานางไว้เช่นนี้ถือว่าปรานีนางมากแล้ว แม้เขาชอบดวงตากระจ่างใสของนางมากเพียงใด แต่มิอาจทนเห็นแววตาคู่นี้แสดงความรังเกียจหรือหวาดกลัวเขาได้ เพียงเหนี่ยวรั้งความรู้สึกของมนุษย์ที่มีอยู่น้อยนิดไว้นั้น เขามิอาจทำร้ายนางได้ เหิงหยางเซิงประคองร่างบางลงนอนแล้ว เขาลุกขึ้นปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกจนหมด เขาผู้ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นจอมมารแม้ไม่มีกฏว่าทายาทเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคเพลิงอัคนี แต่เขาเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลือรอดจากการฝึกฝน ทั้งดื่มยาพิษ ฝึกยุทธ์ และเพราะการดื่มยาพิษทำให้ร่างกายของเขาบางส่วนมีรอยไหม้คล้ายถูกเหล็กเผาไฟมานาบผิวกาย ในบางคราวเขากลายเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งมารปีศาจ หิวกระหายโลหิตโดยเฉพาะโลหิตของมนุษย์ แต่ทุกคราวที่ดื่มเลือดมนุษย์นั้น ความรู้สึก ความทรงจำของมนุษย์ผู้นั้นจะถูกถ่ายทอดมาสู่ตัวเขาด้วย ‘บิดา ข้ารังเกียจโลหิตมนุษย์’ แม้เขาจะอยู่ในวัยสิบขวบแต่ได้กลืนกินเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรก รับรู้ถึงความโสมมในจิตใจของมนุษย์ซึ่งไม่ต่างจากน้ำโคลนสกปรก ยิ่งเมื่อเติ