Share

Chapter 10. อย่าหาว่าข้าไม่เตือน

พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว

            “รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า”

            “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”  

นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ        อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว  มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมา

นางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้องกัมปนาทกว่าเสียงฟ้าผ่ามาแล้ว แต่อากาศรอบกายที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางต้องคว้าผ้ามาห่มกายทั้งที่ยังนั่งเย็บผ้าอยู่ ทว่าแรงลมที่รอดผ่านเข้ามาทำให้แสงเทียนวูบไหวทำให้นางไม่อาจเย็บผ้าได้ เกรงว่าถุงมือของอู่เฉียงจะนิ้วไม่ครบนางจึงต้องหยุดเย็บผ้าเก็บใส่ตะกร้าตามเดิม

เสียงฟ้าร้องลั่นคำรามดังมาจากทางหุบเขาทำให้นางสะดุ้ง ลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาจนเปลวเทียนดับลง ร่างเล็กขดตัวกอดเข่า พยายามสงบใจไม่คิดถึงเรื่องที่น่ากลัว ป่านนี้อู่เฉียงคงออกไปพ้นเกาะแล้ว อาจจะขึ้นฝั่งไปแล้วก็ได้ เด็กๆ ที่หุบเขาจะเป็นอย่างไรนะ เด็กที่ถูกเลี้ยงถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่า หญิงสาวถอนหายใจบางเบา นางโชคดีแล้วที่ไม่ถูกส่งไปฝึกที่หุบเขานั้น มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายจนมิดลำคอ นางเอนตัวลงนอนฟังเสียงฝนที่กระหน่ำลงอย่างหนัก ฟังเสียงฝนจนผล็อยหลับไปในที่สุด

หญิงสาวหลับไปนานเพียงใดไม่รู้ เลยกลางดึกไปแล้ว บานประตูเปิดออกพร้อมเงาร่างในชุดดำก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบและลมฝนที่แทรกตัวเข้ามา ร่างเล็กสัมผัสไอเย็นจึงขยับตัวกระชับผ้าห่มโดยไม่รู้สึกตัว ทว่าในชั่วลมหายใจต่อมารับรู้ถึงไออุ่นที่แผ่กระจายอยู่ในห้อง

ปลายนิ้วเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งยื่นไปแตะผิวแก้มของหญิงสาวอย่างเบามือ แม้ร่างกายมีไอร้อนแต่ผิวกายเยียบเย็นดุจแผ่นน้ำแข็งในฤดูหนาว ปลายจมูกของนางขยับกระดุกกระดิกเห็นแล้วนึกถึงลูกแมวตัวเล็ก นางยกมือปัดสิ่งเย็นๆ ที่มาแตะแก้มของตนด้วยนึกไปว่าเป็นหยดน้ำ รุ่งเช้านางจะรายงานพ่อบ้านจูโหย่งเจาให้คนมาซ่อมหลังคาห้องเก็บฟืน

เสียงหัวเราะบางเบาที่ไม่มีใครเคยได้ยินดังขึ้นในห้องเก็บฟืน ร่างสูงใหญ่โน้มหน้าลงประทับริมฝีปากของตนกับแก้มอิ่มของหญิงสาว  สูดดมกลิ่นนางเข้าไว้เต็มปอด ให้ร่างกายได้ดูดซับกลิ่นนางจนรู้สึกได้ว่านางอยู่ในกายของเขาแล้วจึงได้ผละถอยออกมาอย่างช้าๆ ก้าวออกไปอย่างไร้ร่องรอย

หญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกยืนกอดอกมองบุรุษในชุดดำที่ก้าวออกมาจากห้องเก็บฟืน ใบหน้างามกระตุกยิ้ม เป็นอย่างที่นางคาดเดาไม่ผิด หากซินหรานเป็นเพียงหญิงรับใช้ เหตุใดจอมมารประมุขพรรคเพลิงอัคนีถึงต้องลดตัวลงมาหานางที่ห้องเก็บฟืนด้วยเล่า

“ข้านึกว่าเจ้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงหลับไปแล้ว” เหิงหยางเซิงรู้ว่า  จางเย่วถิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินเข้าไปใกล้ แววตาเปิดเผยความไม่พอใจที่เห็นนางมาอยู่ที่นี่

“ก็เพราะเจ้าช่วยขับพิษให้ข้า กำลังวังชาของข้าจึงฟื้นตัวเร็วเช่นนี้” จางเย่วถิงหัวเราะร่วน ไม่สนใจน้ำฝนที่สาดกระทบร่างนางจนเสื้อผ้าแนบเนื้อรัดเรือนร่างเผยสัดสวนอันเย้ายวน

“ปกติข้าไม่ชอบกินของเดิมซ้ำ หากเจ้าถูกใจคนในพรรคเพลิงอัคนีก็ชี้นิ้วสั่งเอาได้”

“เช่นนั้นข้าก็เอานางไปได้ใช่หรือไม่”

ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังหญิงสาวที่ยืนยิ้มกริ่มไม่สนใจดวงตาที่จ้องมองราวกับจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ

“ข้าชอบนางจริงใจ จะส่งคนมาสู่ขอนางเป็นอนุของข้า”

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการถอนพิษที่เหลือก็ลองดู!”

จางเย่วถิงถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ นางชอบสตรีอย่างเปิดเผย มีหญิงงามนางบำเรออยู่มากนัก ส่วนตำแหน่งภรรยาเอกนั้นยังไม่ได้แต่งตั้งหญิงใดขึ้นมา คงต้องรอให้พิษร้อยชายนี้ถูกกำจัดไปเสียก่อนจึงจะคิดเรื่องนั้น

“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกตอแยนางอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”

“ตราบใดที่เจ้ายังไม่คิดจะกินนาง ข้าก็ย่อมมีสิทธิ์หวังในตัวนาง”

หญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกกระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาดุจหงส์มองไปยังห้องเก็บฟืน นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองก่อนหมุนตัวเดินจากมา ทิ้งบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ข่มโทสะของตนเต็มที

หากไม่ใช่เพราะต้องการแร่ยอดเหล็กสำหรับหลอมกระบี่ มีหรือเขาจะยอมให้นางปีศาจอย่างจางเย่วถิงเข้ามาวุ่นวายที่เกาะเพลิงอัคนีเช่นนี้!

            น่าแปลกที่มีฝนตกติดต่อกันถึงสามวันสามคืน แม้ไม่ตกหนัก

มากนักแต่เรียกได้ว่าทำให้คนรู้สึกรำคาญ โดยเฉพาะใบหน้าบึ้งตึ้งของจอมมารเหิงหยางเซิง ซึ่งปกติก็...ใบหน้าเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ

            แม้มีฝนโปรยปรายเช่นนี้ จางเย่วถิงยังต้องเดินทางออกจากเกาะเพลิงอัคนีตามกำหนดเดิม จอมมารเหิงหยางเซิงขับไล่จางเย่วถิงกลับอย่างไม่ไว้หน้า จางเย่วถิงก็หน้าหนาไม่น้อยแม้ถูกขับไล่ก็ยังหัวเราะร่าไม่แยแสท่าทีเกรี้ยวกราดของเหิงหยางเซิง โดยเฉพาะก่อนจากไป   จางเย่วถิงให้คนไปตามซินหรานมาพบ

            “ข้าให้เจ้า”

            “ให้บ่าวหรือเจ้าคะ” ซินหรานขมวดคิ้วแต่ยื่นมือไปรับหีบไม้ใบย่อมสลักลวดลายสวยงามมาไว้ในอ้อมแขน

            “ข้าตั้งใจให้เจ้า” จางเย่วถิงเอ่ยขึ้นแต่เหลือบตาไปยังเหิงหยางเซิงที่ยืนกอดอกมองด้วยสายตาแทบจะกินเลือดกินเนื้อนางอยู่แล้ว เพราะท่าทางของเหิงหยางเซิงทำให้จางเย่วถิงโน้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูของซินหราน “ข้าชอบเจ้าอย่างจริงใจ หากเจ้ามีใจติดตามข้ากลับไปที่พรรคกระเรียนแดง ข้าจะมอบแก้วแหวนเงินทองให้มากกว่าในหีบใบนี้ ซ้ำยังแต่ตั้งให้เจ้าเป็นอนุของข้าอีกด้วย”

            ซินหรานได้ยินชัดเจน ซ้ำยังถูกปลายลิ้นของจาวเย่วถิงตวัดเลียใบหูน้อยๆ ของนางอีก หญิงสาวถึงกับหดคอเหมือนเต่าตัวหนึ่ง นางกระถดตัวถอยหนีเผลอกอดหีบไม้ในอ้อมแขนแน่นเพื่อป้องกันตัว แต่พอนึกได้ว่านางกอดสิ่งของที่จางเย่วถิงให้มารีบดันหีบไม้ส่งคืน จางเย่วถิงเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของซินหรานแล้วแหงนหน้าหัวเราะ

            “รับไว้เถิด เครื่องประดับเหล่านี้ย่อมเหมาะกับหญิงงาม ในหีบใบนั้นมีหยกตราสัญลักษณ์ของพรรคกระเรียนแดง เจ้าเก็บไว้ให้ดีหากต้องการพบข้าสามารถใช้หยกเพื่อพบข้าได้”

            เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ น้ำหนักในหีบไม่น้อย หากข้างในเป็นเครื่องประดับจริง คงมีมูลค่ามากและยังมีหยกที่ว่านั้นอีก แต่พอหันซ้ายหันขวาขอความช่วยเหลือ นางสบตากับพ่อบ้านจูโหย่งเจาที่ขยิบตาให้เป็นเชิงบอกให้นางรับไว้ หญิงสาวจึงได้แต่กล่าวคำขอบคุณเสียงเบา ยืนส่งขบวนของจางเย่วถิงออกประตูคฤหาสน์เพลิงอัคนีแล้วจึงรีบวิ่งเอาหีบใบนั้นมาเก็บในห้องของนาง จะเปิดดูก็ไม่กล้า ทำไมรู้สึกหวาดกลัวมากกว่ายินดี ซินหรานได้แต่สะบัดหน้าแรงๆ ยกหีบใบนั้นวางบนชั้นใกล้กับกล่องเก็บหน้ากากที่นายท่านให้มา และยังมีถุงใส่ลูกปัดเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ที่พี่ๆ ให้นางมาอีก

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status